Mag-log inเสียงกระซิบจากโลกภายนอก (Whispers from the Outside World)
อีธาน แบล็กเวลล์ในวัยเจ็ดขวบ ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไป เขาเป็นเด็กชายที่ช่างสังเกต, มีความรู้สึกอ่อนไหว, และมีความคิดที่ซับซ้อนตามแบบฉบับของ อีวา ผู้เป็นแม่ เขากำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนประถมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่มีพื้นเพมาจากครอบครัวชนชั้นสูงที่เคยรู้จักหรือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของตระกูลแบล็กเวลล์ในอดีต
แม้ว่า ดีแลนและอีวาจะพยายามปกป้องลูก ๆ จากเงาของอดีต แต่กำแพงของบ้านก็ไม่สามารถกั้นคำพูดของคนภายนอกได้
วันหนึ่ง อีธาน กลับมาถึงบ้านจากโรงเรียนด้วยสีหน้าที่เงียบผิดปกติ เขานั่งเล่นอยู่เงียบๆ ในห้องนั่งเล่น โดยมีหนังสือเล่มโปรดอยู่ในมือแต่ไม่ได้เปิดอ่าน ดีแลน สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น และรู้ทันทีว่ามีบางอย่างที่รบกวนจิตใจของลูกชาย
อีธาน รอจนกระทั่ง โนอาห์ และ ลินน์ เข้านอนแล้ว เขาเดินเข้าไปหา ดีแลน ซึ่งกำลังนั่งตรวจเอกสารของมูลนิธิอยู่หน้าเตาผิง
อีธาน (พูดด้วยเสียงเบาและสั่นเครือ) "คุณพ่อครับ... วันนี้เพื่อนที่โรงเรียนถาม อีธานว่า... คุณปู่ลูคัส... เป็นคนไม่ดีใช่ไหมครับ?"
คำถามนั้นเหมือนเป็นระเบิดเวลา ที่ถูกจุดขึ้นในความสงบสุขที่พวกเขาพยายามสร้างมานานหลายปี ดีแลนรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่คมชัดในใจ มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากคำถาม แต่เป็นความเจ็บปวดจากการที่ลูกชายต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้าย
การเผชิญหน้ากับความจริงอย่างซื่อสัตย์ (Confronting the Truth Honestly)
ดีแลนวางเอกสารลง เขาไม่ได้โกหก ไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องการเปิดเผยความจริงทั้งหมดอย่างละเอียดและอ่อนโยนที่สุด
ดีแลน (ดึงอีธานมานั่งบนตักอย่างรักใคร่) "นั่นเป็นคำถามที่ยากและสำคัญมากครับ ลูกชาย พ่อจะตอบอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้"
ดีแลนไม่ได้เรียก ลูคัสว่าเป็นคนไม่ดี แต่เขาใช้คำว่า 'ผิดพลาด'และ 'ความโลภ'
ดีแลน"คุณปู่ลูคัสเป็นคนที่ฉลาดและมีความสามารถมากครับ แต่ท่านได้ทำสิ่งผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตของท่าน ท่านเชื่อว่า เงิน และ อำนาจ สำคัญกว่า ความรักและ ความซื่อสัตย์ ... ท่านเคยทำร้ายคนอื่นด้วยการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง และพ่อ... พ่อเองก็เคยเดินตามเส้นทางนั้นมาก่อน"
ดีแลนยอมรับความผิดพลาดของตัวเองในอดีตอย่างไม่ปิดบัง เพื่อไม่ให้ลูกชายรู้สึกว่าพ่อแม่ของเขาเป็นผู้ที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ดีแลน "พ่อเคยทำผิดพลาดต่อคุณแม่ของคุณมาก่อนครับ อีธาน พ่อเคยทำสิ่งที่โหดร้ายเพราะพ่อถูกสอนให้เชื่อว่าการชนะคือสิ่งเดียวที่สำคัญ แต่คุณแม่... คุณแม่สอนให้พ่อรู้ว่า ความรักและ ความซื่อสัตย์ สำคัญกว่าชัยชนะทั้งหมด"
อีธาน(มองหน้าพ่อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย) "ถ้าคุณปู่ทำผิดพลาด... แล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่เกลียดท่านล่ะครับ?"
ดีแลน"เพราะการเกลียดชังไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลยครับ ลูกชาย มันมีแต่จะสร้างความมืดมนในใจเรา พ่อเลือกที่จะ ให้อภัย และใช้ชีวิตของเราในการ แก้ไขความผิดพลาด นั้นแทน นั่นคือเหตุผลที่เราสร้าง มูลนิธิ ขึ้นมา... เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า แม้แต่คนที่เคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่... ก็ยังสามารถกลับตัวและทำสิ่งดี ๆ ได้ครับ"
คำตอบของดีแลนไม่ได้ทำให้ อีธาน เข้าใจทั้งหมดในทันที แต่สร้างความไว้วางใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในตัวพ่อของเขา อีธาน รู้สึกปลอดภัยที่จะรู้ว่าพ่อของเขายอมรับความผิดพลาดอย่างเปิดเผย และได้เลือกที่จะเดินบนเส้นทางแห่งความถูกต้อง
ในขณะที่ อีธาน มีความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ โนอาห์ (วัย 6 ขวบ) กลับแสดงให้เห็นถึงความฉลาดเฉลียวทางตรรกะและความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นบุคลิกที่คล้ายกับ ดีแลน ในวัยหนุ่ม
โนอาห์เริ่มแสดงความต้องการที่จะ ควบคุม เกมและกิจกรรมทั้งหมดของน้อง ๆ เขาจะปฏิเสธที่จะเล่นอะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตาม 'กฎที่ถูกต้อง' ของเขา
วันหนึ่ง โนอาห์และลินน์กำลังสร้างป้อมปราการจากผ้าห่ม ลินน์ ต้องการให้ป้อมปราการมี 'หน้าต่างวิเศษ' รูปหัวใจ แต่ โนอาห์ปฏิเสธอย่างรุนแรง โดยยืนยันว่า "หน้าต่างไม่สามารถเป็นรูปหัวใจได้ เพราะมันไม่มั่นคงตามหลักวิศวกรรม" ทำให้ ลินน์ ร้องไห้
ดีแลน เห็นเหตุการณ์นี้และรู้ว่านี่คือการสะท้อนถึงปัญหาในอดีตของเขาเองการให้ความสำคัญกับตรรกะเหนือความรู้สึก
ดีแลน นั่งลงข้าง ๆ โนอาห์
ดีแลน "ป้อมปราการของคุณมั่นคงมากครับ โนอาห์แต่พ่ออยากให้คุณจำไว้ว่า... บางครั้งสิ่งที่ สวยงาม และ อ่อนโยนก็สามารถทำให้สิ่งที่แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้นได้ การเป็นผู้นำไม่ได้หมายถึงการควบคุมทุกรายละเอียด... แต่มันหมายถึงการ เข้าใจความต้องการของคนที่อยู่รอบตัวเราด้วย"
ดีแลนไม่ได้บังคับให้โนอาห์ยอมรับหน้าต่างรูปหัวใจ แต่เขาให้โนอาห์คิดหาวิธีที่จะทำให้หน้าต่างรูปหัวใจ มั่นคงในทางวิศวกรรม ซึ่งเป็นการสอนลูกชายให้รู้จัก ประยุกต์ใช้ความเฉลียวฉลาดกับความอ่อนโยน
ลินน์ ที่อ่อนโยนและจินตนาการกว้างไกล มักจะหลีกหนีความขัดแย้งไปอยู่ในโลกของเธอเอง อีวา ตระหนักว่าเธอต้องสอนลูกสาวให้ เข้มแข็งในการแสดงออกถึงความรู้สึกของตนเอง
อีวา ใช้เวลาในการวาดรูปกับ ลินน์ และสอนเธอว่า ศิลปะ และ ความรู้สึกคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อีวา "คุณไม่ต้องสู้ด้วยเสียงดังเหมือนพี่ชายของคุณค่ะ ลินน์ คุณมี สี และ รูปทรงเป็นอาวุธ คุณสามารถแสดงให้พี่ชายของคุณเห็นว่าหน้าต่างรูปหัวใจของคุณ สำคัญ ขนาดไหน ด้วยการทำให้มันสวยงามที่สุด"
การที่ ดีแลน และ อีวา จัดการกับความแตกต่างของลูก ๆ อย่างระมัดระวัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์พวกเขาเอง พวกเขาใช้ความเข้าใจที่ได้เรียนรู้จากการไถ่บาปในอดีต มาหล่อเลี้ยงลูก ๆ ในปัจจุบัน
หลังจากที่ครอบครัวผ่านพ้นความตึงเครียดของคดี โซเฟียและความท้าทายของลูก ๆ ดีแลน รู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องยืนยัน พันธสัญญา ที่เขามีต่อ อีวา อีกครั้ง
เขาไม่ได้จัดพิธีใหญ่โต แต่จัดพิธี ต่ออายุคำปฏิญาณ (Renewing the Vows) ในสวนกุหลาบขาวของพวกเขา โดยมี อีธาน, โนอาห์, และลินน์ เป็นพยานเพียงกลุ่มเดียว
ในพิธีที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก ดีแลน และ อีวายืนอยู่ใต้ซุ้มกุหลาบขาวที่บานสะพรั่ง
ดีแลน (มองเข้าไปในดวงตาของอีวาด้วยความรักที่ลึกซึ้ง) "เจ็ดปีที่ผ่านมาได้สอนให้ผมรู้ว่า ความรัก ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือ การตัดสินใจ ที่จะซื่อสัตย์ในทุก ๆ วัน ผมขอปฏิญาณในวันนี้ต่อหน้าลูก ๆ ของเราว่า ผมจะ ฟัง คุณด้วยความเข้าใจ... ผมจะ ยอมรับ ความผิดพลาดของผม... และผมจะใช้ ทุกความสามารถ ที่ผมมีในการปกป้องความซื่อสัตย์และความอ่อนโยนของคุณตลอดไป"
อีวา (น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน) "ฉันขอปฏิญาณว่า ฉันจะ เชื่อมั่น ในการไถ่บาปของคุณ... ฉันจะ สนับสนุน คุณในการทำสิ่งที่ถูกต้อง... และฉันจะใช้ ความรัก ของฉันในการเป็นแสงสว่างนำทางคุณออกจากความมืดมิดเสมอ"
ลูก ๆ ยืนปรบมือด้วยความสุข แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของคำปฏิญาณทั้งหมด แต่พวกเขาสัมผัสได้ถึง ความรักที่บริสุทธิ์ และ ความมั่นคง ที่พ่อแม่ของพวกเขามีให้กัน
พิธีนี้เป็นมากกว่าการแสดงออก มันคือการ เสริมสร้างความสมบูรณ์ของครอบครัว ต่อหน้าลูก ๆ และเป็นการยืนยันว่ารากฐานของพวกเขาถูกสร้างขึ้นบน ความจริง และ การให้อภัย
ดีแลน และ อีวาได้เรียนรู้ว่าความท้าทายไม่ได้มาจากการต่อสู้กับโลกภายนอกเสมอไป แต่มาจาก ความจำเป็นที่จะต้องซื่อสัตย์ต่อกันและต่อลูก ๆ เกี่ยวกับความผิดพลาดที่สร้างพวกเขาขึ้นมา การที่พวกเขาเปิดเผยความจริงให้กับลูก ๆ อย่างอ่อนโยน ได้เป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับครอบครัวแบล็กเวลล์ใหม่นี้
ความรักของพวกเขาที่เริ่มต้นจากความแค้น ได้กลายเป็นมรดกแห่งแสงสว่าง ที่จะนำทาง
ลูก ๆ ของพวกเขาให้เติบโตขึ้นอย่างมีจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจตลอดไป.
โนอาห์—การสร้างตัวตน (The Pursuit of Identity) เงาที่ต้องหลีกหนี (The Shadow to Evade)โนอาห์ แบล็กเวลล์ วัย 24 ปี เป็นแฝดคนหนึ่งที่แสดงความสามารถทางธุรกิจและเทคโนโลยีออกมาอย่างโดดเด่นตั้งแต่เด็ก เขามีความเฉียบขาด, มีสัญชาตญาณทางตลาด, และมีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จแบบ ดีแลน แบล็กเวลล์ แต่เป็นดีแลนในเวอร์ชันที่ทันสมัยและเร็วกว่าแต่สิ่งหนึ่งที่ โนอาห์ ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงคือ มูลนิธิคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ เขามองว่าการทำงานด้านการกุศลเป็นเหมือนการยืนอยู่ใต้ เงา ของความสำเร็จที่พ่อแม่สร้างไว้ โนอาห์ต้องการพิสูจน์ว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จด้วย ชื่อของตัวเอง โดยปราศจากมรดกที่ถูกไถ่บาปเขาได้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้าน ปัญญาประดิษฐ์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน (AI-Fi)ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โนอาห์สร้างมันขึ้นมาตั้งแต่ศูนย์ โดยปฏิเสธเงินทุนจากครอบครัวความขัดแย้งภายในความมุ่งมั่นที่จะหลีกหนีจากเงาของพ่อแม่ทำให้ โนอาห์ เริ่มแสดงนิสัยที่คล้ายกับ ลูคัส แบล็กเวลล์ ในอดีต: เขาหมกมุ่นอยู่กับการแข่งขัน, มองว่าการเข้าซื้อกิจการเป็น การทำสงคราม และเชื่อว่า ประสิท
กำแพงแก้วแห่งความคาดหวัง (The Glass Wall of Expectation)อีธาน แบล็กเวลล์ ในวัย 25 ปี เป็นบุตรชายคนโตและเป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบที่สุดของความรักที่ได้รับการไถ่บาปของ ดีแลน และ อีวา เขาสูงสง่า มีความสุภาพอ่อนโยน และมีแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจตามแบบฉบับของมารดา อีวาเขาเป็นผู้บริหารหลักของ มูลนิธิคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ และเป็นหัวหน้าโครงการยุติธรรมทางสังคม อีธานมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เฉียบคมเหมือนพ่อ แต่เขามักจะ ลังเล ที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยตัวเอง เพราะความกลัวที่จะทำผิดพลาดอย่างรุนแรงความกลัวของอีธานอีธานไม่ได้กลัวความล้มเหลวทางธุรกิจ แต่เขากลัวที่จะ ทำลายมรดก แห่งความซื่อสัตย์ที่พ่อแม่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขารู้ว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของเขาจะถูกตีความว่าเป็น เงาของตระกูลแบล็กเวลล์ ที่กลับมาหลอกหลอน ด้วยเหตุนี้ ชีวิตส่วนตัวของเขาจึงถูก แช่แข็ง ไว้ เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ไม่เคยไปเที่ยวคลับ ไม่เคยทำอะไรที่เสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์เขามองเห็นความรักที่บริสุทธิ์ของพ่อแม่เป็นเหมือน งานศิลปะชั้นยอด ที่สมบูรณ์แบบเสียจนเขาไม่กล้าแตะต้องมัน จุดเริ่มต
สิบแปดปี ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีธาน, โนอาห์, และลินน์ แบล็กเวลล์ เติบโตขึ้นภายใต้แสงสว่างของ โรงเรียนกุหลาบขาว และหลักการของ มูลนิธิคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ พวกเขาคือภาพสะท้อนของความรักที่ได้รับการไถ่บาปของ ดีแลน และ อีวาแต่ความสมบูรณ์แบบที่พ่อแม่สร้างขึ้นกลับกลายเป็น กำแพง และ ความคาดหวัง ที่หนักอึ้งสำหรับคนรุ่นใหม่อีธาน (วัย 25 ปี) แบกรับภาระทางจริยธรรมของมูลนิธิ โนอาห์ (วัย 24 ปี) ใช้ความสามารถทางธุรกิจเพื่อสร้างชื่อเสียงของตัวเองให้ห่างจากเงาของพ่อแม่ และ ลินน์ (วัย 24 ปี) ค้นหาตัวตนที่แท้จริงในโลกของศิลปะเมื่อ ความลับจากอดีต ที่ถูกเก็บงำไว้ในยุคลูคัสถูกเปิดเผยอีกครั้ง และมี ตัวละครใหม่ ที่นำพาความเสี่ยงและความรักเข้ามาในชีวิตของพวกเขา ลูก ๆ ของดีแลนและอีวาจะต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถสร้างความรักในแบบของตัวเองได้ โดยไม่ต้องอาศัยการไถ่บาปของคนรุ่นก่อน
โครงการสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ หลังจากผ่านพ้นความท้าทายทางกฎหมาย จริยธรรม และความท้าทายในครอบครัว ดีแลน แบล็กเวลล์ และ อีวา ก็ตัดสินใจที่จะใช้เงินทุนทั้งหมดจาก กองทุนแอนนา แบล็กเวลล์เพื่อความยั่งยืนและทรัพย์สินส่วนตัวที่เหลือของดีแลนในการสร้างโครงการที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "โรงเรียนกุหลาบขาว"โรงเรียนนี้ไม่ได้เป็นเพียงอาคารเรียน แต่เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ไม่แสวงหาผลกำไรสำหรับเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการถูกชักจูงให้ทำผิดกฎหมายหรือขาดการชี้นำทางจริยธรรมปรัชญาของโรงเรียนโรงเรียนกุหลาบขาวจะเน้นการศึกษาที่ครอบคลุมสี่ด้านหลัก จริยธรรมและการไถ่บาปสอนความซื่อสัตย์ ความเห็นอกเห็นใจ และการรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ศิลปะและการบำบัด ใช้ดนตรี ศิลปะ และการเขียนเป็นเครื่องมือในการเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์ ความยั่งยืน การสอนเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อโลก (จากกองทุนแอนนา) ความรู้ทางธุรกิจที่รับผิดชอบ การสอนพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเงินภายใต้หลักการความยุติธรร การมีส่วนร่วมของลูก ๆ (The Children's Contribution)การสร้างโ
เสียงกระซิบจากโลกภายนอก (Whispers from the Outside World)อีธาน แบล็กเวลล์ในวัยเจ็ดขวบ ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไป เขาเป็นเด็กชายที่ช่างสังเกต, มีความรู้สึกอ่อนไหว, และมีความคิดที่ซับซ้อนตามแบบฉบับของ อีวา ผู้เป็นแม่ เขากำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนประถมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่มีพื้นเพมาจากครอบครัวชนชั้นสูงที่เคยรู้จักหรือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของตระกูลแบล็กเวลล์ในอดีตแม้ว่า ดีแลนและอีวาจะพยายามปกป้องลูก ๆ จากเงาของอดีต แต่กำแพงของบ้านก็ไม่สามารถกั้นคำพูดของคนภายนอกได้วันหนึ่ง อีธาน กลับมาถึงบ้านจากโรงเรียนด้วยสีหน้าที่เงียบผิดปกติ เขานั่งเล่นอยู่เงียบๆ ในห้องนั่งเล่น โดยมีหนังสือเล่มโปรดอยู่ในมือแต่ไม่ได้เปิดอ่าน ดีแลน สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น และรู้ทันทีว่ามีบางอย่างที่รบกวนจิตใจของลูกชายอีธาน รอจนกระทั่ง โนอาห์ และ ลินน์ เข้านอนแล้ว เขาเดินเข้าไปหา ดีแลน ซึ่งกำลังนั่งตรวจเอกสารของมูลนิธิอยู่หน้าเตาผิงอีธาน (พูดด้วยเสียงเบาและสั่นเครือ) "คุณพ่อครับ... วันนี้เพื่อนที่โรงเรียนถาม อีธานว่า... คุณปู่ลูคัส... เป็นคนไม่ดีใช่ไหมครับ?"คำถามนั้นเหมือนเป็นระเบิดเวล
ความท้าทายด้านจริยธรรมในมูลนิธิ (The Ethical Crossroads)หลังจากที่ มูลนิธิคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ ได้รับความเชื่อถืออย่างสูงจากการเปิดโปงและจัดการกับมรดกที่ถูกซ่อนไว้ของ แอนนา แบล็กเวลล์ องค์กรก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นที่รู้จักในฐานะผู้พิทักษ์ความยุติธรรมแต่ชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นก็นำมาซึ่งความท้าทายที่ยากจะปฏิเสธ วันหนึ่ง มูลนิธิได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือจาก มาร์คัส เคนอดีตซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนรายหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่า ฉ้อโกง และ ปั่นราคาหุ้น ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมากต้องประสบกับความสูญเสียมาร์คัส เคนไม่ได้มาขอความช่วยเหลือเพื่อต่อสู้คดีในศาล แต่มาพร้อมกับ การสารภาพผิดอย่างสมบูรณ์และข้อเสนอที่ไม่เคยมีมาก่อน: เขาจะ มอบทรัพย์สินส่วนตัวเกือบทั้งหมด (ประมาณ 80% ของทรัพย์สินทั้งหมดของเขา) คืนให้กับเหยื่อและสังคม โดยมีเงื่อนไขว่ามูลนิธิฯ ต้องให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เขาในการเจรจาโทษกับทางการ ซึ่งรวมถึงการขอโอกาสในการ ไถ่บาป ด้วยการทำงานเพื่อสังคมหลังจากพ้นโทษข้อเสนอของมาร์คัสทำให้บอร์ดบริหารของมูลนิธิและ ดีแลนกับ อีวา ต้องเผชิญกับทางแยกที่ยากลำบากที่สุดนับต







