ไซรัสอุ้มร่างอ้อนแอ้นเดินลงสระน้ำด้วยความร้อนใจ ภายในหัวไม่เหลือความคิดอื่นใด นอกจากการช่วยให้คนในอ้อมแขนพ้นจากความทรมาน
“ร้อน...” เธอบ่นร้อน ทั้งๆ ที่น้ำในสระเย็นจัดจนขึ้นไอ สองมือเกาะเกี่ยวเขาไว้แน่น “...ช่วยที...” เธอพึมพำ น้ำเสียงเว้าวอน
เขาไม่รู้ว่าเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์นางนี้จะรู้ความหมายของสิ่งที่พูดออกมาหรือเปล่า รู้เพียงแต่ต้องพยายามประคองให้เธออยู่นิ่งๆ
แต่ดูเหมือนเจ้าของผิวนวลนิ่มจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่...พ่อค้าอัญมณีจึงต้องพาร่างในอ้อมแขนลงนั่ง แล้วกอดรั้งร่างเธอไว้ เพื่อไม่ให้ร่างที่ดูอ่อนยวบไปหมดร่างนี้พลาดจมน้ำซึ่งลึกเพียงระดับต้นขา หรือพลาดเดินไปหาใจกลางสระที่น่าจะลึกกว่าบริเวณนี้
ไซรัสได้ยินเธอพึมพำอะไรหลายอย่าง แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับฟังไม่ได้ศัพท์ จับใจความไม่ได้ บอกให้รู้ว่าเจ้าของดวงตาสีนิลกำลังไร้สติเพราะยา
เห็นแบบนี้แล้ว พ่อค้านักแสวงโชคก็อดคิดไม่ได้ ว่าถ้าคนที่เธอเดินมาเจอไม่ใช่เขาแต่เป็นทหารยาม หรือผู้ชายเลวๆ สักคน มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ในช่วงที่เขากำลังคิดอะไรๆ อยู่นั้น นิ้วมือร้อนๆ ก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อเขาแล้วลูบไล้ไปทั่ว จุดไฟปรารถนาแปลกประหลาด เผาผลาญให้สำนึกส่วนดีค่อยๆ มอดไหม้
“คุณหนู” เขาพยายามเรียกสติอีกฝ่าย ไม่นึกว่ามันกลับกลายเป็นการเรียกริมฝีปากอวบอิ่มขึ้นประทับริมฝีปาก
เขาต้องพยายามอย่างยิ่ง ในการกดสัญชาติญาณดิบเถื่อน แล้วเบือนหน้าหนี
แต่เจ้าของริมฝีปากสีกุหลาบกลับไม่ทำตัวเป็นนักร่วมมือที่ดี พอพลาดจากริมฝีปากเขา เธอก็กดหน้าลงซุกไซ้ทุกส่วนเท่าที่ทำได้
กราม ซอกหู ต้นคอ แผงอกกว้าง ทุกอณูในสี่ส่วนนี้ ไม่มีตรงไหนเลยที่เธอมองข้าม
“บ้าจริง” เขาสบถบ่นไม่เป็นภาษา เมื่อร่างเล็กๆ บดเบียดเข้าหา แล้วจ้องเขาด้วยแววตาเว้าวอน “หยุด” เขาสั่งเสียงแหบห้าว เจตนาทั้งปรามเธอ ทั้งปรามตัวเองไม่ให้ตอบสนองคนกำลังร้อนรุ่มเพราะฤทธิ์ยา ภายในใจได้แต่ภาวนา ขอให้ความเย็นเยียบจากน้ำในสระ ช่วยปลุกสติสัมปชัญญะอัยน์นาได้ก่อนที่ท่าทียั่วยวนป่วนอารมณ์จากเธอจะพาให้เขาเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ
ใครมันช่างทำเรื่องแบบนี้ได้... ไซรัสคิดพลางแหงนหน้าไล่สายตาสำรวจตั้งแต่ระเบียงตึกปีก ระเบียงตึกหลัก บันไดหน้าประตูทางเข้า ไปจนถึงห้องโถงจัดเลี้ยง
เมื่อเห็นว่าทุกคน โดยเฉพาะพวกทหารยืนยาม ล้วนโดนตรึงความสนใจไว้ด้วยเสียงดนตรีสนุกสนานกับการเต้นรำแบบกลุ่มแสนครื้นเครง พ่อค้าหนุ่มก็ถอนหายใจยาว รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครทันสังเกตว่ามีคนสองคนหายไปจากงานเลี้ยง หรือมองเห็นความเคลื่อนไหวแสนวาบหวามที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
แม้ชื่อเสียงอัยน์นาจะได้รับการปกป้อง แต่ดูเหมือนชื่อเสียงของท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านหญิงแอนนาเบลจะยิ่งตกต่ำอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้คืนนั้นจะไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้เพิ่มเติมนอกจากเจ้าบ้านอย่างเจ้ากรมการคลังกับสาวใช้อีกสองราย แต่หลังจากตอนนั้น ดูเหมือนพวกทหารในเหตุการณ์และคนรับใช้ที่เจ้ากรมการคลังส่งมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ท่านเจ้ากรมการเมือง จะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าต่อให้ครอบครัวกับคนใกล้ชิดฟัง แล้วคนเหล่านั้นก็เอาไปเล่าลือต่อพลางใส่สีตีไข่จนเกิดเนื้อเรื่องบทใหม่แทรกเสริมในนิทานเพลงเรื่องเก่า บทเดียวกับที่เหล่าผู้สืบเชื้อสายแกรนเทรนท์โดนเจ้าบ้านคนปัจจุบันเรียกตัวมานั่งฟังอยู่ในขณะนี้หนนี้อัยน์นาไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในเรื่องเล่าเท่าไหร่นัก เพราะมีเรื่องอื่นรบกวนจิตใจ ทั้งยังเคยได้ยินหญิงรับใช้ในคฤหาสน์ซุบซิบนินทากันมามากแล้วรายละเอียดเรื่องราวก็เหมือนเคย คือเรื่องที่กวีเปรียบเปรยเธอกับสิ่งบริสุทธิ์สวยงามทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ ในขณะที่ยกบทบาทร้ายกาจน่ารังเกียจให้ ท่านผู้หญิงเธลม่า แกรนเทรนท์ และพี่สาวต่างมารดาทั้งสอง จะพิเศษอยู่หน่อยก็ตรงที่หนนี
“ไซรัส...!” ท่านหญิงพริสซิลล่ารีบปิดปากแอนนาเบลก่อนที่น้องสาวจะโวยวายอะไรออกมามากกว่านี้ถึงจะยืนอยู่ห่างกันพอสมควร แต่ตอนนั้น อัยน์นาก็พออ่านปากออก ว่าแอนนาเบลโดนพี่สาวสั่งให้ ‘หุบปาก’...ดูท่าชายคนนี้จะไม่ใช่คนที่พริสซิลล่าคาดหวังให้อยู่กับน้องสาวต่างมารดาอย่างเธอ...“เกิดอะไรขึ้นคะ” ทายาทแกรนเทรนท์คนโตรีบจูงมือน้องสาวตรงมาหาเธอกับไซรัสไม่ทันที่อัยน์นาจะได้อ้าปากตอบอะไร ไซรัสก็เป็นฝ่ายชิงตอบให้เสียก่อน“เธอหมดสติแล้วพลัดตกน้ำครับ ผมผ่านมาเห็นเข้า ก็เลยรีบช่วยเธอขึ้นจากสระ”“แต่เสื้อผ้า...” แอนนาเบลโดนพริสซิลล่าถลึงตาใส่เพราะประโยคนั้น“เสื้อผ้าคงโดนอะไรสักอย่างเกี่ยวตอนฉุกละหุกใช่ไหมคะ” พริสซิลล่าหันมาฉีกยิ้มให้เธอ “ดีจังเลยนะจ๊ะ อัยน์นา ที่มีคนมาช่วยไว้ทัน”“ค่ะ” อัยน์นาสะกดกลั้นความไม่พอใจที่โดนวางยาเอาไว้ พยายามจะไม่พูด
อัยน์นาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้เพียงตอนนี้ร่างกายเธอร้อนวูบไปทั่วจนครั่นเนื้อครั่นตัว แถมยังรู้สึกอึดอัดปนวาบหวามจนแทบทนไม่ไหวตอนนี้นัยน์ตาเธอพร่ามัว ร่างกายไม่ถึงกับไร้เรี่ยวแรง แต่ดูคล้ายมันจะตอบสนองต่อกล้ามเนื้อแข็งแกร่งกับกลิ่นอายราตรีดิบเถื่อนและโซ่ตรวนแสนอันตรายจากร่างกายคนตรงหน้าจนไม่อาจควบคุม ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา เรื่องการควบคุมตัวเอง เป็นเรื่องที่เธอแน่ใจว่าทำได้ดีที่สุดเธอไม่โทษยานั่น ความจริงเธอเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอขัดใจคือแรงดึงดูดจากชายตรงหน้า ขัดใจจนอยากจิกเล็บให้เขาเจ็บกว่านี้ แต่ตอนนี้ ส่วนลึกในใจเธอกลับอยากหยุดคิดทุกเรื่อง แล้วสูดซับกลิ่นอายแปลกประหลาดชวนหลงใหลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้“คุณหนู” เจ้าของกลิ่นอายแสนยวนเย้าเรียกด้วยน้ำเสียงดุเข้มอัยน์นารำคาญเสียงห้ามปรามนั้นนัก จึงเลื่อนส่วนเดียวที่ว่างอยู่ขึ้นปิดริมฝีปากหยักสวยทรงเสน่ห์นั่น แล้วทำตามเสียงสั่งลึกลับที่คอยกระซิบกระซาบอยู่ในใจเธอได้ยินเขาสบถบ่นไม่เป็นภาษาด้วยสำนวนสำเนียงคล้ายชนชั้นล่าง นั่นทำให้ภาพชายท่าทีสุขุมในชุดเร
ไซรัสอุ้มร่างอ้อนแอ้นเดินลงสระน้ำด้วยความร้อนใจ ภายในหัวไม่เหลือความคิดอื่นใด นอกจากการช่วยให้คนในอ้อมแขนพ้นจากความทรมาน“ร้อน...” เธอบ่นร้อน ทั้งๆ ที่น้ำในสระเย็นจัดจนขึ้นไอ สองมือเกาะเกี่ยวเขาไว้แน่น “...ช่วยที...” เธอพึมพำ น้ำเสียงเว้าวอนเขาไม่รู้ว่าเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์นางนี้จะรู้ความหมายของสิ่งที่พูดออกมาหรือเปล่า รู้เพียงแต่ต้องพยายามประคองให้เธออยู่นิ่งๆแต่ดูเหมือนเจ้าของผิวนวลนิ่มจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่...พ่อค้าอัญมณีจึงต้องพาร่างในอ้อมแขนลงนั่ง แล้วกอดรั้งร่างเธอไว้ เพื่อไม่ให้ร่างที่ดูอ่อนยวบไปหมดร่างนี้พลาดจมน้ำซึ่งลึกเพียงระดับต้นขา หรือพลาดเดินไปหาใจกลางสระที่น่าจะลึกกว่าบริเวณนี้ไซรัสได้ยินเธอพึมพำอะไรหลายอย่าง แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับฟังไม่ได้ศัพท์ จับใจความไม่ได้ บอกให้รู้ว่าเจ้าของดวงตาสีนิลกำลังไร้สติเพราะยาเห็นแบบนี้แล้ว พ่อค้านักแสวงโชคก็อดคิดไม่ได้ ว่าถ้าคนที่เธอเดินมาเจอไม่ใช่เขาแต่เป็นทหารยาม หรือผู้ชายเลวๆ สักคน มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่เขากำลังคิดอะไรๆ อยู่นั้น นิ้วมือร้อนๆ ก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อเขาแล้วลูบไล้ไปทั่ว จุดไฟปรารถนาแปลกประหลาด เผาผลา
หลังหว่านเมล็ดพันธุ์เส้นสายไปทั่วงานเลี้ยง ไซรัสก็ปลีกตัวออกมาหลบมุมสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียงเล็กๆ ข้างประตูทางออกฝั่งสวนหย่อมรกครึ้มทีแรก เขาไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมก่อนหน้านี้ลูคัสที่ดูจะคุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในกลุ่มพี่ๆ น้องๆ ต่างสายเลือด ถึงได้พยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาเต้นรำอย่างถูกวิธีทั้งๆ ที่เขาก็ยืนยันว่าไม่ต้องการเต้นรำกับใคร แต่หลังจากโดนเจ้ากรมการคลังหิ้วไปนั่นมานี่ จนโดนขุนนางและพ่อค้าใหญ่หลายรายยัดเยียดลูกหรือหลานสาวให้เขาเชิญไปเต้นรำ ผู้มั่งคั่งหน้าใหม่ของอาณาจักรก็เข้าใจทันทีน่ารำคาญนัก ไซรัสเอนหลังพิงผนัง แหงนหน้ามองพระจันทร์ อดคิดไม่ได้ว่าต้องใช้เวลาอยู่ในอาจักรนี้อีกนานแค่ไหน ภารกิจแสนสำคัญจึงจะลุล่วงเสียทีท่ามกลางความเงียบงัน สตรีชุดขาวผ่องเดินผ่านประตูระเบียงออกมาอย่างเชื่องช้า คล้ายพยายามกลั้นความเจ็บปวดบางอย่างทันทีที่ก้าวขาพ้นกรอบประตู หญิงสาวอ่อนเยาว์รายนั้นก็รีบประคองร่างเข้าหาสวนกว้าง ดูราวกับสัตว์ป่าหาที่หลบภัยยามเจ็บไข้ลูกสาวนอกสมรสเจ้ากรมการเมือง...อัยน์นา...?เขาบอกตัวเองว่าไม่ควรใส่ใจ แต่ท่าทีซวนเซ และเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าขาวนวล กลับทำให
“ที่คุณพูดมาไม่ผิดเลย ” ไซรัสคลี่ยิ้มกว้างขึ้น เขาแสร้งกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนเอ่ย “ว่าแต่คุณเถอะ ดูเหมือนท่านหญิงหลายคนจะอยากให้คุณชวนเต้นรำ”“ผมเห็นพวกเธอบางคนเหลียวมองคุณกับญาติผู้พี่ของผมด้วยเหมือนกัน” คาร์ลหยิบเครื่องดื่มจากถาดที่คนรับใช้ชายถือผ่านมาให้ท่านเจ้ากรมการคลัง ไซรัส และตนเอง “งานสังคมก็เป็นเช่นนี้ล่ะ มันเป็นสถานทีที่สตรีชั้นสูงจะได้ออกมาอวดโฉมเพื่อหว่านเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหล ถัดจากงานนี้ก็คงมีคุณหนูกับคุณชายจากตระกูลไหนสักตระกูลประกาศการหมั้นหมาย”“แต่เห็นจะไม่ใช่ตระกูลแกรนเทรนท์” จู่ๆ ภรรยาเจ้ากรมการคลัง ก็ก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนา ตอนนี้ร่างกายเธอกรุ่นกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ บอกให้รู้ได้โดยไม่ต้องเดา ว่าแก้วเหล้าหมักผลไม้ในมือเธอ คงไม่ใช่เหล้าแก้วแรกที่ดื่มกินยังดีที่เจ้าหล่อนมีสติพอจะยกพัดป้องปาก ก่อนออกความเห็นต่อไป“ฉันเห็นคุณหนูแกรนเทรนท์คนโตกับคนรองมองมาทางพวกคุณบ่อยๆ พวกคุณเพิ่งมาจากต่างถิ่น อย่าหลงกลเชียวนะคะ เห็นงามๆ อย่างนั้นน่ะ ไม่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่คนไหนในอาณาจักรนี้อยากเฉียดใกล้หรอกค่ะ” นางบอกคาร์ลและไซรัสอย่างไม่สงวนถ้อยคำ ไม่สนใจสายตาห้ามปรามจากสามีแม้แต่น้อยแล้วค