บทที่ 36 พี่น้อง
“เสี่ยวเฉินคุณหนูยังไม่มาหรือ”
พวกเขาเดินทางเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย จนสามารถเดินทางมาถึงหมู่บ้านก่อนเวลาพรบค่ำ จางหลงที่สอดส่ายสายตาไปมาก็ไม่พบเห็นเด็กหญิงเลย จึงได้เอ่ยถามเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่
“คุณหนูยังไม่มาขอรับ เห็นพี่ต้าพังบอกว่าคุณกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนตำรา น่าจะยังไม่ลงมาวันนี้ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกล่าว “ท่านลุงหลงมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าไปเล่นก่อนเถอะ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมกลับไปที่บ้านก่อนค่ำล่ะ เพราะว่าอีกเดี๋ยวมันก็จะค่ำแล้ว”
“ทราบแล้วขอรับ” เด็กชายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะวิ่งแจ้นหายลับไปเล่นกับเพื่อนๆ
“จางหู่พี่ ขอให้เจ้าช่วยเก็บของทั้งหมดเอาไว้เปิดพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่หาสิ่งของทั้งหมดนี้มา แต่ว่าก่อนที่จะเปิดมันข้าอยากให้คุณหนูมาเห็นมันทั้งหมดด้วยกัน เผื่อว่าจะมีอะไรที่นางอยากได้”
“แล้วในคืนนี้เล่าท่านพี่ พวกเราจะไม่แบ่งแจกจ่ายเสบียงนี้ให้ทุกคนในหมู่บ้านกันหรือ”
“ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อย่างที่ข้าได้บอกกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่า หากเป็นเรื่องของเสบียงนั้นพวกเรามีมากเกิน พอแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเราทุกคนในหมู่บ้าน ยังไม่รู้สึกเบื่อรสชาติของหัวมันที่พวกเราลงมือปลูกเองเลยแม้แต่วันเดียว”
จางหลงตอบไปตามความจริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าพวกเขาอดอยากมานาน หรือว่าเป็นเพราะมันทั้งชนิดที่ปลูกที่เนินเขาหลังหมู่บ้านนั้น มันรสชาติดีจนกินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อกันแน่
แค่มันฝรั่งต้มธรรมดาธรรมดาเพียงแค่หัวเดียว มันก็มากพอสำหรับเขาอิ่มท้องไปตลอดทั้งวัน ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่กับเขาคนเดียวเท่านั้น แต่ทุกคนเองก็ไม่แตกต่างกันเลย
“มันจะมีพืชชนิดไหนกันที่วิเศษวิโสขนาดนั้น ขนาดข้าที่ได้กินเม็ดยาของท่านอาจารย์ก็ยังไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อนเลย”
“เดี๋ยวถ้าเจ้าได้กินก็คงจะรู้เองแหละ ว่าสิ่งที่ข้าไม่สามารถอธิบายออกมาได้นั้นมันคืออะไร ว่าแต่ตอนนี้เจ้าจะตกลงหรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้วท่านพี่ หากท่านพี่คิดว่ามันสมควรเป็นเช่นนั้นขาดก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น”
“ถ้าเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันเถอะนี่ก็เย็นมากแล้ว” จางหลงหันไปบอกกับคนอื่นๆในหมู่บ้าน ที่ช่วยกันออกไปขนเกวียนทั้งหมดกลับเข้ามา
“เเล้วก็อย่าลืมแบ่งเวรอย่างกันมาเฝ้าสิ่งของด้วย ถึงแม้ข้าจะไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาทำลายสิ่งของพวกนี้ แต่ที่ผ่านมาพวกเราเองก็ได้เห็นแล้วว่าในบรรดาผู้คนในหมู่บ้านเอง บางคนก็ไม่สามารถเชื่อใจได้”
““ทราบแล้วขอรับท่านหัวหน้า””
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วก็จับกลุ่มคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สมาชิกกว่าแปดในสิบของทั้งหมดจะแยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่สองส่วนเท่านั้นที่ยังคงเฝ้าเกวียนทั้งห้าสิบเล่ม
“ท่านสังขอรับสำหรับวันนี้ข้าขอบคุณมากจริงๆ ท่านกลับไปดูแลคุณหนูได้เลยขอรับ ส่วนเรื่องของทางนี้เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปแจ้งขอรับ” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างจะแต่งอย่างลงตัวแล้ว จางหลงก็ไม่ลืมเดินไปขอบคุณเจ้าสังที่นอนหมอบอยู่ใกล้ๆ
ฮูม...
ส่วนเจ้าสังนั้นก็เพียงแค่ครางรับเบาๆ ก่อนที่มันจะวิ่งหายลับไปทางด้านหลังหมู่บ้าน
“เหลือจะเชื่อจริงๆเลยว่ามันมีจริงๆ หรือ กับการที่เด็กแปดขวบ สามารถฝึกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนั้นให้เชื่องได้” จางหู่ที่คิดว่าตนเองนั้นตัวโตมากแล้ว พอมาเห็นเจ้าหมาตัวยักษ์ที่เพิ่งจะวิ่งหายลับไป เขาก็อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้อยู่ดี “ทำไมสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนั้นถึงยอมรับใช้เด็กอายุเพียงแค่แปดขวบกัน”
“เรื่องบางเรื่องที่ต่อให้รู้ไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เจ้าจะรู้มันไปทำไม” จางหลงเหนื่อยใจกับน้องชายที่เอาแต่ระแวดระวังเจ้าสังไม่เลิก
“การที่มีมันอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ขอแค่เราไม่ไปทำร้ายเจ้านายของมัน หรือไม่ไปหาเรื่องเจ็บตัวเองแล้วล่ะก็ การที่มีมัน หมู่บ้านเราก็แข็งแกร่งไม่ต่างจากเมืองใหญ่เมืองหนึ่งเลยมิใช่หรือ ก็เจ้าบอกข้าเองนี่ว่าการที่มีสัตว์อสูรสีน้ำเงินอยู่แบบนี้ แทบไม่ต่างอะไรเลยกับสำนักใหญ่ๆ หรือนิกายชั้นนำ เท่านั้นมันก็ควรจะพอแล้วนี่”
“ขอรับขอรับ ข้าทราบแล้วขอรับ” จางหู่เบ้ปาก “ไม่ว่าจะกี่ปีท่านก็ยังคงขี้บ่นเหมือนเดิมนะครับ”
“หรือเจ้าคิดว่าการที่เจ้าฝึกฝนมากมาย จนแข็งแกร่งขึ้นมาขนาดนี้แล้วเจ้าจะสามารถทนไม้เรียวของข้าได้หรืออย่างไร รีบกลับบ้านกันได้แล้ว”
“ทราบแล้วขอรับท่านปู่....” จางหู่ล้อเลียนพี่ชายคราหนึ่งแล้วก็ทำหน้าทะเล้นแล้วรีบวิ่งแจ้นกลับบ้านในทันที “หลานชายผู้นี้กลัวแล้วขอรับ!!”
“เจ้านี่มันเป็นเด็กไม่รู้จักโตจริงๆ” ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้น แต่จางหลงก็รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ แต่น้องเล็กของเขาก็ยังคงเป็นน้องชายของเขาอยู่เช่นเดิม แตกต่างจากน้องชายคนรองของเขาเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวเว่ย...ข้าอยากให้เจ้ากลับมาเป็นเจ้าเหมือนแต่ก่อนนัก”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง