LOGINค่ำคืนนั้น หลังจากการถ่ายทำที่เปรียบเสมือนการสารภาพรักโดยไร้เสียงจบสิ้นลง ไม่มีใครในคอนโดมิเนียมแห่งนั้นที่ข่มตาหลับลงได้สนิท พวกเธอต่างนอนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง จ้องมองความมืดมิดที่ว่างเปล่า แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ที่ฉายวนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ ราวกับฟิล์มภาพยนตร์ที่ตกร่อง
สำหรับพลอยแล้ว ทุกครั้งที่เธอหลับตาลง สัมผัสจากปลายนิ้วของฝนก็ยังคงเด่นชัดอยู่บนผิวหนังของเธอ ความร้อนที่ส่งผ่านมา ความสั่นเทาเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงความประหม่า และวินาทีที่นิ้วของพวกเธอกำลังจะสอดประสานกัน... ทุกอย่างมันยังคงสดใหม่และรุนแรงจนทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกอับอายหรือสับสนอีกต่อไปแล้ว คำถามที่เคยมีว่า "นี่เรารู้สึกอะไรกันแน่" ได้ถูกแทนที่ด้วยคำตอบที่ชัดเจนจนน่ากลัว... "นี่คือสิ่งที่หัวใจเราต้องการ"
ความกลัวที่จะสูญเสียมิตรภาพไปไม่ได้หายไปไหน แต่มันถูกบดบังด้วยความปรารถนาที่ทรงพลังยิ่งกว่า เธอปรารถนาที่จะได้กลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง ปรารถนาที่จะได้เห็นแววตาของฝนที่มองมาที่เธอด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งแบบนั้นอีก ความเงียบหลังจากการถ่ายทำจบลงไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด แต่กลับทำให้เธอรู้สึกโหยหา... โหยหาที่จะได้ยินเสียงของฝน โหยหาที่จะได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่เธอรู้สึกนั้น... ไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว
แต่สำหรับฝนแล้ว ค่ำคืนนี้คือฝันร้ายที่เธอภาวนาให้มันจบสิ้นลงเสียที เธอนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม กอดหมอนข้างไว้แน่นราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต ในฐานะผู้กำกับและช่างภาพ เธอคือคนที่ควรจะควบคุมทุกอย่างได้ แต่เมื่อคืนนี้... เธอได้สูญเสียการควบคุมไปโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ควบคุมการถ่ายทำ แต่คือการควบคุมหัวใจของตัวเอง
ภาพของผิวเนียนละเอียดของพลอยภายใต้แสงเทียน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโลชั่นที่ยังติดอยู่ที่ปลายจมูก และสัมผัสที่นุ่มนวลจนแทบจะหลอมละลายได้นั้น มันได้ตีตราลงไปในจิตวิญญาณของเธออย่างถาวร ความรู้สึกผิดบาปถาโถมเข้าใส่เธออย่างรุนแรง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้าย เป็นคนที่ล่วงละเมิดความไว้วางใจที่เพื่อนรักมีให้ เธอคือคนที่ผลักดันให้สถานการณ์มันเดินทางมาถึงจุดนี้ จุดที่อันตรายและเปราะบางจนอาจจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ แววตาของพลอยที่มองตอบกลับมา... แววตาที่เต็มไปด้วยการยอมจำนนและความรู้สึกที่ไม่ต่างกันนั้น... คือสิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวที่สุด เพราะมันคือการยืนยันว่าเธอไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว และนั่นหมายความว่า... หายนะกำลังรอพวกเธออยู่ข้างหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้น ความเงียบที่เคยหนักอึ้งได้กลายสภาพเป็นความเงียบที่เจ็บปวด คอนโดมิเนียมที่เคยเป็นเหมือนสวรรค์อันอบอุ่นของพวกเธอ บัดนี้ได้กลายเป็นเหมือนกล่องสุญญากาศที่ดูดกลืนทุกความมีชีวิตชีวาออกไปจนหมดสิ้น พวกเธอเดินสวนกันไปมาในห้องราวกับวิญญาณที่มองไม่เห็นซึ่งกันและกัน การกระทำง่ายๆ อย่างการเดินไปรินน้ำในครัว กลายเป็นเหมือนการวางแผนการรบที่ต้องคำนวณเส้นทางและจังหวะเวลาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน
พันธสัญญาที่ว่าจะ "พูดคุยกันทุกเรื่อง" ได้กลายเป็นเรื่องตลกที่น่าสมเพช พวกเธอจะเริ่มต้นพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าที่คำพูดใดๆ จะสามารถอธิบายได้หมด
แต่แล้ว ภาระหน้าที่ก็บีบบังคับให้ฝนต้องเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน... เธอรู้ดีว่าเธอต้องตัดต่อวิดีโอเจ้าปัญหานั้นให้เสร็จ มันเป็นเหมือนหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ผูกมัดเธอกับเหตุการณ์ในคืนนั้น และมันก็ได้กลายเป็นตัวจุดชนวนของความขัดแย้งที่กำลังจะปะทุขึ้นมา
ฝนหอบแล็ปท็อปของเธอเข้าไปขังตัวเองอยู่ในห้องนอน ล็อคประตูราวกับจะป้องกันตัวเองจากโลกภายนอก เธอสวมหูฟัง เปิดโปรแกรมตัดต่อขึ้นมา แล้วเผชิญหน้ากับภาพเหตุการณ์นั้นอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
มันคือการทรมานตัวเองดีๆ นี่เอง เธอต้องนั่งดูภาพความใกล้ชิดของตัวเองกับพลอยซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบรอบ เธอต้องเลื่อนไทม์ไลน์ไปทีละเฟรมเพื่อหาจุดตัดต่อที่ดีที่สุด และในทุกๆ เฟรมที่เคลื่อนผ่านไป เธอก็ได้เห็นในสิ่งที่ตาเปล่าอาจจะมองข้ามไป... เธอเห็นลมหายใจที่สะดุดของพลอยในวินาทีแรกที่มือของเธอสัมผัสลงบนแผ่นหลัง... เธอเห็นเปลือกตาของพลอยที่ปิดลงอย่างผ่อนคลายในเสี้ยววินาทีที่นิ้วโป้งของเธอลูบไล้บนหลังมือ... และเธอเห็นความสั่นเทาในมือของตัวเองที่พยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้
หลักฐานมันมัดตัวเธอจนดิ้นไม่หลุด มันไม่ใช่การแสดง มันคือเรื่องจริง และความจริงนั้นก็คือ... เธอได้ทำให้เพื่อนสนิทของตัวเองหวั่นไหว และตัวเธอเองก็ตกหลุมรักเพื่อนคนนั้นอย่างหัวปักหัวปำ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เธอระลอกแล้วระลอกเล่า
สุดท้าย เธอก็ได้สร้างวิดีโอเวอร์ชั่นที่ "สามารถขายได้" ขึ้นมาจนสำเร็จ เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตัดต่อช่วงเวลาที่เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกไปให้หมด... ทั้งสายตาที่ประสานกัน... ทั้งวินาทีที่ปลายนิ้วกำลังจะสอดประสาน... เธอได้ทำการ "ฆ่า" ความจริงที่เกิดขึ้น แล้วสร้างเรื่องโกหกที่สวยงามขึ้นมาแทนที่ ผลงานชิ้นสุดท้ายที่ได้ออกมานั้นดูสวยงามไร้ที่ติในเชิงศิลปะ แต่มันช่างดูว่างเปล่าและจืดชืดเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่รุนแรงในตอนที่มันถูกสร้างขึ้นมา
ในขณะเดียวกัน พลอยที่อยู่นอกห้องก็ได้ยินเสียงคลิกเมาส์ที่ดังลอดออกมาเป็นระยะๆ เธอรู้ดีว่าฝนกำลังทำอะไรอยู่... เธอกำลังตัดต่อ "ความทรงจำ" ของพวกเธอ เธอนั่งรออยู่ที่โซฟาด้วยหัวใจที่บีบคั้น เธอไม่ได้ต้องการให้ฝนทำงาน แต่เธอต้องการให้ฝนเดินออกมาจากห้องนั้น แล้วพูดกับเธอ... ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเธอ ความเงียบที่ดังออกมาจากห้องของฝนจึงเปรียบเสมือนการปฏิเสธ... เป็นการบอกเธอเป็นนัยๆ ว่าเรื่องราวในคืนนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย
เมื่อฝนตัดต่อวิดีโอเสร็จ เธอก็เดินออกมาจากห้องนอนด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวและแววตาที่ว่างเปล่า เธอไม่มองหน้าพลอยแม้แต่น้อย แต่เดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน เปิดอีเมล อัพโหลดไฟล์วิดีโอ แล้วกดส่งไปให้ลูกค้า... ทุกการกระทำของเธอดูเย็นชาและเป็นกลไกราวกับหุ่นยนต์
