LOGINช่วงเวลาหลังจากที่เท้าของพวกเธอสัมผัสกันโดยบังเอิญแล้วต่างฝ่ายต่างชักกลับอย่างรวดเร็วนั้น ยาวนานและน่าอึดอัดเสียยิ่งกว่าความเงียบใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างกัน ภาพยนตร์บนหน้าจอยังคงดำเนินต่อไป เสียงบทสนทนาและเสียงซาวด์แทร็กยังคงดังก้องอยู่ในห้อง แต่สำหรับคนสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้ว โลกทั้งใบได้หยุดนิ่งลงอีกครั้ง
พันธสัญญาที่เพิ่งทำกันไปหมาดๆ ว่าจะ "พูดคุยกันทุกเรื่อง" ได้ถูกทดสอบในทันที... และพวกเธอก็สอบตกอย่างไม่เป็นท่า
ไม่มีใครพูดถึงการสะดุ้งโหยงเมื่อครู่นี้ ไม่มีใครเอ่ยคำว่า "ขอโทษ" หรือ "ไม่เป็นไร" พวกเธอทำเพียงแค่นั่งตัวแข็งทื่อ ขยับตัวให้นั่งห่างกันอีกนิดโดยอัตโนมัติ สร้างพื้นที่ว่างที่เยียบเย็นขึ้นมาคั่นกลางระหว่างพวกเธอ พลอยกอดหมอนอิงไว้แน่นราวกับเป็นเกราะป้องกัน ส่วนฝนก็แกล้งทำเป็นสนใจภาพยนตร์บนหน้าจออย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งๆ ที่ในสมองของเธอไม่ได้ประมวลผลเรื่องราวใดๆ เลย
ในหัวของพลอยมีแต่คำถามวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา 'ทำไมเราต้องชักเท้ากลับ? มันก็แค่การแตะตัวกันธรรมดาๆ เหมือนที่เคยทำมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง' แต่เธอรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว สัมผัสเมื่อครู่มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าสถิตวิ่งแปล๊บเข้ามาในร่างกาย มันไม่ใช่แค่การสัมผัส แต่เป็นการจุดประกายความรู้สึกบางอย่างที่เธอพยายามจะกดมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด ความคิดที่ว่าเธออาจจะ... รู้สึกกับเพื่อนสนิทของตัวเองมากกว่าคำว่าเพื่อน... มันเป็นความคิดที่ทั้งน่าหวาดหวั่นและน่าเย้ายวนใจในเวลาเดียวกัน เธอเริ่มลอบมองฝนที่นั่งอยู่ข้างๆ สังเกตในสิ่งที่เธอไม่เคยใส่ใจมาก่อน... สันกรามที่คมคายยามที่ฝนกำลังใช้ความคิด... แพขนตาที่ยาวเป็นธรรมชาติ... และริมฝีปากบางที่มักจะถูกเม้มเข้าหากันเสมอเวลาที่เธอกำลังจดจ่อกับอะไรบางอย่าง
ทางด้านฝน ปฏิกิริยาของเธอคือความตื่นตระหนกที่ผสมปนเปไปกับความปรารถนา สัมผัสเมื่อครู่มันรุนแรงจนทำให้เธอต้องกลั้นหายใจ ส่วนลึกในใจของเธอโหยหาที่จะได้สัมผัสมากกว่านั้น แต่สัญชาตญาณแห่งการป้องกันตัวและความกลัวที่จะสูญเสียมิตรภาพไปได้สั่งให้เธอต้องชักเท้ากลับทันที เธอรู้สึกผิดที่คำขอใหม่ของลูกค้ารายนั้นยังคงค้างคาอยู่ในกล่องข้อความ มันเหมือนเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุขึ้นมาสร้างความตึงเครียดให้กับพวกเธออยู่ตลอดเวลา และเธอก็รู้ดีว่ามันคือต้นตอของความรู้สึกที่ซับซ้อนทั้งหมดนี้
คืนนั้นจบลงด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างแสร้งทำเป็นง่วงนอนแล้วแยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเองไปเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบและความปรารถนาที่ไร้ซึ่งหนทางระบายออก
เพื่อที่จะทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ ในวันต่อมาฝนจึงเป็นฝ่ายเสนอไอเดียขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นมืออาชีพที่สุด
"พลอย... ฉันว่าเราต้องทำการบ้านกันหน่อยนะ"
พลอยที่กำลังคนกาแฟอยู่หันมามองอย่างไม่เข้าใจ "การบ้าน? เรื่องอะไร"
"ก็เรื่องงานของเราไง" ฝนตอบ พลางเปิดแล็ปท็อปขึ้นมา "ฉันว่าเราควรจะศึกษางานของคนอื่นๆ ในวงการนี้ดูบ้าง เพื่อหาแรงบันดาลใจ แล้วก็ดูว่าสไตล์แบบไหนที่ตลาดกำลังนิยม เราจะได้พัฒนาคอนเทนต์ของเราให้ดีขึ้น"
มันเป็นข้ออ้างที่ฟังดูสมเหตุสมผลและเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง แต่ลึกๆ แล้วมันคือความพยายามที่จะหลีกหนีจากความรู้สึกส่วนตัวโดยการพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ "งาน" และมันก็เป็นหนทางที่จะได้สำรวจในสิ่งที่พวกเธอทั้งสองคนต่างก็หวาดกลัวและใคร่รู้อย่างปลอดภัย
เย็นวันนั้น พวกเธอจึงกลับมานั่งเคียงข้างกันบนโซฟาอีกครั้ง แต่คราวนี้มีหน้าจอแล็ปท็อปสว่างวาบอยู่คั่นกลางระหว่างพวกเธอ ฝนเริ่มจากการเปิดดูแอคเคาท์ของนางแบบและช่างภาพสองสามคนที่เธอเคยเห็นผ่านๆ ตา ในช่วงแรกมันเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นวิชาการอย่างมาก
"คนนี้จัดแสงสวยดีนะ ดูนุ่มนวลแต่ก็เห็นมิติชัดเจน" ฝนวิเคราะห์
"ฉันชอบการใช้สีของคนนี้จัง ดูอาร์ตดี ไม่ได้เน้นแค่ความเซ็กซี่อย่างเดียว" พลอยแสดงความคิดเห็น
พวกเธอวิจารณ์องค์ประกอบภาพ การใช้สี และมุมกล้อง ราวกับกำลังนั่งเรียนวิชาศิลปะการถ่ายภาพกันอยู่ มันเป็นเกราะกำบังชั้นดีที่ช่วยให้พวกเธอรู้สึกสบายใจขึ้น แต่แล้ว... กำแพงนั้นก็เริ่มมีรอยร้าว
ฝนคลิกเข้าไปในแอคเคาท์หนึ่งที่ได้รับการแนะนำขึ้นมา มันเป็นผลงานของช่างภาพหญิงคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในการถ่ายภาพแนว "คู่รัก" และ "คู่หู" โดยเฉพาะ ภาพที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอทำให้ทั้งพลอยและฝนถึงกับนิ่งอึ้งไปพร้อมกัน
มันไม่ใช่ภาพโป๊เปลือยโจ่งแจ้ง แต่เป็นภาพของผู้หญิงสองคนที่กำลังมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและงดงามราวกับบทกวี ภาพแรกเป็นภาพโคลสอัพของมือข้างหนึ่งที่กำลังวางทาบอยู่บนแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของอีกคนหนึ่งอย่างแผ่วเบา แสงและเงาที่ตกกระทบลงมาเน้นให้เห็นรอยบุ๋มของกระดูกสันหลังและมัดกล้ามเนื้อที่อ่อนช้อย มันเป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราวของความไว้วางใจและความอ่อนโยน
ภาพต่อมาเป็นภาพของเรียวขาที่สอดประสานกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางเบา โฟกัสของภาพอยู่ที่ปลายนิ้วเท้าที่กำลังเกี่ยวกระหวัดกันอย่างหยอกล้อ มันเป็นภาพที่ดูขี้เล่นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความนัยที่ลึกซึ้ง
และภาพสุดท้ายที่ทำให้พวกเธอถึงกับกลั้นหายใจ... เป็นภาพซิลลูเอตของผู้หญิงสองคนที่กำลังจะจูบกัน แสงไฟจากด้านหลังส่องให้เห็นเพียงกรอบร่างของพวกเธอ แต่ช่องว่างเล็กๆ ระหว่างริมฝีปากของคนทั้งสองนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความตึงเครียดและแรงปรารถนาที่มหาศาล
ฝนจ้องมองภาพเหล่านั้นนิ่ง สมองในส่วนของช่างภาพกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อวิเคราะห์เทคนิคและองค์ประกอบ แต่หัวใจของเธอกลับกำลังเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมานอกอก เธอพยายามจะควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองด้วยการพูดถึงมันในเชิงวิชาการ
"ดูสิพลอย... ดูวิธีการวางมือของเขาในรูปแรกสิ มันเป็นการวางที่แผ่วเบา ไม่ได้บีบเค้น มันเลยให้ความรู้สึกของการปกป้องดูแล ไม่ใช่การครอบครอง" เธอซูมเข้าไปในภาพ "แล้วรูปเงาดำนั่นก็สุดยอดมาก การเว้นช่องว่างระหว่างริมฝีปากเอาไว้แบบนั้นมันทรงพลังกว่าการให้เห็นภาพจูบกันตรงๆ เสียอีก"
เธอพยายามจะใช้เหตุผลและทฤษฎีศิลปะมาอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง... ความปรารถนาที่จะได้สร้างสรรค์ผลงานที่งดงามและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์แบบนั้นบ้าง
ทางด้านพลอย เธอไม่ได้มองภาพเหล่านั้นในเชิงเทคนิคเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอเห็นคือ "อารมณ์" ที่อบอวลอยู่ในทุกอณูของภาพถ่าย เธอจินตนาการว่าตัวเองกับฝนกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น... มือของฝนที่วางอยู่บนแผ่นหลังของเธอ... ปลายนิ้วเท้าของเธอที่เกี่ยวเล่นอยู่กับของฝน... และริมฝีปากของพวกเธอที่กำลังจะ...
ความคิดนั้นทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เธอเผลอถามคำถามที่เสี่ยงอันตรายออกไปโดยไม่รู้ตัว "ฝน... แกคิดว่า... สักวันหนึ่งเราจะถ่ายภาพที่สวยงามแบบนี้ได้ไหม"
คำถามนั้นทำให้ฝนชะงักไป เธอละสายตาจากหน้าจอแล้วหันมามองพลอยที่กำลังจ้องมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย "ฉัน... ฉันไม่รู้สิพลอย... มันคงจะ... ยากน่าดู"
การ "ค้นคว้า" ในคืนนั้นได้กลายเป็นการเล้าโลมทางอารมณ์โดยไม่รู้ตัว พวกเธอกำลังสำรวจความใกล้ชิดและความปรารถนาร่วมกันอย่างปลอดภัยผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ บรรยากาศในห้องที่เคยเยียบเย็นกลับมาร้อนระอุขึ้นอีกครั้งด้วยความเป็นไปได้ที่แขวนลอยอยู่ในอากาศ คำขอของลูกค้าที่เคยดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้... บัดนี้กลับดูเหมือนจะเป็นก้าวต่อไปที่สมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
เพื่อที่จะสลัดความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป ในคืนวันเสาร์พลอยจึงเป็นฝ่ายชวนฝนออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก "ฉันเบื่อที่จะต้องอุดอู้อยู่ในห้องแล้วฝน เราออกไปหาอะไรดื่มกันเถอะ ไปทำตัวเหมือนคนปกติกันบ้าง"
ฝนเห็นด้วยกับความคิดนั้นทันที พวกเธอทั้งสองคนต่างก็ต้องการหลีกหนีจากบรรยากาศที่น่าอึดอัดในคอนโดเต็มทนแล้ว พวกเธอแต่งตัวสวยกันเต็มที่ราวกับจะไปออกเดท พลอยอยู่ในชุดเดรสรัดรูปสีแดงเข้มที่ขับผิวของเธอให้ผ่องขึ้นไปอีก ส่วนฝนก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ที่ดูสบายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเท่ในแบบของเธอ
พวกเธอเลือกร้านรูฟท็อปบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่เคยมาด้วยกันบ่อยๆ ในสมัยเรียน บรรยากาศที่คุ้นเคย แสงไฟสลัวๆ ของเมืองกรุง และเครื่องดื่มค็อกเทลเย็นๆ ช่วยให้พวกเธอผ่อนคลายลงได้มาก พวกเธอพยายามจะพูดคุยกันถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยสนุกสนานด้วยกัน พยายามจะเรียกคืนความรู้สึกของการเป็น "เพื่อนสนิท" ที่ไม่มีอะไรซับซ้อนกลับคืนมา และในช่วงเวลาสั้นๆ... มันก็เกือบจะสำเร็จ
แต่แล้ว... ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะของพวกเธอ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่ง และแต่งตัวดูมีราคา เขาส่งยิ้มมาให้พลอยอย่างเปิดเผย
"ขอโทษนะครับ พอดีผมเห็นคุณนั่งอยู่ตรงนี้แล้วรู้สึกว่า... ถ้าไม่ได้เข้ามาทักทาย คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับแน่ๆ"
พลอยหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดที่แสนจะเชยนั้น แต่ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์นิดๆ และความต้องการที่จะพิสูจน์อะไรบางอย่างกับตัวเอง... เธอก็เลยคุยเล่นกับเขาตอบไปอย่างเป็นกันเอง
ฝนที่นั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ รู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่แล่นมาจุกอยู่ที่อก ความรู้สึกที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนได้พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงจนน่าตกใจ... มันคือความหึงหวง
มันไม่ใช่ความรู้สึกหวงเพื่อนแบบที่เคยเป็นเวลาที่มีคนเข้ามาจีบพลอย ไม่ใช่ความรู้สึกอยากจะช่วยสแกนผู้ชายให้เพื่อน แต่มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด ร้อนรน และอยากจะเข้าไปกระชากพลอยออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นให้เร็วที่สุด เธอเกลียดรอยยิ้มที่พลอยส่งไปให้ผู้ชายคนนั้น เกลียดสายตาของเขาที่กำลังโลมเลียเพื่อนของเธอไปทั้งตัว และที่สำคัญที่สุด... เธอเกลียดความรู้สึกที่ว่า "พลอย" คนที่เธอเฝ้ามองผ่านเลนส์กล้องด้วยความทะนุถนอม คนที่เธอเห็นในมุมที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน... กำลังจะถูกคนอื่นแย่งไป
'เราเป็นอะไรไปเนี่ย' ฝนด่าทอตัวเองในใจ 'พลอยมีสิทธิ์ที่จะคุยกับใครก็ได้ เราเป็นแค่เพื่อนกันนะ' แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามใช้เหตุผลมากแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่เหมือนมีมีดเล่มเล็กๆ กรีดลงไปในหัวใจของเธอได้เลย
ในที่สุด พลอยก็หาทางปลีกตัวออกจากชายหนุ่มคนนั้นได้สำเร็จ เธอกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย "ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ น่ารำคาญชะมัด"
แต่เมื่อเธอหันมาเห็นสีหน้าเรียบเฉยและแววตาที่เย็นชาของฝน เธอก็ต้องขมวดคิ้ว "เป็นอะไรไปฝน... ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ"
"เปล่า" ฝนตอบเสียงเรียบ "แค่... เหนื่อยน่ะ อยากกลับแล้ว"
บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายเมื่อครู่พังทลายลงในพริบตา ความพยายามที่จะกลับไปเป็น "เพื่อนสนิท" คนเดิมของพวกเธอได้ล้มเหลวไม่เป็นท่า
ตลอดทางที่นั่งรถแท็กซี่กลับคอนโด ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ความเงียบที่โรยตัวอยู่นั้นหนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกผิดหวังของพลอยและความรู้สึกหึงหวงที่ยังคุกรุ่นอยู่ในใจของฝน
เมื่อกลับมาถึงห้อง ความตึงเครียดที่พวกเธอพยายามจะหนีมาทั้งคืนก็ได้ย้อนกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม พวกเธอไม่สามารถกลับไปแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกต่อไปแล้ว
และในครั้งนี้ ฝนก็เป็นฝ่ายที่หมดความอดทนก่อน ความรู้สึกหึงหวงเมื่อครู่มันได้ผลักดันให้เธอต้องทำอะไรสักอย่าง เธอไม่สามารถทนอยู่ในสถานะที่คลุมเครือนี้ได้อีกต่อไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่กล้าพอที่จะสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ... เธอจึงใช้ "คำขอ" นั้นเป็นเครื่องมือ
ฝนเดินตรงไปที่แล็ปท็อปของเธอ เปิดหน้าข้อความนั้นขึ้นมา แล้วหันหน้าจอไปทางพลอยที่ยืนงงอยู่กลางห้อง
"เรื่องนี้..." เธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้มั่นคงที่สุด แต่ก็ไม่อาจซ่อนความสั่นเครือไว้ได้ "เราต้องให้คำตอบเขาสักที"
พลอยมองหน้าจอที่สว่างวาบสลับกับใบหน้าที่จริงจังของฝน ในวินาทีนั้นเองเธอก็เข้าใจในทันทีว่านี่มันไม่ใช่แค่เรื่องงานอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ของพวกเธอไปตลอดกาล
"ฉันคิดดูแล้วนะพลอย..." ฝนพูดต่อ "หลังจากที่เราดูงานของคนอื่นๆ คืนนั้น... ฉันคิดว่า... เราอาจจะทำมันได้นะ มันไม่จำเป็นต้องดูน่าเกลียดเลย ถ้าฉันถ่ายมันออกมาดีๆ จัดแสงสวยๆ มันก็จะเป็นศิลปะได้... เหมือนกับภาพถ่ายพวกนั้น"
เธอพยายามจะใช้เหตุผลในเชิงศิลปะมาโน้มน้าว แต่ดวงตาของเธอกลับกำลังร้องขอในสิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้น มันเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความหวาดกลัวระคนกัน
พลอยนิ่งฟัง เธอไม่ได้สนใจเหตุผลที่ฝนพูดเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอสนใจคือแววตาของฝนต่างหาก เธอหวนนึกถึงภาพถ่าย "คู่รัก" ที่พวกเธอดูด้วยกันในคืนนั้น นึกถึงแววตาหึงหวงของฝนที่บาร์เมื่อครู่นี้... และเธอก็เข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝนไม่ได้พูดออกมา
การตอบตกลงที่จะถ่ายทำวิดีโอนี้ มันไม่ใช่แค่การตกลงทำงานเพื่อแลกกับเงินอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการ "ตอบตกลง" ที่จะก้าวข้ามเส้นแบ่งที่อันตรายที่สุดไปด้วยกัน คือการให้ความยินยอมที่จะสำรวจความรู้สึกที่พวกเธอทั้งสองคนต่างก็หวาดกลัวที่จะเอ่ยมันออกมา
พลอยละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฝนตรงๆ เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังรอคอยคำตอบของเพื่อนรัก... เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ... แล้วตัดสินใจเลือกหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเธอไปตลอดกาล
"ก็ได้"
เธอตอบกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับกระซิบ...
"เรามาทำกันเถอะ"
กระบวนการสร้างสรรค์ครั้งสุดท้ายสำหรับโปรเจกต์ "กล้องที่ถูกทอดทิ้ง" ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องมืดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสารเคมี... และก็ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้แสงแดดที่นุ่มนวลในสตูดิโอ... แต่กลับเกิดขึ้นบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าของไฟล์เอกสาร... ในรูปแบบของ "บทสัมภาษณ์ถาม-ตอบ" สำหรับหนังสือภาพถ่ายของพวกเธอ มันคือการเดินทางย้อนกลับไปสำรวจร่องรอยของความทรงจำ... คือการกลั่นกรองความรู้สึกที่ซับซ้อนออกมาเป็นตัวอักษร... และที่สำคัญที่สุด... มันคือการที่พลอยจะได้ค้นพบ "เสียง" ของตัวเองเป็นครั้งแรก พวกเธอนั่งเคียงข้างกันที่โต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่... อ่านคำถามจากสำนักพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมา... ทุกคำถามล้วนแต่แหลมคมและเฉือนลึกลงไปถึงแก่นของเรื่องราวทั้งหมด คำถาม: ถึงแรงบันดาลใจ: คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวที่สุดของคุณถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผลงานศิลปะเพื่อสาธารณะ พลอยนิ่งไปนานกับคำถามนี้... เธอจะอธิบายความรู้สึกที่ทั้งเปราะบางและเปี่ยมไปด้วยพลังนั้นออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร... เธอเริ่มต้นเขียน... ลบ... แล้วก็เขียนใหม่อยู่หลายครั้ง... โดยมีฝนคอยนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ... จนในที่สุด... เธอก็ได้พบคำตอบท
