สาวน้อยวัยกำดัดที่สวยสะพรั่งเดินลัดเลาะมาตามพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม ในมือมีห่อขนมและกล่องเครื่องประดับขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ปรากฏขึ้นตรงเรือนทางฝั่งตะวันออกของจวนที่แยกออกมาอยู่ห่างไกลจากเรือนใหญ่ มันเป็นเรือนของแม่ทัพใหญ่บุตรชายผู้สืบทอดของตระกูลเซียวนั่นเอง
อวี๋เฟิ่ง นางตั้งใจจะนำขนมที่นางเป็นผู้ทำมันขึ้นมากับมือ มามอบให้บุรุษเจ้าของเรือนเพื่อตอบแทนที่เขาได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ และนำของที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฝากนางเอาไว้ก่อนตายส่งมอบให้ผู้เป็นเจ้าของ
ร่างบอบบางของสตรีวัยแรกแย้ม ใบหน้างดงามดูใสซื่อส่งยิ้มหวานให้บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน นางจำได้ว่าพี่ชายท่านนี้มีนามว่า จงไห่ เขาคือคนที่คอยติดตามอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพ
"พี่ชายเจ้าคะ ข้าขอพบท่านแม่ทัพได้หรือไม่เจ้าคะ"
เสียงหวานใสที่ดังกังวานนั้น ทำให้เจ้าของร่างสูงหันไปมองสตรีที่พึ่งผ่านพ้นวันปักปิ่นมาเพียงไม่นาน
"คุณหนูหาน ท่านมาทำอะไรที่นี่"
"ข้ามาขอพบท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ พี่ชายช่วยไปเรียนท่านแม่ทัพให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"
ร่างสูงตรงหน้าดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในเรือน เพียงครู่ก็กลับออกมาบอกให้นางเข้าไปพบท่านแม่ทัพได้
"ท่านแม่ทัพอยู่ที่ห้องด้านซ้าย สุดโถงทางเดินนะขอรับ"
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"
ร่างบางที่ส่งยิ้มให้คนตรงหน้า แล้วก้าวเดินตรงไปตามโถงทางเดินที่พี่ชายผู้นั้นได้บอกเอาไว้ จนไม่เห็นสายตาของผู้ที่มองตามแผ่นหลังบอบบาง แววตาบุรุษผู้นั้นบ่งบอกถึงความเวทนาสงสาร แต่ไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ ตนมีหน้าที่เพียงทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายเพียงเท่านั้น
อวี๋เฟิ่งเดินมาตามทางเดินอย่างเงียบเชียบ แม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่ก็อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้ ได้แต่ปลอบตนเองว่าส่งมอบของให้อีกฝ่ายแล้วก็หมดหน้าที่ของนาง เอ่ยคำขอบคุณที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตนางเอาไว้ก็ถือว่าจบกัน
ปลายเท้าเล็กก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องสุดทางเดิน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกมือเล็กขึ้นเคาะประตูเบาๆ แล้วผลักเข้าไป เท้าเล็กๆของนางก้าวเดินเข้าไปด้านในด้วยความประหม่า เห็นบุรุษที่นางต้องการพบยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าต่างทอดสายตาเหม่อมองออกไปด้านนอก แผ่นหลังกว้างกำยำ ร่างกายที่ล่ำสันนั้น ทำให้นางดูตัวเล็กลงถนัดตา
ก่อนเจ้าของเรือนร่างสมบูรณ์แบบนั้นจะหันมาเผชิญหน้ากับนาง ดวงตาคมกริบสีรัตติกาลมองสำรวจนางด้วยสายตาที่ทำให้ร่างเล็กของดรุณีน้อยที่เปรียบดังบุปผางดงามที่พึ่งจะเบ่งบาน ยังมิเคยมีภมรตัวใดมาดอมดมถึงกับสั่นสะท้าน
สายตาคมดุที่จ้องมองมานั้นทำให้รู้สึกว่านางตัดสินใจผิดมหันต์ที่ตัดสินใจมาพบคนผู้นี้ที่นี่ แต่ไม่เป็นไร เสี่ยวถานรอนางอยู่ไม่ไกลจากเรือนแห่งนี้ หากคนผู้นี้คิดจะฆ่านาง เสี่ยวถานต้องไปตามคนมาช่วยแน่
"ท่านแม่ทัพ คือ ข้า มีของมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ และข้าก็อยากจะขอบคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้เมื่อวันก่อน"
เสียงหวานที่กล่าวขึ้นตะกุกตะกักอย่างประหม่า หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำเมื่อสบเข้ากับประกายตาร้อนแรงของบุรุษตรงหน้า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล่าวสิ่งใด ร่างบางก็รีบค้อมศีรษะลงต่ำ เพื่อเป็นการขอบคุณ
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"
ก่อนร่างบางจะกระวีกระวาดนำของในมือที่ถือมาไปวางบนโต๊ะใกล้ๆ เพื่อที่นางจะได้ออกไปจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้เสียที แต่ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้วางของในมือลง แขนเรียวเล็กกลับถูกกระชากอย่างแรง จนกล่องใบนั้นของฮูหยินผู้เฒ่าหลุดจากมือนาง แรงกระชากนั้นทำให้มันกระเด็นไปจนไม่รู้ทิศทาง
"ว้าย!โอ๊ย!"
อวี๋เฟิ่งที่ร้องออกมาอย่างตกใจระคนรู้สึกเจ็บตรงแขนเล็ก
"เจ้าช่างเหมือนมารดาของเจ้า มิมีผิด มารยาสาไถย"
รูปร่างอรชรด้านหน้าในอาภรณ์พอดีตัว ดวงหน้างดงามอ่อนหวานเครื่องหน้าดูโดดเด่น ดวงตากลมโตที่ตื่นตระหนกราวลูกกวางน้อย ช่างเขย่าหัวใจที่ด้านชาของเขาได้อย่างชะงัด ริมฝีปากสีแดงระเรื่อดูอวบอิ่มเย้ายวนเร้าอารมณ์ให้เขาอยากที่จะบดขยี้ฉกชิมดูว่ามันจะหวานหอมเพียงใด เพียงแค่จ้องดวงตาฉ่ำน้ำคู่นั้น เขาก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว อยากจะฉีกกระชากอาภรณ์บนร่างบางให้ขาดวิ่นเสียเดี๋ยวนี้ อยากจะรู้ว่าหากนางนอนทอดกายอยู่ใต้ร่างของเขาเสียงร้องครวญครางของนางจะหวานดังกับเสียงที่เอื้อนเอ่ยในเวลาปกติหรือไม่
เขายอมรับเลยว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ งดงามกว่ามารดาของนางมากนัก
อวี๋เฟิ่งที่รู้สึกอึ้งไปกับคำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักลึกนั้น ใบหน้างดงามพลันแดงก่ำรู้สึกโกรธกับคำพูดของอีกฝ่ายที่เอ่ยถึงมารดาของนาง แต่สายตาของบุรุษที่จ้องมองนางอยู่นั้น ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นและหวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเอ่ยคำพูดใดๆออกไป มือเล็กที่พยายามแกะนิ้วมือใหญ่ที่เกาะกุมข้อมือเล็กของนางออกจนรู้สึกเจ็บ แต่มันกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
"ท่านแม่ทัพ ปล่อยข้าเจ้าค่ะ ข้าเพียงนำของที่ฮูหยินผู้เฒ่ามารดาของท่านฝากเอาไว้ มามอบให้ท่านเท่านั้น"
เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นสั่นพร่าจนคนฟังสัมผัสได้ ดวงตาสีรัตติกาลหรี่แคบลง มองใบหน้างามอย่างยั่วเย้า
"ของของมารดาข้าเช่นนั้นหรือ ไหนเล่าของที่เจ้าว่า ข้ามิเห็น"
ดวงตาหวานซึ้งที่ไหวระริก พยายามมองหากล่องใบนั้น แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน
"อย่าบอกนะว่ามันหายไปแล้ว หึหึ เจ้าน่าจะเรียนรู้จากมารดาเจ้าให้มากเสียหน่อยนะ มารดาของเจ้าช่ำชองมากมิใช่หรือกับการยั่วยวนปั่นหัวบุรุษ"
อีกแล้ว บุรุษใจร้ายผู้นี้กล่าวว่ามารดานางอีกแล้ว
"อย่ามาว่าท่านแม่ของข้านะ"
เสียงหวานที่ตวาดขึ้นอย่างลืมกลัว เขามีสิทธิ์อันใดมากล่าวว่าท่านแม่ของนางกัน
"เหตุใดจะว่ามิได้ ในเมื่อมันคือเรื่องจริง สตรีเช่นมารดาเจ้า มีดีก็แค่นอนทอดกายให้บุรุษเชยชมเท่านั้น"
"ท่านแม่ทัพ! "
"อ้อ ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดท่านแม่ของข้าถึงไม่เลือกบุรุษเช่นท่านเป็นสามี เพราะความร้ายกาจ จิตใจสกปรกเช่นนี้นี่เอง"
"หานอวี๋เฟิ่ง เจ้า บังอาจนัก"
แม่ทัพเซียวไป๋ซานที่จ้องใบหน้าเล็กที่เชิดขึ้นอย่างถือดีนั้นด้วยแววตาวาวโรจน์ กรามแกร่งขบเข้าหากันอย่างพยายามระงับโทสะ
"แล้วอีกอย่าง ตอนนี้มารดาของข้าก็มีศักดิ์เป็นมารดาของท่าน ท่านควรจะให้เกียรตินาง รู้เอาไว้ซะด้วย"
แม่ทัพเซียวไป๋ซาน ที่ยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ สายตานั้นพราวระยับ มองใบหน้างามที่แดงก่ำเพราะความขุ่นเคืองเชิดขึ้นอย่างอวดดี ก่อนจะกล่าวในสิ่งที่คนฟังได้ยินแล้วรู้สึกแข็งทื่อไปทั้งร่าง
"ใช่สินะ นางมีศักดิ์เป็นแม่ข้า แต่ไม่ใช่แม่เลี้ยงนะ แต่เป็นแม่ ภรรยา มานี่"
ร่างบางของเสี่ยวถานยืนบิดกายไปมาอยู่หน้าเรือนหอของผู้เป็นนาย ใบหน้างามนั้นแดงก่ำ แม้ว่านางจะล่วงเลยวัยที่จะออกเรือนมานานมากแล้ว แต่ก็ยังมิเคยใกล้ชิดบุรุษใดมาก่อน เรื่องความสนิทสนมแบบชู้สาวยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง นางยังอ่อนด้อยในเรื่องเช่นนี้มากนักแม้ว่าคุณหนูจะอยากให้นางออกเรือนมีครอบครัวเป็นของตนเอง แต่นางยังไม่พบบุรุษที่ถูกตาต้องใจเลย หากนางจะต้องมีสามี ก็ขอเลือกบุรุษที่นางรัก หาไม่แล้วนางขออยู่รับใช้คุณหนูของนางไปเช่นนี้ตลอดชีวิตเสียยังดีกว่า แม้จะมีแวบหนึ่งที่ใบหน้าของบุรุษผู้แสนเย็นชาผู้นั้นจะแวบผ่านมาในความรู้สึก แต่นางจะไปหวังสิ่งใดกับคนไร้หัวใจเช่นนั้นกัน เขาคงไม่มีวันสนใจสตรีเช่นนางหรอกกระมัง ศีรษะเล็กที่สะบัดความคิดไร้สาระนั้นพลางทอดถอนใจ นางอยู่คนเดียวเช่นนี้ก็ดีแล้ว เสียงครางหวานที่ดังลอดออกมาจากด้านในทำให้ร่างบางหลุดจากความคิดของตัวเองใบหน้างามพลันร้อนผ่าว รีบถอยห่างจากหน้าเรือนเสี่ยวถานที่เดินบิดกายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพื่อกลับเรือนพักของตน คืนนี้คุณหนูคงไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาเรียกใช้นางแล้วกระมัง เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตา จึงทำให้ไม่ทันระวังเดินชนร่างสูงของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจ
ร่างบอบบางในชุดแดงมงคลงดงามล้ำค่า กำลังนั่งมองตัวเองอยู่ด้านหน้ากระจกด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใบหน้าอิ่มเอิบแต่งแต้มไปด้วยความสุขที่ฉายชัดอยู่ในดวงตางดงาม อวี๋เฟิ่งนางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่นางจะได้สวมชุดมงคลและได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับผู้เป็นสามีอย่างสมเกียรติ แม้ความจริงนางจะมิได้คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ตาม ในวันที่รถม้าเดินทางเข้าสู่ความพลุกพล่านของเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่จวนแม่ทัพ หัวใจของนางนั้นเต้นแรงมาก แม้จะสังเกตว่าสองข้างทางนั้นถูกประดับไปด้วยผ้าแดงมงคลตลอดทางจนถึงประตูจวน แต่กลับถูกความตื่นเต้นที่ได้พบหน้าทุกคนกลบความสงสัยนั้น การต้อนรับที่แสนอบอุ่น อ้อมกอดของผู้เป็นมารดาทำให้นางไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งรอบกาย จนเมื่อได้โอบกอดมารดาจนพอใจจึงได้เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย ว่าในจวนจะมีงานมงคลของผู้ใดกัน มิใช่ว่าน้องสาวของนาง อวี๋เจินได้แต่งให้กับคุณชายอู๋ฟงอี้ไปเมื่อปีก่อนตามที่ผู้เป็นสามีได้บอกเล่าหรอกหรือ"ลองถามท่านแม่ทัพดูดีหรือไม่"เจียงซือหนี่ที่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยรอยยิ้มละมุน โน้มกายลงโอบอุ้มหลายชายตัวน้อยที่หน้าตาช่างน่ารักน่าชังเอาไว้ในอ้อมแขน ปล่อยให้บิดามารดาของเด็กน้อ
"ซี๊ดด โอ๊ย!เจ็บ"เสียงโอดครวญไม่จริงจังนักของแม่ทัพหนุ่มเรียกรอยยิ้มจากเสี่ยวถานและจงไห่ที่กำลังจัดเตรียมข้าวของเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกลับจวนในวันพรุ่งนี้เมื่อผู้เป็นนายเข้าใจและคืนดีกัน ก็สร้างความยินดีและปลาบปลื้มให้กับเสี่ยวถานและจงไห่บ่าวผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองยิ่งนัก ต่อไปผู้เป็นนายจะได้มีความสุขที่แท้จริงเสียที หลังจากที่ต้องเจ็บช้ำกันมาอย่างแสนสาหัส บ่าวคนสนิททั้งสองที่รู้ใจผู้เป็นนายเป็นอย่างดีเร่งเก็บข้าวของก่อนจะอุ้มคุณชายน้อยพาออกไปเล่นด้านนอกเปิดโอกาสให้ผู้เป็นนายได้มีเวลาร่วมกันแม่ทัพหนุ่มที่ออดอ้อนภรรยาตัวน้อยผู้ที่กำลังทำแผลให้เขา ใบหน้างามนั้นแดงก่ำอย่างเขินอายอวี๋เฟิ่งที่หมั่นไส้บุรุษไร้ยางอายตรงหน้ายิ่งนัก มือเล็กจึงหยิกลงตรงหน้าท้องแกร่งเต็มแรง"โอ๊ย น้องหญิงหยิกพี่ทำไม พี่เจ็บจริงๆ นะ"ร่างสูงที่แสร้งโอดครวญมองโฉมงามด้วยสายตาละห้อย"ข้าไม่เชื่อท่านหรอก"อวี๋เฟิ่งที่ส่งค้อนให้อีกฝ่าย ใบหน้างามนั้นร้อนผ่าวไปหมด เขามันไร้ยางอายที่สุด"เหตุใดถึงไม่เชื่อเล่า พี่ไปทำสิ่งใดให้เจ้าไม่เชื่อกัน"แม่ทัพหนุ่มที่จ้องมองใบหน้างามด้วยสายตากรุ้มกริ่มอย่างรอคำตอบ"ก็ท่าน...ท่าน ท
ร่างหนาที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มในอ้อมแขน ดวงตาสีรัตติกาลที่ก้มลงมองร่างหอมกรุ่นด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เมื่อเห็นว่าร่างบอบบางที่เขาคิดว่ากำลังฝันว่าได้โอบกอดนางอยู่นั้น ตอนนี้นางกลับหลับตาพริ้มแนบอกกว้างของเขา แม่ทัพเซียวไป๋ซานที่ไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัว กลัวเหลือเกินว่าเมื่อนางรู้สึกตัวตื่นแล้วจะรีบผละออกจากอ้อมแขนของเขา แต่หัวใจที่เต้นแรงนั้นกลับไม่รักดี มันเต้นกระหน่ำจนเปลือกตาที่มีขนตางอนประดับอยู่นั้นขยับยุกยิก และลืมขึ้นมาในที่สุด ดวงตาหรี่ปรือฉ่ำหวานที่จ้องมองสบกับดวงตาสีรัตติกาลของเขาอยู่นั้นช่างงดงามยิ่งนัก จนใบหน้าหล่อเหลาโน้มต่ำลงมาประทับริมฝีปากหนาบนเรียวปากอวบอิ่มแผ่วเบา ก่อนจะผละออก เขาไม่ได้ฝันไปและนางก็ยังไม่ผลักไสเขาอีกด้วย ในอกแกร่งยิ่งเต้นกระหน่ำ นางอภัยให้เขาแล้วใช่หรือไม่ ใบหน้าหล่อเหลาพลันยกยิ้มกว้างและสตรีตรงหน้าก็ยิ้มตอบเขาเช่นกัน ขอบคุณ ขอบคุณสวรรค์อ้อมแขนแกร่งที่โอบกระชับร่างบางแนบอก กดจุมพิตลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า "ขอบคุณ เฟิ่งเอ๋อที่ให้โอกาสพี่"ฝ่ามือหนาที่เชยคางมนขึ้นรับจุมพิตที่เขาบรรจงมอบให้นางอย่างหวานล้ำ จุมพิตที่แสนยาว
ตอนนี้บ้านหลังน้อยก็มีผู้อาศัยเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แม่ทัพเซียวไป๋ซานที่ขอพักอยู่ที่นี่จนกว่าแผลของเขาจะหายดี และขอใช้เวลาอยู่กับบุตรชายที่พึ่งได้พบหน้ากันอีกสักหน่อย เมื่อนางไม่ยินยอมที่จะกลับเมืองหลวงด้วยกัน แต่นางก็ไม่ใจดำพอที่จะกีดกันบิดากับบุตร เขาได้รับความเมตตาจากร่างบางเพราะมีบุตรชายที่ติดเขามากจนนางเอ่ยอนุญาต และตอบแทนที่เขาได้ช่วยชีวิตบุตรชายเอาไว้ นางยอมถอยให้เขาเพราะสงสารผู้เป็นบุตรชายที่ดูจะดีใจมากเมื่อมีบิดาดังเช่นเด็กคนอื่น นางยอมให้เขาเป็นบิดาของบุตร แต่นางยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นสามีของนาง ยังทำราวกับว่าเขานั้นเป็นคนอื่น แม่ทัพใหญ่เช่นเขากลับถูกไล่ให้มาซุกหัวนอนอยู่ในโรงเก็บฟืนที่มีเพียงแคร่ไม้ไผ่และผ้าห่มหนึ่งผืนหมอนหนึ่งใบจากเจ้าของบ้าน แต่แค่นี้ก็ถือว่านางเมตตาเขามากแล้วหลายวันมานี้แม่ทัพเซียวไป๋ซานผู้ทระนงองอาจ กลับทำตัวดีว่านอนสอนง่ายมาตลอด ตามงอนง้อขอนางคืนดี แต่นางก็ใจแข็งเหลือเกิน แม้จะสารภาพผิดและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้นางฟัง บอกถึงความในใจที่อยากจะบอกนางตลอด บอกรักนางแทบจะสามเวลา รวมถึงเรื่องราวของเขาในอดีตและสิ่งที่มารดาของเขากระทำ และเขากับมารดานาง
"เสี่ยวถาน เสี่ยวถานอยู่ไหน"ร่างบางที่เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทด้วยเสียงแหบเครือ ทำราวกับว่าบุรุษตรงหน้าไม่มีตัวตน นางไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายอีกฝ่ายแม้เพียงครึ่งคำ นางไม่อยากจะคิดอะไรหรือว่าคุยกับใครทั้งนั้น แม้หัวใจของนางตอนนี้จะเต้นกระหน่ำเพียงใดก็ตาม"คุณหนู คุณหนูฟื้นแล้ว บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ"เสี่ยวถานที่รีบวิ่งเข้ามาหาคุณหนูของนางด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางรู้สึกตัวแล้วหลังจากที่สลบไสลไม่ได้สติไปถึงสองวันเต็มๆ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเลือนหายไป เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดภายในห้อง"ข้าหิวน้ำ"อวี๋เฟิ่งที่เอ่ยบอกบ่าวคนสนิท เสี่ยวถานที่หันไปมองใบหน้าหม่นเศร้าของท่านแม่ทัพก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ เดินตัวลีบไปรินน้ำมาให้ผู้เป็นนาย ที่รับน้ำมาดื่มอย่างกระหาย หลังจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้ทุกคน"ออกไปได้แล้ว ข้าอยากพักผ่อน"ร่างบางที่เอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้าหลับตาลงทันที โดยไม่สนใจที่จะพูดคุยกับใครทั้งนั้น หลังจากนั้นนางก็เผลอหลับไปจริงๆ อย่างอ่อนเพลีย รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่รู้สึกถึงไออุ่นที่ซุกอยู่ตรงทรวงอกอิ่ม ริมฝีปากที่ตอนนี้กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้งพลันยกยิ้มขึ้