บทที่ 32 จางหู่
“นี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!”
เสียงร้องอันดังลั่นในทันทีที่เดินทางเข้ามาถึงประตูหมู่บ้านของ “จางหู่” ผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์มีกล้ามเป็นมากๆ หมดเคราหงเผาตั้งชี้โด่ชี้เด่ ยิ่งตัดผมสั้นแล้วด้วยก็ยิ่งสามารถมองเห็นถึงความชี้ตรงของเส้นผมได้อย่างชัดเจน ดวงตาเองก็เป็นประกายคมกล้าราวพญาเสือ คิ้วตั้งเป็นสันดาบร่วมกับสันจมูกคมโด่งเป็นสง่า เมื่อรวมเข้ากับหนวดเคราและจอนผมที่เชื่อมต่อด้วยกันแล้ว หากจะอธิบายให้เข้าใจถึงรูปร่างหน้าตาของจางหู่ได้ง่ายที่สุดแล้ว ตัวเขานั้นแทบไม่ต่างไปจากเตียวหุยในหนังสือเรื่องสามก๊กเลยทีเดียว
ด้วยอุปนิสัยแต่เดิมที่โผงผางและผ่าเผย ไม่เคยเก็บเร้นสิ่งใดเอาไว้ในใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในทันทีที่เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน หลังจากที่เขาพยายามอยู่ข้างนอกมากว่าสามปีแล้ว มันก็ทำให้เขาอดที่จะตกใจไม่ได้
โดยปกติแล้วเมื่อกำลังจะเข้าหน้าหนาวแบบนี้ ผู้คนก็จะเก็บเนื้อเก็บตัวกันอย่างเงียบสงบ เฝ้ารอการช่วยเหลือที่จะกลับมาของลูกหลานที่ออกไปทำงานด้านนอก เนื่องจากต้องการประหยัดพลังงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่สำหรับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขาในตอนนี้ ผู้คนต่างก็เดินขวักไขว่ไปมา เด็กๆ ต่างพากันหัวเราะวิ่งเล่น มันเป็นภาพที่เขาไม่ได้เห็นมานานหลายปีแล้ว แม้แต่ภาพความทรงจำสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปเมื่อสามปีก่อน มันก็เป็นภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ทุกคนทุกแห่งในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่บาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจะเป็นความเหี่ยวแห้งโรยราของเราต้นไม้ใบหญ้า
เมื่อเปรียบเทียบแล้วในตอนนี้มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเมตร แต่ลำธารสายเล็กๆที่ทอดผ่านกลางหมู่บ้าน ที่เคยแห้งขอดจนไม่มีแม้แต่น้ำซักหยด กลับกลายเป็นสายน้ำสายใหญ่มาก พอที่จะให้เด็กๆลงไปเล่นกันอย่างสนุกสนานได้ ทั้งๆที่อากาศก็เริ่มหนาวเย็นลงมากแล้ว เด็กๆ ก็ยังคงวิ่งขึ้นวิ่งลงแหล่งน้ำกันเป็นนิจ อย่างกับว่าเด็กๆทุกคนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเลย...
“พี่ใหญ่จางหู่ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงแผดลั่นไปก่อนหน้านี้ เหล่าเด็กๆที่โตขึ้นมาสักหน่อยก็รีบกรู่เข้ามาหาจางหู่อย่างรวดเร็ว เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นน้องเล็กของบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน และมีอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะนานสักเท่าไรเขา ก็ยังคงเป็นที่รักของเด็กๆทุกคนในหมู่บ้านเสมอ ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลที่ 3 ารถเล่นกับเด็กๆได้ตลอดเวลา แม่จิตใจที่อ่อนโยนสวนทางกับรูปร่างหน้าตาอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กเด็กโตในหมู่บ้านก็ล้วนแล้วแต่เชื่อฟังจางหู่อยู่เสมอ...
“เสี่ยวซิวนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...” เขามองไปรอบๆ มองดูรูปร่างหน้าตาของเด็กที่สดใสขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่านัก ทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแรง ต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง “หรือว่าในช่วง 3 ปีที่ข้าไม่อยู่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน”
“จะกล่าวว่าสามปีมันก็นานเกินไปขอรับท่านอา” จางต้าพังที่วิ่งตามมาติดติดเป็นผู้ที่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง “ท่านอาจะต้องไม่เชื่อแน่ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ”
“สองเดือน...สองเดือนอย่างนั้นหรือ มีเทพเซียนองค์ไหนเสด็จมาช่วยพวกเราหรืออย่างไร” จางหู่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง จนถึงขนาดหลุดพูด ติดตลกออกมาด้วยความไม่เชื่อของเขา “ถ้าหากว่าเทพเซียนมีจริงพวกเราคงไม่ต้องลำบากลำบนถึงขนาดนี้มาหลายปีหรอก”
“...”
“...”
“...”
จางซิวและจางต้าพังที่ได้ยินคำพูดของจางหู่ก็ถึงกับหุบยิ้มในทันที ส่วนเด็กๆคนอื่นๆที่เพิ่งมาถึงเองก็มีสีหน้าไม่แตกต่างกัน
“ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากมีใครมารังแกพวกเจ้าจงบอกข้าเสีย พวกเจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือ หากเป็นก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่พี่ใหญ่แล้วก็ไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่าข้าอย่างเด็ดขาด ยิ่งตลอดช่วงระยะเวลาสามปีที่ข้าจากไปนั้น ข้าก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเลยด้วย ตอนนี้ต่อให้สิบท่านพี่ก็เอาข้าไม่ลงแล้ว!”
“มันไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายอย่างไรดี...” ตลอดช่วงเวลาเกือบสองเดือนมานี้ มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เด็กชายทั้งสองไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ตอนไหนดี จึงทำได้เพียงแค่มองตากันไปมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้ให้ใครสักคนไปตามพี่ใหญ่มาให้ข้าหน่อย สามปีมานี้ข้าประสบความสำเร็จมากพอสมควรเลย ตอนนี้ข้าได้เตรียมเสบียงอาหารมาก พอจะเลี้ยงดูพวกเราได้ระยะเวลาหนึ่งกลับมาด้วย ช่วยไปบอกพี่ใหญ่ให้ข้าที ว่าให้หาคนไปช่วยข้าขนของข้างนอกหน่อย สัญญาจ้างเหลืออีกเวลาไม่กี่ชั่วยามแล้ว ข้าไม่อยากให้พวกนั้นทิ้งของเอาไว้และจากไปทั้งอย่างนี้ เดี๋ยวพวกสัตว์อสูรลงมาทำลายข้าวของเสบียงอาหารเอา”
“ทราบแล้วขอรับท่านอารอสักครู่นะขอรับเดี๋ยวข้าจะไปตามเอง” จางต้าพังรับคำแล้ววิ่งแจ้นหายไปในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้จางหู่อึ้งกับความแข็งแรงของหลานชาย ที่ไม่ได้เจอกันมาเพียงแค่สามปี
‘ตกลงว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่!’
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง