อัยน์นาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้เพียงตอนนี้ร่างกายเธอร้อนวูบไปทั่วจนครั่นเนื้อครั่นตัว แถมยังรู้สึกอึดอัดปนวาบหวามจนแทบทนไม่ไหว
ตอนนี้นัยน์ตาเธอพร่ามัว ร่างกายไม่ถึงกับไร้เรี่ยวแรง แต่ดูคล้ายมันจะตอบสนองต่อกล้ามเนื้อแข็งแกร่งกับกลิ่นอายราตรีดิบเถื่อนและโซ่ตรวนแสนอันตรายจากร่างกายคนตรงหน้าจนไม่อาจควบคุม ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา เรื่องการควบคุมตัวเอง เป็นเรื่องที่เธอแน่ใจว่าทำได้ดีที่สุด
เธอไม่โทษยานั่น ความจริงเธอเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอขัดใจคือแรงดึงดูดจากชายตรงหน้า ขัดใจจนอยากจิกเล็บให้เขาเจ็บกว่านี้ แต่ตอนนี้ ส่วนลึกในใจเธอกลับอยากหยุดคิดทุกเรื่อง แล้วสูดซับกลิ่นอายแปลกประหลาดชวนหลงใหลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
“คุณหนู” เจ้าของกลิ่นอายแสนยวนเย้าเรียกด้วยน้ำเสียงดุเข้ม
อัยน์นารำคาญเสียงห้ามปรามนั้นนัก จึงเลื่อนส่วนเดียวที่ว่างอยู่ขึ้นปิดริมฝีปากหยักสวยทรงเสน่ห์นั่น แล้วทำตามเสียงสั่งลึกลับที่คอยกระซิบกระซาบอยู่ในใจ
เธอได้ยินเขาสบถบ่นไม่เป็นภาษาด้วยสำนวนสำเนียงคล้ายชนชั้นล่าง นั่นทำให้ภาพชายท่าทีสุขุมในชุดเรียบหรูสีดำสนิทตรงหน้าเธอยิ่งดูน่าสนใจ แถมยังชวนให้เธออยากปอกเปลือกนอกแสนหรูหรานั่นออกดู ว่าชายคนนี้เป็นชนชั้นสูงจริงดั่งการแต่งกาย หรือมีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่
“...หยุด” เป็นอีกครั้งที่เธอได้ยินเสียงดุๆ นั่นออกคำสั่ง ต่างกันตรงที่ คราวนี้มันฟังดูแหบห้าว ก่อเกิดความรู้สึกคล้ายได้รับชัยชนะที่เธอไม่เข้าใจ เรียกรอยยิ้มฉ่ำเยิ้มให้ปรากฏบนริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋ม
อัยน์นาดื้อรั้นทำตามใจอยู่นาน ในที่สุดฝ่ามือแข็งแกร่งที่ดุนดันไหล่เธอก็ไล้เลื่อนลงประคองเอวคอดกิ่ว ยอมเปิดทางให้เธอปิดปากเขาถนัดถนี่ ก่อนรั้งเอวเธอเข้าแนบชิดแล้วบดริมฝีปากจูบตอบด้วยชั้นเชิงที่เปลี่ยนให้ ‘การปิดปาก’ จากเธอ กลายเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นในหมู่เด็กตัวเล็กๆ
หัวสมองที่เบลอมากอยู่แล้วขาวโพลนในนาทีนั้น รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ริมฝีปากนั้นถอดถอน
ความเสียดายบังเกิดขึ้นเฉียบพลัน มันขับให้เธอเผลอมองตามริมฝีปากคู่นั้นด้วยแววตาเว้าวอน จากนั้น มนตร์สะกดแปลกประหลาดก็ชักนำให้เธอเผลอลิ้มรสสัมผัสชวนเมามายนั้นอีกครา
คราวนี้เธอไม่ยอมให้เขาแยกจากไปง่ายๆ และดูเหมือนเขาจะเต็มใจพาเธอด่ำดิ่งลงในจูบรสเมรัยไปพร้อมๆ กัน
ในตอนที่ทุกอย่างพร่ามัวยิ่งกว่าความฝัน เหลือเพียงสัญชาตญาณขับเคลื่อน เจ้าของฝ่ามือแข็งแกร่งก็ผละจากริมฝีปาก ซุกไซ้สูดดมไปตามปรางแก้ม กราม และลำคอ...ไล่ลงมาจนถึงเนินอกที่ตอนนี้โดนเสื้อผ้าเปียกปอนรัดรึงเน้นส่วนสัดอวดความอวบอัดอย่างชำนิชำนาญ ก่อเกิดความร้อนที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะหลอมละลายจนต้องกอดเกาะเขาไว้ต่างหลักยึด
ความวาบหวามแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เธอไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้เพียงแค่แทบอยากโยนทุกเรื่องทิ้งไปให้หมด
อดีตที่ทนกดเก็บเจ็บปวดมานาน อนาคตที่เคยวาดภาพไว้ นาทีนี้ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป
เสื้อผ้าเปียกโชกคับแน่นไม่พอดีตัวที่ทั้งกดทั้งดันหน้าอกเธอจนแทบล้นทะลักไม่สำคัญ บิดาที่ไม่เคยเรียกเธอว่าลูกก็ไม่สำคัญ การพิสูจน์ตัวเอง การพิสูจน์และเสกสร้างศักดิ์ศรีให้มารดาที่ล่วงลับก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือเธอ คือเขา...ชายที่นัยน์ตาเธอพร่ามัวเกินกว่าจะเห็นหน้า และไม่แน่ใจว่าเคยรู้จักเขาหรือไม่...
ไม่!
จู่ๆ อีกเสียงในใจเธอก็กรีดร้องขึ้นมา ราวกับจะบอกว่าเรื่องที่คิดที่ทำอยู่เป็นสิ่งผิด
ความเย็นเยียบจนหนาวสั่นเริ่มเข้าขับไล่เพลิงอารมณ์ชวนปั่นป่วนในวินาทีนั้น
มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ชายตรงหน้าจับสองมือเธอไว้มั่น แล้วดันร่างเธอออกห่างจากเขา
ตอนนี้สติสัมปชัญญะอัยน์นาเริ่มกลับมาแล้ว นัยน์ตาเองก็เริ่มจะมองเห็นอะไรต่อมิอะไรชัดเจนขึ้น ชัดเจนพอให้เห็นว่าที่ปรากฏตรงหน้าเธอในยามนี้ คือชายรูปร่างสูง ท่าที่เข้มขรึมดูภูมิฐานดั่งราชา แววตาสีเทาคู่คมทั้งดูลึกลับและน่าเกรงขาม เส้นผมสีดำสนิทยาวราวกลางหลังที่น่าจะเคยรัดรวบไว้ต่ำๆ หลุดลุ่ยออกจากปม ดูยุ่งเหยิงเหมือนโดนใครสักคนหรืออาจจะหลายคนดึงทึ้ง
อัยน์นาแทบไม่กล้ามองร่องรอยแดงๆ ตามคอและแผงอกกว้างประดับกล้ามเนื้อกระซับได้รูปที่ดูเหมือนกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดซึ่งเคยปกปิดส่วนนั้นจะหลุดหายไปราวสองเม็ด แต่สุดท้าย ความข้องใจก็ส่งให้สายตาเธอเลื่อนลงสำรวจทุกสัดส่วนอย่างช่วยไม่ได้
สิ่งที่เห็นกับความทรงจำพร่ามัวประติดประต่อ ทำให้เธอไม่แน่ใจ ว่าเมื่อครู่ ตัวเองกับชายคนนี้ ทำอะไรไปสักกี่มากน้อย...
ความเงียบงันเข้าครอบคลุมอยู่นาน ในที่สุด คนเริ่มเรื่องก็กลั้นใจเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
“ฉัน...” เธอคิดว่าควรจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สับสนระคนอับอายจนพูดไม่ออก
“เป็นความผิดผมเอง ขออภัยที่เสียมารยาท” เขาแทรกขึ้น น้ำเสียงเฉียบขาด สีหน้าเครียดขึง กล้ามเนื้อแขนตึงจนเห็นเส้นเลือด ดูราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง...หรืออาจจะหลายอย่าง
นี่ถ้าอัยน์นาเลื่อนสายตาลงต่ำกว่านี้สักหน่อย...เธอคงได้เห็น ว่าตอนนี้ ชายตรงหน้ากำมือแน่นเหมือนพยายามสะกดอารมณ์
“ฉัน...เมื่อครู่...เราไม่ได้...”
“ไม่” เขาตอบสั้นๆ แล้วขยับเข้าหา
อัยน์นาถอยหนีปฏิกิริยานั้นโดยอัตโนมัติ
แต่เพราะฤทธิ์ยา ร่างนุ่มๆ ที่เปียกปอนจึงเสียหลักล้มลงในอ้อมกอดเขา
เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงช่วยจัดแต่งเสื้อผ้าให้อย่างสุภาพและระมัดระวัง จากนั้นก็ช่วยประคองร่างเธอขึ้นจากสระ
ไม่ทันที่ทั้งคู่จะก้าวพ้นขอบอิฐสีขาว สองในสามของหญิงสาวที่อัยน์นาไม่อยากให้เห็นเธอในสภาพนี้ที่สุดก็เดินผ่านพุ่มไม้มาเห็นภาพนี้เข้าพอดี
แม้ชื่อเสียงอัยน์นาจะได้รับการปกป้อง แต่ดูเหมือนชื่อเสียงของท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านหญิงแอนนาเบลจะยิ่งตกต่ำอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้คืนนั้นจะไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้เพิ่มเติมนอกจากเจ้าบ้านอย่างเจ้ากรมการคลังกับสาวใช้อีกสองราย แต่หลังจากตอนนั้น ดูเหมือนพวกทหารในเหตุการณ์และคนรับใช้ที่เจ้ากรมการคลังส่งมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ท่านเจ้ากรมการเมือง จะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าต่อให้ครอบครัวกับคนใกล้ชิดฟัง แล้วคนเหล่านั้นก็เอาไปเล่าลือต่อพลางใส่สีตีไข่จนเกิดเนื้อเรื่องบทใหม่แทรกเสริมในนิทานเพลงเรื่องเก่า บทเดียวกับที่เหล่าผู้สืบเชื้อสายแกรนเทรนท์โดนเจ้าบ้านคนปัจจุบันเรียกตัวมานั่งฟังอยู่ในขณะนี้หนนี้อัยน์นาไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในเรื่องเล่าเท่าไหร่นัก เพราะมีเรื่องอื่นรบกวนจิตใจ ทั้งยังเคยได้ยินหญิงรับใช้ในคฤหาสน์ซุบซิบนินทากันมามากแล้วรายละเอียดเรื่องราวก็เหมือนเคย คือเรื่องที่กวีเปรียบเปรยเธอกับสิ่งบริสุทธิ์สวยงามทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ ในขณะที่ยกบทบาทร้ายกาจน่ารังเกียจให้ ท่านผู้หญิงเธลม่า แกรนเทรนท์ และพี่สาวต่างมารดาทั้งสอง จะพิเศษอยู่หน่อยก็ตรงที่หนนี
“ไซรัส...!” ท่านหญิงพริสซิลล่ารีบปิดปากแอนนาเบลก่อนที่น้องสาวจะโวยวายอะไรออกมามากกว่านี้ถึงจะยืนอยู่ห่างกันพอสมควร แต่ตอนนั้น อัยน์นาก็พออ่านปากออก ว่าแอนนาเบลโดนพี่สาวสั่งให้ ‘หุบปาก’...ดูท่าชายคนนี้จะไม่ใช่คนที่พริสซิลล่าคาดหวังให้อยู่กับน้องสาวต่างมารดาอย่างเธอ...“เกิดอะไรขึ้นคะ” ทายาทแกรนเทรนท์คนโตรีบจูงมือน้องสาวตรงมาหาเธอกับไซรัสไม่ทันที่อัยน์นาจะได้อ้าปากตอบอะไร ไซรัสก็เป็นฝ่ายชิงตอบให้เสียก่อน“เธอหมดสติแล้วพลัดตกน้ำครับ ผมผ่านมาเห็นเข้า ก็เลยรีบช่วยเธอขึ้นจากสระ”“แต่เสื้อผ้า...” แอนนาเบลโดนพริสซิลล่าถลึงตาใส่เพราะประโยคนั้น“เสื้อผ้าคงโดนอะไรสักอย่างเกี่ยวตอนฉุกละหุกใช่ไหมคะ” พริสซิลล่าหันมาฉีกยิ้มให้เธอ “ดีจังเลยนะจ๊ะ อัยน์นา ที่มีคนมาช่วยไว้ทัน”“ค่ะ” อัยน์นาสะกดกลั้นความไม่พอใจที่โดนวางยาเอาไว้ พยายามจะไม่พูด
อัยน์นาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้เพียงตอนนี้ร่างกายเธอร้อนวูบไปทั่วจนครั่นเนื้อครั่นตัว แถมยังรู้สึกอึดอัดปนวาบหวามจนแทบทนไม่ไหวตอนนี้นัยน์ตาเธอพร่ามัว ร่างกายไม่ถึงกับไร้เรี่ยวแรง แต่ดูคล้ายมันจะตอบสนองต่อกล้ามเนื้อแข็งแกร่งกับกลิ่นอายราตรีดิบเถื่อนและโซ่ตรวนแสนอันตรายจากร่างกายคนตรงหน้าจนไม่อาจควบคุม ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา เรื่องการควบคุมตัวเอง เป็นเรื่องที่เธอแน่ใจว่าทำได้ดีที่สุดเธอไม่โทษยานั่น ความจริงเธอเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอขัดใจคือแรงดึงดูดจากชายตรงหน้า ขัดใจจนอยากจิกเล็บให้เขาเจ็บกว่านี้ แต่ตอนนี้ ส่วนลึกในใจเธอกลับอยากหยุดคิดทุกเรื่อง แล้วสูดซับกลิ่นอายแปลกประหลาดชวนหลงใหลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้“คุณหนู” เจ้าของกลิ่นอายแสนยวนเย้าเรียกด้วยน้ำเสียงดุเข้มอัยน์นารำคาญเสียงห้ามปรามนั้นนัก จึงเลื่อนส่วนเดียวที่ว่างอยู่ขึ้นปิดริมฝีปากหยักสวยทรงเสน่ห์นั่น แล้วทำตามเสียงสั่งลึกลับที่คอยกระซิบกระซาบอยู่ในใจเธอได้ยินเขาสบถบ่นไม่เป็นภาษาด้วยสำนวนสำเนียงคล้ายชนชั้นล่าง นั่นทำให้ภาพชายท่าทีสุขุมในชุดเร
ไซรัสอุ้มร่างอ้อนแอ้นเดินลงสระน้ำด้วยความร้อนใจ ภายในหัวไม่เหลือความคิดอื่นใด นอกจากการช่วยให้คนในอ้อมแขนพ้นจากความทรมาน“ร้อน...” เธอบ่นร้อน ทั้งๆ ที่น้ำในสระเย็นจัดจนขึ้นไอ สองมือเกาะเกี่ยวเขาไว้แน่น “...ช่วยที...” เธอพึมพำ น้ำเสียงเว้าวอนเขาไม่รู้ว่าเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์นางนี้จะรู้ความหมายของสิ่งที่พูดออกมาหรือเปล่า รู้เพียงแต่ต้องพยายามประคองให้เธออยู่นิ่งๆแต่ดูเหมือนเจ้าของผิวนวลนิ่มจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่...พ่อค้าอัญมณีจึงต้องพาร่างในอ้อมแขนลงนั่ง แล้วกอดรั้งร่างเธอไว้ เพื่อไม่ให้ร่างที่ดูอ่อนยวบไปหมดร่างนี้พลาดจมน้ำซึ่งลึกเพียงระดับต้นขา หรือพลาดเดินไปหาใจกลางสระที่น่าจะลึกกว่าบริเวณนี้ไซรัสได้ยินเธอพึมพำอะไรหลายอย่าง แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับฟังไม่ได้ศัพท์ จับใจความไม่ได้ บอกให้รู้ว่าเจ้าของดวงตาสีนิลกำลังไร้สติเพราะยาเห็นแบบนี้แล้ว พ่อค้านักแสวงโชคก็อดคิดไม่ได้ ว่าถ้าคนที่เธอเดินมาเจอไม่ใช่เขาแต่เป็นทหารยาม หรือผู้ชายเลวๆ สักคน มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่เขากำลังคิดอะไรๆ อยู่นั้น นิ้วมือร้อนๆ ก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อเขาแล้วลูบไล้ไปทั่ว จุดไฟปรารถนาแปลกประหลาด เผาผลา
หลังหว่านเมล็ดพันธุ์เส้นสายไปทั่วงานเลี้ยง ไซรัสก็ปลีกตัวออกมาหลบมุมสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียงเล็กๆ ข้างประตูทางออกฝั่งสวนหย่อมรกครึ้มทีแรก เขาไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมก่อนหน้านี้ลูคัสที่ดูจะคุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในกลุ่มพี่ๆ น้องๆ ต่างสายเลือด ถึงได้พยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาเต้นรำอย่างถูกวิธีทั้งๆ ที่เขาก็ยืนยันว่าไม่ต้องการเต้นรำกับใคร แต่หลังจากโดนเจ้ากรมการคลังหิ้วไปนั่นมานี่ จนโดนขุนนางและพ่อค้าใหญ่หลายรายยัดเยียดลูกหรือหลานสาวให้เขาเชิญไปเต้นรำ ผู้มั่งคั่งหน้าใหม่ของอาณาจักรก็เข้าใจทันทีน่ารำคาญนัก ไซรัสเอนหลังพิงผนัง แหงนหน้ามองพระจันทร์ อดคิดไม่ได้ว่าต้องใช้เวลาอยู่ในอาจักรนี้อีกนานแค่ไหน ภารกิจแสนสำคัญจึงจะลุล่วงเสียทีท่ามกลางความเงียบงัน สตรีชุดขาวผ่องเดินผ่านประตูระเบียงออกมาอย่างเชื่องช้า คล้ายพยายามกลั้นความเจ็บปวดบางอย่างทันทีที่ก้าวขาพ้นกรอบประตู หญิงสาวอ่อนเยาว์รายนั้นก็รีบประคองร่างเข้าหาสวนกว้าง ดูราวกับสัตว์ป่าหาที่หลบภัยยามเจ็บไข้ลูกสาวนอกสมรสเจ้ากรมการเมือง...อัยน์นา...?เขาบอกตัวเองว่าไม่ควรใส่ใจ แต่ท่าทีซวนเซ และเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าขาวนวล กลับทำให
“ที่คุณพูดมาไม่ผิดเลย ” ไซรัสคลี่ยิ้มกว้างขึ้น เขาแสร้งกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนเอ่ย “ว่าแต่คุณเถอะ ดูเหมือนท่านหญิงหลายคนจะอยากให้คุณชวนเต้นรำ”“ผมเห็นพวกเธอบางคนเหลียวมองคุณกับญาติผู้พี่ของผมด้วยเหมือนกัน” คาร์ลหยิบเครื่องดื่มจากถาดที่คนรับใช้ชายถือผ่านมาให้ท่านเจ้ากรมการคลัง ไซรัส และตนเอง “งานสังคมก็เป็นเช่นนี้ล่ะ มันเป็นสถานทีที่สตรีชั้นสูงจะได้ออกมาอวดโฉมเพื่อหว่านเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหล ถัดจากงานนี้ก็คงมีคุณหนูกับคุณชายจากตระกูลไหนสักตระกูลประกาศการหมั้นหมาย”“แต่เห็นจะไม่ใช่ตระกูลแกรนเทรนท์” จู่ๆ ภรรยาเจ้ากรมการคลัง ก็ก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนา ตอนนี้ร่างกายเธอกรุ่นกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ บอกให้รู้ได้โดยไม่ต้องเดา ว่าแก้วเหล้าหมักผลไม้ในมือเธอ คงไม่ใช่เหล้าแก้วแรกที่ดื่มกินยังดีที่เจ้าหล่อนมีสติพอจะยกพัดป้องปาก ก่อนออกความเห็นต่อไป“ฉันเห็นคุณหนูแกรนเทรนท์คนโตกับคนรองมองมาทางพวกคุณบ่อยๆ พวกคุณเพิ่งมาจากต่างถิ่น อย่าหลงกลเชียวนะคะ เห็นงามๆ อย่างนั้นน่ะ ไม่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่คนไหนในอาณาจักรนี้อยากเฉียดใกล้หรอกค่ะ” นางบอกคาร์ลและไซรัสอย่างไม่สงวนถ้อยคำ ไม่สนใจสายตาห้ามปรามจากสามีแม้แต่น้อยแล้วค