สตูดิโอแห่งใหม่ของพวกเธอได้กลายเป็นมากกว่าแค่สถานที่ทำงาน... มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต... เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ความรักและศิลปะของพวกเธอได้เติบโตและหายใจไปด้วยกันอย่างอิสระ และในบรรดาพื้นที่ทั้งหมดที่พวกเธอได้ร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น... ก็ไม่มีที่ไหนที่จะมีความหมายและเป็นส่วนตัวสำหรับฝนได้มากเท่ากับ "ห้องมืด" อีกแล้ว มันคือความฝันที่เป็นจริง... คือโลกใบเล็กๆ ที่เธอสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง... โลกที่ตัดขาดจากแสงสว่างและความวุ่นวายภายนอกโดยสิ้นเชิง บทแรกของการสร้างสรรค์ผลงานในบ้านหลังใหม่นี้ จึงเริ่มต้นขึ้นในความมืดมิดนั้น ฝนก้าวเข้าไปในห้องมืดที่เธอสร้างขึ้นมากับมือเป็นครั้งแรก... ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นเปรียบเสมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต เธอปิดประตูลง... และโลกทั้งใบก็จมดิ่งลงสู่ความมืดสนิท... มีเพียงแสงสีแดงจางๆ จากหลอดไฟนิรภัยเท่านั้นที่ส่องสว่างพอให้มองเห็นเค้าโครงของสิ่งต่างๆ... ถาดน้ำยาสามใบที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ... เครื่องอัดขยายภาพที่ตั้งตระหง่านอยู่มุมห้อง... และเสียงน้ำไหลที่ดังมาจากท่อ... ทุกอย่างคือองค์ประกอบของพิธีกรรมที่กำลังจะเร
สตูดิโอแห่งใหม่ที่พวกเธอได้ตัดสินใจเช่าในย่านตลาดน้อยนั้น... ในวันแรกที่ได้กุญแจมา... มันดูไม่ต่างอะไรกับซากปรักหักพังที่ถูกทอดทิ้ง สีบนผนังหลุดลอกร่อนออกมาเป็นแผ่นๆ พื้นไม้เก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ก้าวเดิน และฝุ่นหนาก็ปกคลุมทุกตารางนิ้วราวกับหิมะสีเทา... แต่มันก็เป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วย "ศักยภาพ" หน้าต่างบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจรดเพดานคือหัวใจของพื้นที่แห่งนี้ มันเปิดรับแสงแดดยามบ่ายของกรุงเทพฯ เข้ามาอย่างเต็มที่ และจากหน้าต่างบานนั้น... พวกเธอก็สามารถมองเห็นวิวของหลังคาบ้านเก่าๆ และชีวิตที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าของผู้คนในย่านเมืองเก่าได้... มันคือผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า... ที่กำลังรอคอยให้พวกเธอได้เข้าไปแต่งแต้มเรื่องราว แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการลงมือทำความสะอาดหรือทาสี... พวกเธอกลับเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยการ "ฝัน" พวกเธอนั่งลงบนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น... โดยมีเพียงกระดาษแผ่นใหญ่กับดินสอสองสามแท่งคั่นกลางอยู่... แล้วเริ่มต้นสร้าง "กระดานแห่งความฝัน" (Dream Board) สำหรับพื้นที่แห่งนี้... มันคือการระดมสมองที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคิดสร้างสรรค์... และมันก็ได้เปิดเผยถ
การยอมรับที่ไร้เงื่อนไขของมิ้นท์ในวันนั้น เปรียบเสมือนก้อนหินก้อนแรกที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบที่นิ่งสงบแห่งชีวิตของพวกเธอ และมันก็ได้สร้างระลอกคลื่นที่แผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ แต่ทรงพลัง... ระลอกคลื่นที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางอารมณ์และสังคมของพวกเธอไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศในคอนโดมิเนียมที่เคยเป็นเหมือนป้อมปราการสำหรับหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอก บัดนี้ได้กลายเป็นเหมือนบ้านที่เปิดประตูต้อนรับพันธมิตรคนสำคัญเข้ามา ความวิตกกังวลระดับต่ำที่คอยเกาะกินจิตใจของพวกเธออยู่ตลอดเวลาว่าเพื่อนสนิทจะคิดอย่างไร... บัดนี้ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ในช่วงหลายวันที่ตามมานั้น ชีวิตของพวกเธอได้ค้นพบจังหวะใหม่ที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น การมาเยือนของมิ้นท์ที่คอนโดในเย็นวันศุกร์วันหนึ่ง ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้น ภาพของคนสามคนที่นั่งล้อมวงกินส้มตำและไก่ย่างกันบนพื้นห้องนั่งเล่นนั้น มันช่างเป็นภาพที่แสนจะธรรมดา... แต่สำหรับพวกเธอแล้ว... มันคือความไม่ธรรมดาที่แสนจะงดงาม พลอยกับฝนสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยระแวดระวังอีกต่อไปแล้ว สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ที่เ
ความตื่นเต้นที่เคยพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของพวกเธอตลอดค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการนั้น ได้ค่อยๆ จางหายไปในระหว่างการเดินทางกลับคอนโดด้วยรถแท็กซี่ ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกที่เหนือจริงและความสุขที่เงียบสงบซึ่งเข้ามาแทนที่ พวกเธอนั่งเคียงข้างกันในความมืด จ้องมองแสงไฟของเมืองกรุงที่เคลื่อนผ่านไปนอกหน้าต่าง แต่จิตใจกลับล่องลอยย้อนกลับไปในช่วงเวลาสำคัญที่เพิ่งจะผ่านมาสดๆ ร้อนๆ "ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยฝน" พลอยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยเสียงกระซิบ "ตอนที่สายตาของมิ้นท์มองมาที่เราสองคน... ฉันนึกว่าหัวใจฉันจะหยุดเต้นไปแล้วเสียอีก" "ฉันก็เหมือนกัน" ฝนตอบกลับมาเสียงแผ่วเบา เธอยังจำความรู้สึกเย็นเฉียบที่แล่นไปทั่วร่างของตัวเองในตอนนั้นได้ดี "แต่... วิธีที่มิ้นท์พูดออกมา... 'มันเป็นเรื่องราวความรักที่สวยงาม'... เขาไม่ได้กำลังพูดกับคนอื่น... เขากำลังพูดกับเรา" "ใช่..." พลอยพยักหน้าช้าๆ "เขาไม่ได้เปิดโปงเรา... แต่เขากำลัง... ยอมรับในตัวเรา" พวกเธอเดินทางกลับมาถึงคอนโดที่เปรียบเสมือนรังอันปลอดภัยอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้... มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพว
ค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการมาถึงพร้อมกับสายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวและก้อนเมฆสีเทาที่ลอยตัวอยู่อย่างเกียจคร้านบนท้องฟ้าของกรุงเทพฯ บรรยากาศในคอนโดมิเนียมของพลอยกับฝนในเย็นวันนั้น... มันช่างเงียบสงัดและตึงเครียดเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความตึงเครียดที่เกิดจากความโกรธหรือความไม่เข้าใจ... แต่เป็นความตึงเครียดที่เกิดจากการรอคอย... การรอคอยที่จะต้องเผชิญหน้ากับบทพิพากษาสุดท้าย พวกเธอบรรจงแต่งตัวกันอย่างเงียบเชียบ... การเลือกเสื้อผ้าในวันนี้มีความหมายมากกว่าแค่เรื่องของความสวยงาม... มันคือการเลือกชุดเกราะ... คือการพรางตัวเพื่อที่จะแทรกซึมเข้าไปในฝูงชนโดยไม่มีใครจดจำได้ พลอยเลือกชุดเดรสยาวสีดำที่ดูเรียบหรูแต่ก็ไม่โดดเด่นจนเกินไป ส่วนฝน... เธอเลือกที่จะสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแล็ค... เป็นชุดที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นเพียงเงาจางๆ ที่พร้อมจะกลืนหายไปกับความมืดได้ทุกเมื่อ ในหัวของฝนนั้นเต็มไปด้วยภาพฉายซ้ำของสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้... 'แล้วถ้ามิ้นท์จำรอยสักของพลอยได้ล่ะ' 'เราจะตอบคำถามของเพื่อนๆ ว่าอย่างไร' เธอกำลังจะก้าวเข้าไปในงานแสดงผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน







