تسجيل الدخولความทรงจำของลูคัสและจุดจบของยุคสมัย ความเงียบเหงาที่ถูกควบคุม (The Controlled Solitude)
หลังจากที่ ลูคัส แบล็กเวลล์ยอมลงนามในสัญญาการยอมรับความผิด เขาถูกย้ายไปยังสถานที่ดูแลส่วนตัวที่ห่างไกลออกไปภายใต้ข้อตกลงลับกับดีแลน ที่ซึ่งเขายังคงได้รับการดูแลทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่เคยมี แต่เขาถูกตัดขาดจากการควบคุมโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
สถานที่นั้นเป็นคฤหาสน์ขนาดเล็กตั้งอยู่บนเนินเขาที่เงียบสงบ แต่สำหรับลูคัส มันคือ คุกที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีผู้บริหารคนใดมาเข้าพบ มีเพียงพยาบาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถูกจ้างโดยดีแลนเท่านั้น
การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าตลอดชีวิตของลูคัส เขาเคยชินกับการกรอกเวลาทุกวินาทีด้วยการวางแผน การบงการ และการแสวงหาอำนาจ แต่ตอนนี้... เวลาว่างเปล่า ได้กัดกินเขาอย่างช้า ๆ
เขานั่งอยู่ในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือที่ไม่เคยเปิดอ่าน มองออกไปนอกหน้าต่างที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ความงามเหล่านั้นไม่ได้สร้างความหมายใด ๆ ให้กับเขาเลย
“ฉันทำอะไรลงไป?” ลูคัสคิดในใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่การเสียดายที่สูญเสียธุรกิจ แต่เป็นการเสียดายที่สูญเสีย ลูกชาย
เขานึกถึงความเย่อหยิ่งของตัวเองที่ปฏิเสธความรักของดีแลนกับมารดาของเขา นึกถึงวันที่เขาตัดสินใจใช้ อีวา คาร์เตอร์ เป็นเครื่องมือในการทำลายคู่แข่งทางการค้า และความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดคือการไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของดีแลน
“ฉันเกลียดแก... ดีแลน... เพราะแกเลือกที่จะเป็น คนดีซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันทำลายมันทิ้งไปนานแล้ว”ลูคัสสารภาพกับตัวเองอย่างเจ็บปวด
ความทรงจำสุดท้ายและบทเรียนที่มาสาย
ในค่ำคืนที่พายุฝนโหมกระหน่ำ ลูคัสนั่งอยู่หน้าเตาผิงเพียงลำพัง เขาหยิบกล่องไม้เก่าแก่ที่ถูกเก็บไว้ในตู้เซฟมาตลอดชีวิต ภายในบรรจุสิ่งของเพียงชิ้นเดียว: รูปถ่ายเก่า ๆ ใบหนึ่ง
ในรูปนั้น ลูคัสยืนอยู่กับภรรยาของเขา แอนนา แบล็กเวลล์ ในวัยเยาว์ ซึ่งเป็นวันที่ทั้งคู่ยังคงรักกันอย่างบริสุทธิ์ก่อนที่อำนาจและความทะเยอทะยานจะเข้าครอบงำ
ลูคัสจำได้ว่าเขาเคยมีความสุขอย่างแท้จริงในวันนั้น แต่ความสุขนั้นจางหายไปเมื่อเขายอมให้ความโลภและความต้องการที่จะเป็นที่หนึ่งเข้ามาแทนที่
เขาจำคำพูดของแอนนาได้ก่อนที่เธอจะจากไป: “ลูคัส... คุณกำลังสร้างอาณาจักรที่ว่างเปล่า... และลูกชายของเราจะเติบโตมาในความมืดมิดที่คุณสร้างขึ้น”
คำทำนายของภรรยาเป็นจริง ดีแลน ถูกบังคับให้เติบโตมาในโลกที่โหดร้ายและไร้ความรัก และการไถ่บาปของดีแลนก็คือการที่เขา ทำลาย มรดกที่แปดเปื้อนนั้นทิ้งไป เพื่อให้ลูก ๆ ของเขาสามารถเติบโตในแสงสว่างได้
ลูคัสเข้าใจในที่สุดว่าสิ่งที่เขาพยายามจะทำลายมาตลอดคือ โอกาสของดีแลนที่จะมีความสุขอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเองเคยทำลายมันลงด้วยมือของเขาเอง
การมาเยือนครั้งสุดท้าย: การยุติอย่างสันติ
หกเดือนต่อมา ดีแลน ตัดสินใจมาเยี่ยมลูคัสเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ในฐานะลูกชายที่มาขอการยอมรับ แต่ในฐานะ ผู้บริหาร ที่มาตรวจสอบ 'โครงการดูแลลูคัส' ของเขา
ดีแลนมาถึงคฤหาสน์พร้อมกับกระเช้าดอกกุหลาบขาวจากสวนของอีวา ลูคัสดูแก่ลงมากอย่างเห็นได้ชัด ความเย่อหยิ่งที่เคยครอบงำเขาสลายไป เหลือเพียงความอ่อนล้าและความว่างเปล่า
ลูคัส (เสียงแหบพร่า) "แกไม่จำเป็นต้องมาที่นี่... ดีแลน"
ดีแลน"ผมต้องมาครับ พ่อผมมาเพื่อยืนยันว่าข้อตกลงยังคงเป็นไปตามสัญญา... และเพื่อแจ้งข่าวสารให้พ่อทราบ"
ดีแลนเล่าถึงโนอาห์และ ลินน์ เล่าถึงความสุขของ อีธาน และเล่าถึงงานของ มูลนิธิเพื่อความซื่อสัตย์ที่กำลังสร้างความยุติธรรมให้กับผู้คน
ลูคัสฟังทุกอย่างอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังรูปถ่ายที่อยู่บนโต๊ะ
ลูคัส "พวกเขาคือปาฏิหาริย์ของแก ดีแลน.. อย่าทำลายมันเหมือนที่ฉันทำ"
ดีแลน "ผมไม่มีทางทำลายมันครับ พ่อผมได้เรียนรู้บทเรียนที่พ่อสอน... บทเรียนที่ว่าอำนาจที่บริสุทธิ์ที่สุดคือความรัก"
ดีแลนยื่นซองจดหมายฉบับหนึ่งให้ลูคัส ภายในบรรจุ รูปถ่ายครอบครัว ของพวกเขา ดีแลน, อีวา, อีธาน, โนอาห์, และลินน์ที่กำลังยิ้มแย้ม
ดีแลน "นี่คือมรดกที่แท้จริงที่ผมเลือกจะสร้างครับ พ่อ.. มันไม่ใช่อาณาจักร... แต่มันคือ ครอบครัว"
ลูคัสน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี เขาพยักหน้าอย่างช้า ๆ
ลูคัส"ฉัน... ฉันขอโทษ... ดีแลน"
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ ลูคัส แบล็กเวลล์ กล่าวกับลูกชายของเขา
จุดจบของยุคสมัย (The End of an Era)
สองสัปดาห์หลังจากนั้น ลูคัส แบล็กเวลล์ ก็จากไปอย่างสงบด้วยโรคชราในคฤหาสน์บนเนินเขา
ดีแลนจัดการพิธีศพอย่างเรียบง่าย มีเพียงเขา อีวา และทนายความที่รู้เรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น เขามองโลงศพของบิดาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน: ไม่ใช่ความเศร้าโศก แต่เป็น ความสงบ
มรดกของ ลูคัส แบล็กเวลล์ ถูกยุติลงโดยสมบูรณ์ อาณาจักรธุรกิจถูกยุบเลิกและทรัพย์สินทั้งหมดถูกนำไปใช้ในการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทุจริตของเขา
ดีแลน แบล็กเวลล์ยืนอยู่ที่หลุมศพของบิดา เขาไม่ได้ทิ้งความแค้น แต่เขาได้ ฝัง ความแค้นนั้นไว้กับอดีต
เขาหันหลังให้กับความมืดมิดนั้น และเดินกลับไปหา อีวา และ ลูก ๆของเขา ที่กำลังรออยู่ที่บ้านหลังใหม่ ที่เต็มไปด้วยแสงแดด, กลิ่นหอมของกุหลาบขาว, และ ความรักที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นมรดกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
---
บทเสริม: ความท้าทายใหม่—การเป็นผู้นำด้านศีลธรรม การกลับเข้าสู่สาธารณะชนในฐานะผู้ไถ่บาปหลายปีหลังจากที่ ดีแลน แบล็กเวลล์ยุติสงครามกับบิดาและทิ้งอาณาจักรธุรกิจของเขาไป เขาก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบในฐานะคุณพ่อและผู้บริหารมูลนิธิ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเขาในฐานะอดีตซีอีโอที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อความถูกต้องและภรรยาของเขา ก็ยังคงดึงดูดความสนใจจากโลกภายนอกอยู่เสมอมูลนิธิคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ ไม่ได้เป็นเพียงองค์กรการกุศล แต่กลายเป็น สถาบันทางความคิด ด้านจรรยาบรรณธุรกิจ ดีแลนและอีวาเริ่มได้รับคำเชิญให้ไปพูดในที่สาธารณะ โดยเฉพาะจากสถาบันการศึกษาและกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ดีแลนตัดสินใจที่จะกลับเข้าสู่สาธารณชนอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อแสวงหาอำนาจ แต่เพื่อ มอบบทเรียนที่เขาได้รับมาจากการไถ่บาปของเขา ปาฐกถาที่มหาวิทยาลัย: บทเรียนจากความมืดมิด วันหนึ่ง ดีแลนได้รับเชิญให้ไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งเป็นสถาบันที่เขาเคยบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อล้างภาพลักษณ์ของตระกูลในอดีต แต่คราวนี้เขามาในฐานะ วิทยากรที่มีความซื่อสัตย์เมื่อดีแลนยืนอยู่บนเวที ห้องประชุมเต็มไปด้วยนักศึกษาและนักธุรกิจที่ต่างจ
บทเสริม: ช่วงเวลาแห่งแสงแดด—ฤดูหนาวในบ้านที่อบอุ่น พลังงานของฤดูหนาว (The Winter Solace)เป็นช่วงกลางฤดูหนาวในคฤหาสน์บนเนินเขาหลังใหม่ของครอบครัวแบล็กเวลล์ แม้ภายนอกจะปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก แต่ภายในบ้านกลับอบอวลไปด้วยไออุ่นจากเตาผิงและกลิ่นหอมของช็อกโกแลตร้อนที่ อีวา กำลังเตรียมอยู่ลูก ๆ ทั้งสามคนกำลังวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมของตนเองในห้องนั่งเล่น:อีธาน (วัยเจ็ดขวบ) นั่งอยู่บนพรมหน้าเตาผิง เขากำลังพยายามสานผ้าพันคอสีเข้มให้กับ ดีแลนโดยมีสมาธิอย่างสูง ตามแบบฉบับของเขาที่ชอบทำงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนโนอาห์ (วัยหกขวบ) ที่เต็มไปด้วยพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ กำลังก่อสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่จากหมอนอิงและผ้าห่มกลางห้อง เขามักจะอธิบายถึงโครงสร้างของป้อมปราการอย่างละเอียดด้วยศัพท์ทางวิศวกรรมที่เขาไปค้นคว้ามาลินน์(วัยหกขวบ) ผู้มีจิตใจอ่อนโยนและจินตนาการกว้างไกล กำลังนั่งวาดรูปครอบครัวอยู่บนโต๊ะกาแฟ เธอวาดกุหลาบขาวดอกใหญ่ไว้ที่มุมหนึ่งของภาพเสมอดีแลน กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เก่า ๆ (เขาไม่สนใจข่าวสารทางธุรกิจอีกต่อไป) แต่ดวงตาของเขากลับมองเลยขอบกระดาษเพื่อเฝ้าดูลูก ๆ ของเขาอย่างเงียบ ๆอีว
บทเสริม: การเดินทางเพื่อรำลึก—การกลับไปสู่จุดเริ่มต้น วันครบรอบ การเดินทางที่ไม่ใช่การหนีเจ็ดปีผ่านไปนับตั้งแต่ ดีแลน แบล็กเวลล์ และ อีวา คาร์เตอร์ เริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของพวกเขา และครบรอบห้าปีนับตั้งแต่การกำเนิดของลูกแฝด โนอาห์ และ ลินน์ ชีวิตของพวกเขาถูกเติมเต็มด้วยความสุขสงบ และการเติบโตของลูก ๆ ทั้งสามปีนี้ในวันครบรอบ ดีแลนและอีวาตัดสินใจที่จะเดินทางไปพักผ่อนเพียงลำพัง โดยฝาก อีธาน, โนอาห์, และ ลินน์ ไว้กับพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้ การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางเพื่อการพักผ่อนทั่วไป แต่เป็นการเดินทางเพื่อ รำลึกถึงจุดเริ่มต้น ของพวกเขาจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือ ที่ดินเก่าของตระกูลคาร์เตอร์ ที่ตอนนี้ถูกพัฒนาเป็น ศูนย์การเรียนรู้และยุติธรรมสำหรับเยาวชน ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ที่ดินนี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้นและความเจ็บปวดทั้งหมดของพวกเขาการเดินทางที่เงียบสงบดีแลนขับรถไปอย่างช้า ๆ มือของเขากุมมือของอีวาไว้ตลอดทาง พวกเขาสื่อสารกันด้วยความเงียบมากกว่าคำพูด ความเงียบที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและซาบซึ้งในเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมาอีวา: "คุณยังจำได้ไหมคะ ดีแลน วันที่คุณ
บทเสริม: การเติบโต—ปีที่สี่ของแบล็กเวลล์น้อยความวุ่นวายที่มีระเบียบ (Structured Chaos)สี่ปีผ่านไปอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่การกำเนิดของลูกแฝด โนอาห์และ ลินน์ บ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ไม่ได้เป็นเพียงบ้านที่อบอุ่นอีกต่อไป แต่เป็นศูนย์กลางของพลังงานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง อีธานตอนนี้อายุห้าขวบ เป็นพี่ชายที่รักน้องและเป็นผู้ช่วยตัวน้อยของพ่อแม่ ส่วน โนอาห์และ ลินน์ แฝดสี่ขวบ กำลังอยู่ในช่วงของการค้นพบโลกและเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สิ้นสุดดีแลนผู้ที่เคยเป็นซีอีโอที่เคร่งครัด ได้เปลี่ยนบทบาทเป็นคุณพ่อที่อดทนและมีไหวพริบ เขาใช้หลักการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่เขาเคยใช้ในบริษัทมาปรับใช้กับการเลี้ยงลูกได้อย่างน่าประหลาดใจในห้องครัวที่เต็มไปด้วยแสงแดด ดีแลน กำลังพยายามทำอาหารเช้าสามอย่างพร้อมกัน (โจ๊กสำหรับอีธาน, แพนเค้กสำหรับโนอาห์, และผลไม้สำหรับลินน์) ในขณะที่ต้องตอบคำถามที่ซับซ้อน:โนอาห์ "คุณพ่อคะ ทำไมพระอาทิตย์ต้องไปนอนด้วยคะ? โนอาห์ไม่เคยไปนอนตอนเที่ยงวันเลย!"ดีแลน"เพราะพระอาทิตย์ต้องให้ดวงจันทร์ได้ทำงานบ้างครับ ลูกชาย มันเหมือนกับการแบ่งปันหน้าที่กันในครอบครัวไงครับ"ลินน์(นั่งวาดรูปอยู่บนเก้า
เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคในการสร้างข้อความ ความสุขที่สมบูรณ์แบบของครอบครัว (The Complete Joy) ยามเช้าในบ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์: วงจรชีวิตใหม่บ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ในช่วงเช้าไม่ได้เงียบสงบอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยพลังงานที่วุ่นวายและเสียงหัวเราะ ดีแลน ตื่นก่อนใครเสมอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เพื่ออ่านรายงานการเงิน แต่เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิห้อง, เตรียมขวดนมสองขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างสมบูรณ์แบบ, และเตรียมชาขิงให้กับ อีวาเมื่อลูกแฝด โนอาห์ (มักจะตื่นก่อนและมีเสียงดัง) และ ลินน์ (มักจะตื่นทีหลังและร้องเบา ๆ) เริ่มส่งเสียงร้องขออาหารเช้าจากห้องทารก อีธาน ลูกชายคนโตวัยสามขวบก็จะวิ่งลงจากเตียงและตรงมาที่ห้องพ่อแม่เพื่อขอให้ ดีแลน อุ้มเขาไปดูน้อง ๆดีแลน ที่เคยรังเกียจความวุ่นวายและสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ตอนนี้กลับโอบกอดความโกลาหลนี้ไว้ด้วยความสุขเต็มเปี่ยม เขาสามารถอุ้ม อีธาน ไว้ที่สะโพกข้างหนึ่ง ขณะที่ใช้มืออีกข้างผสมนมผงสำหรับแฝดได้อย่างชำนาญการทำงานเป็นทีมที่ไร้ที่ติอีวา ที่ออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน จะเดินตรงไปหา ลินน์ ทันที ขณะที่ดีแลนจัดการกับ โนอาห์ ที่เริ่มส่งเสียงเรียกร้องอย่าง
ความทรงจำของลูคัสและจุดจบของยุคสมัย ความเงียบเหงาที่ถูกควบคุม (The Controlled Solitude)หลังจากที่ ลูคัส แบล็กเวลล์ยอมลงนามในสัญญาการยอมรับความผิด เขาถูกย้ายไปยังสถานที่ดูแลส่วนตัวที่ห่างไกลออกไปภายใต้ข้อตกลงลับกับดีแลน ที่ซึ่งเขายังคงได้รับการดูแลทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่เคยมี แต่เขาถูกตัดขาดจากการควบคุมโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงสถานที่นั้นเป็นคฤหาสน์ขนาดเล็กตั้งอยู่บนเนินเขาที่เงียบสงบ แต่สำหรับลูคัส มันคือ คุกที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีผู้บริหารคนใดมาเข้าพบ มีเพียงพยาบาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถูกจ้างโดยดีแลนเท่านั้นการเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าตลอดชีวิตของลูคัส เขาเคยชินกับการกรอกเวลาทุกวินาทีด้วยการวางแผน การบงการ และการแสวงหาอำนาจ แต่ตอนนี้... เวลาว่างเปล่า ได้กัดกินเขาอย่างช้า ๆเขานั่งอยู่ในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือที่ไม่เคยเปิดอ่าน มองออกไปนอกหน้าต่างที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ความงามเหล่านั้นไม่ได้สร้างความหมายใด ๆ ให้กับเขาเลย“ฉันทำอะไรลงไป?” ลูคัสคิดในใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่การเสียดายที่สูญเสียธุรกิจ







