Share

บทที่ 41

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-09-01 17:57:58

“ทุกอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสียครับ”

“ผมทำงานมานาน พอจะจับสังเกตได้ว่า ถึงทุกอย่างในโลกนี้จะมีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่เวลาให้คุณค่า กับบางเรื่องเราให้คุณค่ามันแบบกลางๆ ไม่ได้ บ่อยครั้งโลกจะบังคับให้เราต้องเลือก...เลือกว่าจะมองเห็นบางเรื่องไปในทางไหนมากกว่ากัน ระหว่างดี กับเลว” เจ้ากรมการคลังวิลส์ตันถือแก้วเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม “เรื่องเลือกทำหรือไม่ทำสงครามก็เป็นหนึ่งในนั้น”

“ครับ” ไซรัสขานรับ เหมือนเห็นด้วยเสียเต็มประดา

“ถึงจะเพิ่งเข้าเมืองมาได้ไม่นาน แต่จากที่ผมทราบ คุณเป็นคนกว้างขวางไม่เบา...คนกว้างขวางแบบคุณ คงรู้ดีว่าตอนนี้บ้านเมืองเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน”

“ครับ ผมทราบดี” พ่อค้าหนุ่มตอบด้วยสีหน้าอาบรอยยิ้มเช่นเคย

“คุณรู้ไหม ไซรัส เราจำเป็นต้องทำสงคราม” ท่านเจ้ากรมการคลังบอกพลางกระดิกนิ้วสั่งให้สาวใช้รินของเหลวสีอำพันเพิ่มให้ “รู้ใช่ไหม ในแก้วนี้คืออะไร”

“จากกลิ่น ผมเดาว่าคงเป็นเหล้าหมักผลไม้...บางทีอาจเป็นเหล้าหมักจากปัญจาป อาณาจักรหมู่เกาะ ที่อยู่ทางใต้”

“จริงสิ...คุณเคยบอกว่าก่อนหน้านี้เคยใช้ชีวิตอยู่ที่อาณาจักรหมู่เกาะทางใต้ ต่อให้ไม่ใช่นักดื่มก็ต้องเคยลิ้มรสมาบ้าง” เจ้ากรมการคลังเลื่อนแก้วที่ไซรัสยังไม่ได้แตะต้องส่งให้ จากนั้นก็ยกแก้วตัวเองขึ้นคล้ายจะชวนดื่มพร้อมกัน

ทันทีที่เหล้ารสหวานอมขมกรุ่นกลิ่นผลไม้ชวนสดชื่นสัมผัสลิ้น คนเพิ่งเคยลิ้มลองเหล้าชนิดนี้ก็เข้าใจทันที ว่าทำไมผู้คนถึงยกย่องเหล้าจากอาณาจักรหมู่เกาะทางใต้ว่าเป็นยอดแห่งเหล้าผลไม้

“รู้ใช่ไหม ว่าเหล้านำเข้าจากต่างแดนชนิดนี้ ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่ง”

“ครับ” คำว่าสินค้าฟุ่มเฟือยที่ท่านเจ้ากรมการคลังพูดถึง หมายถึงสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาก็ได้ แต่คนกลุ่มหนึ่งยินดีจะจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้

“ทั้งๆ ที่มันเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ผู้คนในอาณาจักรกลับสั่งซื้อมาดื่มกินเป็นว่าเล่นจนแผ่นดินใหญ่เริ่มจะขาดทุนจากการค้าขายกับอาณาจักรหมู่เกาะนั่น...ก็อย่างว่าล่ะนะ เราไม่มีสูตรผลิตเหล้าหมักชนิดนี้ แถมดูเหมือนผลไม้บางชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมหลักจะมีก็แต่ในอาณาจักรหมู่เกาะทางใต้เท่านั้น พอคนในอาณาจักรต้องการ แต่เราผลิตเองไม่ได้ ก็มีแต่ต้องนำเข้ามาให้คนมีเงินกลุ่มนี้” ท่านเจ้ากรมการคลังยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกอึก ก่อนเอ่ยต่อไป “แต่พอจะมีสงคราม...สงครามทำให้ผู้คนหวาดหวั่น มันทำให้พวกเขาสำนึกได้ว่าสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้เป็นของเกินจำเป็น... เชื่อไหม ตั้งแต่มีสงคราม ตอนนี้เรานำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยน้อยลงมากเชียวล่ะ”

“แถมข่าวเรื่องสงครามยังส่งผลพลอยได้ให้ข้าวของในคลังสินค้าราคาสูงขึ้นอีกต่างหาก ถึงต่อไปอัญมณีกับแพรพรรณราคาแพงที่เป็นสินค้าสิ้นเปลืองเกินจำเป็นอาจขายยากขึ้น แต่จนถึงตอนนั้น สินค้าในคลังผมคงขายหมดไปแล้ว” ไซรัสต่อความให้ด้วยใบหน้าของพ่อค้าอารมณ์ดี

“มีแผนจะเปลี่ยนไปค้าขายอย่างอื่นงั้นหรือ?”

“ผมเริ่มกักตุนสินค้าทำกำไรอย่างอื่นไว้บ้างแล้ว เมื่อไหร่ที่สงครามมาถึง ผู้คนจะเรียกหาสินค้าที่ผมมี”

“อะไรล่ะ”

“บอกตอนนี้ท่านเจ้ากรมคงไม่ตื่นเต้นนัก”

เจ้ากรมการคลังหลุดหัวเราะออกมาทันที

“ไซรัส คุณเป็นคนที่เข้าใจโลก” เจ้าของบ้านวางแก้วเหล้าในมือแล้วสบตาเขา บ่งบอกว่ากำลังจะคุยเรื่องสำคัญ “ว่ากันตามตรงเถอะนะ ไซรัส ผมเองก็ไม่อยากอ้อมค้อมกับคุณ”

“ครับ”

“มีแหล่งข่าวเชื่อถือได้บอกผมมาว่าคุณคิดจะไปเข้ากลุ่มกับพวกต่อต้านสงคราม”

“เจ้ากรมการคลัง วิลสัน วิลส์ตัน เป็นคนกว้างขวาง หูไวตาไว สมคำร่ำลือจริงๆ” คนเป็นแขกคลี่ยิ้มกว้างขึ้น “ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ผมทำแบบนั้นจริงๆ”

เจ้ากรมการคลังวิลส์ตันเชิดหน้า มองเขาด้วยแววตากระด้างขึ้น

“แต่ไม่ใช่แบบนั้นครับ ไม่ใช่อย่างที่คุณกับแหล่งข่าวเชื่อถือได้อะไรนั่นคิด” ไซรัสเอ่ย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ไม่ทราบว่าท่านเจ้ากรมการคลังเคยได้ยินคำนี้หรือเปล่า คำที่ว่า ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง’ ” ว่าแล้ว คนเป็นแขกก็ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ

“ภาษิตเก่าแก่จากแดนไกลน่ะรึ?”

“ครับ” พ่อค้าหนุ่มกระดิกนิ้วส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้เติมเหล้าให้ตัวเองกับเจ้าบ้านอย่างเป็นธรรมชาติ “ผมค่อนข้างสนใจเรื่องที่ท่านเจ้ากรมการเมืองเป็นที่เชื่อถือของพวกชาวเมือง...ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนในแวดวงราชการ ขุนนางสูงอายุผู้นี้เองก็ได้รับความนับถือไม่น้อย”

“ว่าต่อไป”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 61

    “ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 60

    “ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 59

    “คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 58

    คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 57

    นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 56

    กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status