การกระทำที่ดูเหมือนเป็นการปัดความรับผิดชอบและลดทอนคุณค่าของช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอนั้น... มันคือฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพลอย ความหวังและความปรารถนาที่เธอสั่งสมมาทั้งคืนได้แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดและความสับสนในพริบตา
"แค่นี้เหรอ"
เสียงของพลอยดังขึ้น ทำลายความเงียบในห้อง มันเป็นเสียงที่เบาแต่ก็แฝงไว้ด้วยความคมกริบ "เธอก็แค่... ส่งมันไปเหมือนกับว่ามันเป็นแค่งานชิ้นหนึ่งงั้นเหรอ"
ฝนชะงักไป เธอหันมาเผชิญหน้ากับพลอยด้วยแววตาที่สั่นระริก "มันก็คืองานไงพลอย... นี่คือสิ่งที่เราทำกันอยู่ไม่ใช่เหรอ" เธอพยายามจะดึงสถานการณ์ทุกอย่างให้กลับเข้าไปอยู่ในกรอบของคำว่า "งาน" ที่ปลอดภัย... เธอกำลังอยู่ในโหมด "หลีกหนี" อย่างเต็มรูปแบบ
"อย่าโกหกฉันฝน... และที่สำคัญที่สุด อย่าโกหกตัวเอง" พลอยสวนกลับไปทันที น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ "เธอรู้ดีว่าเมื่อคืนนี้มันคืออะไร ฉันรู้สึกได้... และฉันก็เห็นมันในแววตาของเธอ"
คำพูดของพลอยเปรียบเสมือนการยืนยันในสิ่งที่ฝนหวาดกลัวที่สุด... ความรู้สึกนั้นมันเป็นเรื่องจริง และมันก็เกิดขึ้นกับคนทั้งสองฝ่าย นี่คือจุดที่ไม่มีอะไรจะย้อนกลับไปได้อีกแล้ว... ความตื่นตระหนกเข้าครอบงำจิตใจของฝนจนหมดสิ้น
"ฉัน... ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร" เธอโกหกออกไปเป็นครั้งแรกในชีวิตที่คบกันมา น้ำเสียงของเธอแตกพร่าจนน่าสมเพช "เมื่อคืนนี้เราแค่... อินกับบทบาทมากเกินไป มันเป็นความผิดพลาด... เราก้าวข้ามเส้นที่ไม่ควรก้าวข้ามไป"
คำว่า "ความผิดพลาด"...
มันคือมีดที่กรีดลงไปกลางหัวใจของพลอยจนแหลกลาญ สำหรับเธอแล้ว มันคือช่วงเวลาที่งดงามที่สุด คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่สำหรับฝน... มันคือความผิดพลาด
"ความผิดพลาดเหรอ" พลอยทวนคำนั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและไม่อยากจะเชื่อ "การที่เธอสัมผัสฉัน... มันคือความผิดพลาดอย่างนั้นเหรอ"
ฝนที่ถูกต้อนจนจนมุมและหวาดกลัวจนขาดสติ ได้ตัดสินใจเลือกหนทางที่เลวร้ายที่สุด... คือการวิ่งหนี
"ฉัน... ฉันทำแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วพลอย" เธอพูดออกมาอย่างยากลำบาก "ฉันคิดว่า... ฉันต้องการพื้นที่... ฉันจะกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่สักพักนะ... แค่สองสามวัน... เราทั้งคู่ต้องการเวลาที่จะใจเย็นลง"
เมื่อไม่สามารถเผชิญหน้ากับความจริงได้... เธอก็เลือกที่จะวิ่งหนีไปจากมัน
ฝนรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนของเธอ คว้ากระเป๋าเป้แล้วยัดเสื้อผ้าลงไปอย่างลวกๆ เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับพลอยที่บัดนี้น้ำตาได้ไหลทะลักออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างแล้ว พลอยได้แต่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่กลางห้อง มองดูเพื่อนรักของเธอกำลังจะเดินจากไป...
เมื่อฝนเก็บของเสร็จ เธอก็เดินตรงไปยังประตูโดยไม่หันกลับมามองพลอยอีกเลย
"ฝน... อย่าไปนะ" พลอยพูดออกมาเสียงแผ่วเบา "เราคุยกันได้นะ... ได้โปรด"
แต่ฝนไม่ได้หยุด... เธอเปิดประตูแล้วก้าวออกไป...
...ปัง...
เสียงประตูปิดลงดังสนั่น ทิ้งให้พลอยต้องยืนอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางความเงียบที่เข้ามาแทนที่
ความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากที่ประตูบานนั้นปิดลง มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดหรือเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว... แต่มันคือความเงียบที่ว่างเปล่า... คือความเงียบที่โหดร้ายและกัดกินหัวใจ
พลอยทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างหมดแรง น้ำตาของเธอยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบได้พังทลายลงมาอยู่ตรงหน้า ความหวังทั้งหมดที่เธอเคยมีได้ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดีด้วยคำว่า "ความผิดพลาด" เพียงคำเดียว เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกปฏิเสธอย่างรุนแรงจนร่างกายเจ็บปวดไปหมด
เธอลุกขึ้นเดินอย่างไร้จุดหมายไปทั่วคอนโดที่บัดนี้ดูใหญ่โตและเวิ้งว้างจนน่าใจหาย ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ล้วนแต่มีความทรงจำของฝนอยู่เต็มไปหมด... แก้วกาแฟที่ฝนชอบใช้... หนังสือที่ฝนอ่านค้างไว้... กลิ่นน้ำหอมจางๆ ของฝนที่ยังคงลอยอบอวลอยู่ในอากาศ...
เท้าของเธอพาเธอเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ... สถานที่เกิดเหตุของ "ความผิดพลาด" นั้น... เธอเปิดประตูเข้าไปแล้วมองดูกรอบร่างของตัวเองในกระจกเงา... หยดน้ำตาที่ไหลลงมาทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด เธอยกมือขึ้นมาสัมผัสแผ่นหลังของตัวเอง... ในที่ที่มือของฝนเคยสัมผัส... แล้วก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น
ในขณะเดียวกัน... ฝนที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ก็กำลังร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆ เช่นกัน เธอมองดูกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วผ่านม่านน้ำตา เธอไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยแม้แต่น้อยที่หนีออกมาได้... ในทางกลับกัน... เธอรู้สึกทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิม การวิ่งหนีมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย แต่มันกลับยิ่งขยายความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดในใจของเธอให้ใหญ่ขึ้นไปอีก เธอรู้ดีว่าเธอได้ทำร้ายจิตใจของพลอย... คนเพียงคนเดียวที่เธอไม่เคยต้องการจะทำร้าย... และเธอก็เกลียดตัวเองเหลือเกินที่เป็นคนทำมัน
...ติ๊ง...
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือของพลอยดังขึ้น ทำลายความเงียบที่น่าเศร้าลง เธอกวาดน้ำตาออกจากหน้าจอแล้วหยิบมันขึ้นมาดูอย่างไม่ใส่ใจนัก
มันเป็นการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ...
'เงินจำนวน 25,000.00 บาท ได้ถูกโอนเข้าบัญชีร่วมของคุณแล้ว'
มันคือเงินค่าจ้างสำหรับวิดีโอตัวล่าสุด... เงินโบนัสก้อนใหญ่จากลูกค้าที่พึงพอใจในผลงานของพวกเธอ...
เงิน... ที่พวกเธอเคยต้องการมันอย่างสุดหัวใจ... บัดนี้ได้มาอยู่ในบัญชีของพวกเธอแล้ว...
แต่มันกลับต้องแลกมาด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง...
พลอยปล่อยโทรศัพท์มือถือหลุดจากมืออย่างไร้เรี่ยวแรง เธอมองดูตัวเลขบนหน้าจอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า... แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ... มันเป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่นและเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเธอ
กระบวนการสร้างสรรค์ครั้งสุดท้ายสำหรับโปรเจกต์ "กล้องที่ถูกทอดทิ้ง" ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องมืดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสารเคมี... และก็ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้แสงแดดที่นุ่มนวลในสตูดิโอ... แต่กลับเกิดขึ้นบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าของไฟล์เอกสาร... ในรูปแบบของ "บทสัมภาษณ์ถาม-ตอบ" สำหรับหนังสือภาพถ่ายของพวกเธอ มันคือการเดินทางย้อนกลับไปสำรวจร่องรอยของความทรงจำ... คือการกลั่นกรองความรู้สึกที่ซับซ้อนออกมาเป็นตัวอักษร... และที่สำคัญที่สุด... มันคือการที่พลอยจะได้ค้นพบ "เสียง" ของตัวเองเป็นครั้งแรก พวกเธอนั่งเคียงข้างกันที่โต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่... อ่านคำถามจากสำนักพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมา... ทุกคำถามล้วนแต่แหลมคมและเฉือนลึกลงไปถึงแก่นของเรื่องราวทั้งหมด คำถาม: ถึงแรงบันดาลใจ: คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวที่สุดของคุณถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผลงานศิลปะเพื่อสาธารณะ พลอยนิ่งไปนานกับคำถามนี้... เธอจะอธิบายความรู้สึกที่ทั้งเปราะบางและเปี่ยมไปด้วยพลังนั้นออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร... เธอเริ่มต้นเขียน... ลบ... แล้วก็เขียนใหม่อยู่หลายครั้ง... โดยมีฝนคอยนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ... จนในที่สุด... เธอก็ได้พบคำตอบท
สตูดิโอแห่งใหม่ของพวกเธอได้กลายเป็นมากกว่าแค่สถานที่ทำงาน... มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต... เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ความรักและศิลปะของพวกเธอได้เติบโตและหายใจไปด้วยกันอย่างอิสระ และในบรรดาพื้นที่ทั้งหมดที่พวกเธอได้ร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น... ก็ไม่มีที่ไหนที่จะมีความหมายและเป็นส่วนตัวสำหรับฝนได้มากเท่ากับ "ห้องมืด" อีกแล้ว มันคือความฝันที่เป็นจริง... คือโลกใบเล็กๆ ที่เธอสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง... โลกที่ตัดขาดจากแสงสว่างและความวุ่นวายภายนอกโดยสิ้นเชิง บทแรกของการสร้างสรรค์ผลงานในบ้านหลังใหม่นี้ จึงเริ่มต้นขึ้นในความมืดมิดนั้น ฝนก้าวเข้าไปในห้องมืดที่เธอสร้างขึ้นมากับมือเป็นครั้งแรก... ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นเปรียบเสมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต เธอปิดประตูลง... และโลกทั้งใบก็จมดิ่งลงสู่ความมืดสนิท... มีเพียงแสงสีแดงจางๆ จากหลอดไฟนิรภัยเท่านั้นที่ส่องสว่างพอให้มองเห็นเค้าโครงของสิ่งต่างๆ... ถาดน้ำยาสามใบที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ... เครื่องอัดขยายภาพที่ตั้งตระหง่านอยู่มุมห้อง... และเสียงน้ำไหลที่ดังมาจากท่อ... ทุกอย่างคือองค์ประกอบของพิธีกรรมที่กำลังจะเร
สตูดิโอแห่งใหม่ที่พวกเธอได้ตัดสินใจเช่าในย่านตลาดน้อยนั้น... ในวันแรกที่ได้กุญแจมา... มันดูไม่ต่างอะไรกับซากปรักหักพังที่ถูกทอดทิ้ง สีบนผนังหลุดลอกร่อนออกมาเป็นแผ่นๆ พื้นไม้เก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ก้าวเดิน และฝุ่นหนาก็ปกคลุมทุกตารางนิ้วราวกับหิมะสีเทา... แต่มันก็เป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วย "ศักยภาพ" หน้าต่างบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจรดเพดานคือหัวใจของพื้นที่แห่งนี้ มันเปิดรับแสงแดดยามบ่ายของกรุงเทพฯ เข้ามาอย่างเต็มที่ และจากหน้าต่างบานนั้น... พวกเธอก็สามารถมองเห็นวิวของหลังคาบ้านเก่าๆ และชีวิตที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าของผู้คนในย่านเมืองเก่าได้... มันคือผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า... ที่กำลังรอคอยให้พวกเธอได้เข้าไปแต่งแต้มเรื่องราว แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการลงมือทำความสะอาดหรือทาสี... พวกเธอกลับเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยการ "ฝัน" พวกเธอนั่งลงบนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น... โดยมีเพียงกระดาษแผ่นใหญ่กับดินสอสองสามแท่งคั่นกลางอยู่... แล้วเริ่มต้นสร้าง "กระดานแห่งความฝัน" (Dream Board) สำหรับพื้นที่แห่งนี้... มันคือการระดมสมองที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคิดสร้างสรรค์... และมันก็ได้เปิดเผยถ
การยอมรับที่ไร้เงื่อนไขของมิ้นท์ในวันนั้น เปรียบเสมือนก้อนหินก้อนแรกที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบที่นิ่งสงบแห่งชีวิตของพวกเธอ และมันก็ได้สร้างระลอกคลื่นที่แผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ แต่ทรงพลัง... ระลอกคลื่นที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางอารมณ์และสังคมของพวกเธอไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศในคอนโดมิเนียมที่เคยเป็นเหมือนป้อมปราการสำหรับหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอก บัดนี้ได้กลายเป็นเหมือนบ้านที่เปิดประตูต้อนรับพันธมิตรคนสำคัญเข้ามา ความวิตกกังวลระดับต่ำที่คอยเกาะกินจิตใจของพวกเธออยู่ตลอดเวลาว่าเพื่อนสนิทจะคิดอย่างไร... บัดนี้ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ในช่วงหลายวันที่ตามมานั้น ชีวิตของพวกเธอได้ค้นพบจังหวะใหม่ที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น การมาเยือนของมิ้นท์ที่คอนโดในเย็นวันศุกร์วันหนึ่ง ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้น ภาพของคนสามคนที่นั่งล้อมวงกินส้มตำและไก่ย่างกันบนพื้นห้องนั่งเล่นนั้น มันช่างเป็นภาพที่แสนจะธรรมดา... แต่สำหรับพวกเธอแล้ว... มันคือความไม่ธรรมดาที่แสนจะงดงาม พลอยกับฝนสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยระแวดระวังอีกต่อไปแล้ว สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ที่เ
ความตื่นเต้นที่เคยพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของพวกเธอตลอดค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการนั้น ได้ค่อยๆ จางหายไปในระหว่างการเดินทางกลับคอนโดด้วยรถแท็กซี่ ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกที่เหนือจริงและความสุขที่เงียบสงบซึ่งเข้ามาแทนที่ พวกเธอนั่งเคียงข้างกันในความมืด จ้องมองแสงไฟของเมืองกรุงที่เคลื่อนผ่านไปนอกหน้าต่าง แต่จิตใจกลับล่องลอยย้อนกลับไปในช่วงเวลาสำคัญที่เพิ่งจะผ่านมาสดๆ ร้อนๆ "ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยฝน" พลอยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยเสียงกระซิบ "ตอนที่สายตาของมิ้นท์มองมาที่เราสองคน... ฉันนึกว่าหัวใจฉันจะหยุดเต้นไปแล้วเสียอีก" "ฉันก็เหมือนกัน" ฝนตอบกลับมาเสียงแผ่วเบา เธอยังจำความรู้สึกเย็นเฉียบที่แล่นไปทั่วร่างของตัวเองในตอนนั้นได้ดี "แต่... วิธีที่มิ้นท์พูดออกมา... 'มันเป็นเรื่องราวความรักที่สวยงาม'... เขาไม่ได้กำลังพูดกับคนอื่น... เขากำลังพูดกับเรา" "ใช่..." พลอยพยักหน้าช้าๆ "เขาไม่ได้เปิดโปงเรา... แต่เขากำลัง... ยอมรับในตัวเรา" พวกเธอเดินทางกลับมาถึงคอนโดที่เปรียบเสมือนรังอันปลอดภัยอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้... มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพว
ค่ำคืนแห่งการเปิดตัวนิทรรศการมาถึงพร้อมกับสายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวและก้อนเมฆสีเทาที่ลอยตัวอยู่อย่างเกียจคร้านบนท้องฟ้าของกรุงเทพฯ บรรยากาศในคอนโดมิเนียมของพลอยกับฝนในเย็นวันนั้น... มันช่างเงียบสงัดและตึงเครียดเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความตึงเครียดที่เกิดจากความโกรธหรือความไม่เข้าใจ... แต่เป็นความตึงเครียดที่เกิดจากการรอคอย... การรอคอยที่จะต้องเผชิญหน้ากับบทพิพากษาสุดท้าย พวกเธอบรรจงแต่งตัวกันอย่างเงียบเชียบ... การเลือกเสื้อผ้าในวันนี้มีความหมายมากกว่าแค่เรื่องของความสวยงาม... มันคือการเลือกชุดเกราะ... คือการพรางตัวเพื่อที่จะแทรกซึมเข้าไปในฝูงชนโดยไม่มีใครจดจำได้ พลอยเลือกชุดเดรสยาวสีดำที่ดูเรียบหรูแต่ก็ไม่โดดเด่นจนเกินไป ส่วนฝน... เธอเลือกที่จะสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแล็ค... เป็นชุดที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นเพียงเงาจางๆ ที่พร้อมจะกลืนหายไปกับความมืดได้ทุกเมื่อ ในหัวของฝนนั้นเต็มไปด้วยภาพฉายซ้ำของสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้... 'แล้วถ้ามิ้นท์จำรอยสักของพลอยได้ล่ะ' 'เราจะตอบคำถามของเพื่อนๆ ว่าอย่างไร' เธอกำลังจะก้าวเข้าไปในงานแสดงผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน







