LOGINหลังหว่านเมล็ดพันธุ์เส้นสายไปทั่วงานเลี้ยง ไซรัสก็ปลีกตัวออกมาหลบมุมสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียงเล็กๆ ข้างประตูทางออกฝั่งสวนหย่อมรกครึ้ม
ทีแรก เขาไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมก่อนหน้านี้ลูคัสที่ดูจะคุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในกลุ่มพี่ๆ น้องๆ ต่างสายเลือด ถึงได้พยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาเต้นรำอย่างถูกวิธีทั้งๆ ที่เขาก็ยืนยันว่าไม่ต้องการเต้นรำกับใคร แต่หลังจากโดนเจ้ากรมการคลังหิ้วไปนั่นมานี่ จนโดนขุนนางและพ่อค้าใหญ่หลายรายยัดเยียดลูกหรือหลานสาวให้เขาเชิญไปเต้นรำ ผู้มั่งคั่งหน้าใหม่ของอาณาจักรก็เข้าใจทันที
น่ารำคาญนัก ไซรัสเอนหลังพิงผนัง แหงนหน้ามองพระจันทร์ อดคิดไม่ได้ว่าต้องใช้เวลาอยู่ในอาจักรนี้อีกนานแค่ไหน ภารกิจแสนสำคัญจึงจะลุล่วงเสียที
ท่ามกลางความเงียบงัน สตรีชุดขาวผ่องเดินผ่านประตูระเบียงออกมาอย่างเชื่องช้า คล้ายพยายามกลั้นความเจ็บปวดบางอย่าง
ทันทีที่ก้าวขาพ้นกรอบประตู หญิงสาวอ่อนเยาว์รายนั้นก็รีบประคองร่างเข้าหาสวนกว้าง ดูราวกับสัตว์ป่าหาที่หลบภัยยามเจ็บไข้
ลูกสาวนอกสมรสเจ้ากรมการเมือง...อัยน์นา...?
เขาบอกตัวเองว่าไม่ควรใส่ใจ แต่ท่าทีซวนเซ และเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าขาวนวล กลับทำให้เขากังวลจนทนนิ่งเฉยไม่ไหว
“คุณผู้หญิง” เขาเรียก แต่เธอทำเหมือนไม่ได้ยิน
ร่างอ้อนแอ้นในชุดราตรีกรุยกรายตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่คล้ายต้องการเรียกสติ จากนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวาเหมือนต้องการจะแน่ใจว่าไม่มีใครพบเห็น ก่อนจะเคลื่อนที่ต่อไป ทำราวกับกลัวว่าถ้าหยุดเดินเมื่อไหร่ โลกทั้งใบจะล่มสลายลงเมื่อนั้น
ในชั่วเสี้ยววินาทีที่พ่อค้าหนุ่มคิดจะเบือนหน้าหนี นัยน์ตาสีเทาก็สังเกตเห็นหยดน้ำสีใสไหลลงอาบแก้มเธออย่างน่าตกใจ รบกวนความรู้สึกให้เขาไม่อาจแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“...บ้าจริง” ไซรัสปราดเข้าคว้าตัวเธอไว้
ไม่นึกว่าเพียงเท่านั้น ร่างเล็กๆ นั่น จะอ่อนยวบเข้าหาอ้อมกอดเขาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
“คุณ...ไปซะ” เธอบอกน้ำเสียงขาดห้วง นอกจากรอยฝ่ามือแดงๆ บนหน้าแล้ว พวงแก้มสองข้างยังขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนคนมีไข้
“ตัวร้อน” พ่อค้าหนุ่มพึมพำ
เขาไม่คิดว่าเธอเจ็บป่วย เพราะจากที่เห็น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเฉียบพลันเกินไป
ดูจากอาการแล้ว ไซรัสคิดว่าเธออาจโดนวางยาแปลกๆ บางอย่าง อย่าง ‘ยาปลุกกำหนัด’ ที่อารีเคยพูดถึง
จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยเห็นใครโดนยาชนิดนี้ และยิ่งไม่เคยเรียนรู้มาก่อนว่าคนโดนวางยาชนิดที่ว่าจะมีอาการอย่างไร แต่เขาเชื่อ ว่ายาชนิดนั้นคงออกฤทธิ์คล้ายสุราบางชนิดของเผ่าพันธุ์โบราณในดินแดนเร้นลับ...สุราที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์คล้ายๆ กัน
“ผมจะพาคุณไปพบหมอ”
“ไม่” เธอปฏิเสธทันควัน “อย่า...อย่าให้ใครรู้”
คิ้วคมเข้มบนใบหน้านิ่งเฉยดั่งรูปสลักขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยิน
“ห่วงชื่อเสียงรึ แทนที่จะห่วงเรื่องภาพลักษณ์ ห่วงสุขภาพความปลอดภัยไม่ดีกว่ารึ อาการอย่างนี้ เห็นทีจะโดนวางยา ยานั่นจะมีผลข้างเคียงแบบไหนบ้างก็ไม่รู้”
“น้ำ...” เสียงเบาหวิวที่หลุดลอดจากริมฝีปากรูปกระจับฟังดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด “ฉันรู้...พาฉันไป” ฝ่ามือนุ่มนิ่มบีบแขนเขาไว้แน่น เหมือนกลัวว่าถ้าไม่ทำแบบนั้น ร่างทั้งร่างจะทรุดลงไปกองบนพื้นหญ้า “กลางสวนมีสระ...ฉันเห็น...” เธอบอกเสียงหอบ นิ้วเรียวงามเริ่มจิกเล็บลงบนต้นแขนแข็งแกร่ง เหมือนไม่พอใจที่เขามัวชักช้า
เคราะห์ดีที่วันนี้เสื้อคลุมแขนยาวที่ไซรัสสวมเนื้อผ้าหนาพอ ไม่อย่างนั้น ตอนนี้ ‘ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย’ คงฝากรอยอารมณ์ให้เขาเก็บไว้ดูต่างหน้าได้มากกว่าสิบแผล
“เร็วหน่อย” เธอเร่งเร้า น้ำเสียงแหบพร่า สองมือเริ่มเลื่อนไล้ไล่จิกแขนจิกคอเขาแน่นขึ้นเหมือนจงใจระบายความอัดอั้น
น่าหงุดหงิดนัก น่าหงุดหงิดที่ผู้หญิงในอ้อมแขนเขาดูจะห่วงเรื่องเกียรติยศและภาพพจน์มากกว่าชีวิต
และน่าหงุดหงิด ที่ทั้งๆ ที่ปลายนิ้วเล็กๆ นั่นทำให้เขาเจ็บแสบอย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำ มันกลับทำให้บริเวณที่ต้องสัมผัสเกิดอาการร้อนวูบวาบอย่างน่าพิศวง
“อยู่นิ่งๆ” เขาดุพลางช้อนอุ้มร่างเธอขึ้นแนบอก แล้วพาร่างอ้อนแอ้นในอ้อมแขนเดินผ่านกลุ่มไม้พุ่มเตี้ย มุ่งหน้าเข้าหาสวนวงกตแสนลึกลับ ภายในใจได้แต่หวัง ว่าสวนวงกตตรงหน้า จะไม่สลับซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะหาสระน้ำอะไรนั่นเจอ “ทางไหน” คนไม่รู้ทางรีบถาม แต่ดูเหมือนตอนนี้ สติเธอจะลางเลือนเกินกว่าจะตอบไหว
“อึดอัด...” เธอพึมพำ สองมือเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชมากขึ้น
วูบหนึ่ง ไซรัสคิดว่าเขาควรขัดใจเจ้าของร่างบอบบางในอ้อมแขนด้วยการอุ้มเธอไปพบหมอ แต่พอเห็นเธอกระชากผ้าคลุมไหล่ทิ้งเผยให้เห็นเนินอกอิ่มแถมยังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและอารมณ์เท่านั้น คนที่แน่ใจว่าหมอรักษาโรคน่าจะเป็นชายก็สลัดความคิดนั้นออกจากหัวทันที
เสี่ยงเกินไป...
ไม่ใช่แค่เสี่ยง บางทีคนโดนวางยาอาจจะรู้ ว่าถึงรีบไปหาตอนนี้ หมอก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากพบหมอ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม สุดท้าย ‘ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย’ ก็จะถูกทิ้งให้ทนทุกข์อยู่กับความอับอายตลอดกาล
“อดทนไว้” คนหน้าใหม่ของอาณาจักรบอกทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเจ้าของลมหายใจร้อนๆ ที่ต้นคอจะรับรู้
เขาพยายามสงบจิตสงบใจรวบรวมสมาธิแล้วเงี่ยหูฟังเสียงธรรมชาติ ไม่นานนักเจ้าของร่างสมส่วนในชุดสีดำสนิทก็ได้ยินเสียงบางอย่างร่วงลงน้ำ บอกให้รู้ว่าของที่มองหาอยู่ทางทิศไหน
“ขอให้ได้ผลทีเถอะ” พ่อค้าหนุ่มบ่นพึมพำ จากนั้นก็รีบอุ้มหญิงสาวอ่อนเยาว์สาวเท้าเดินไปตามสัญชาตญาณทันที
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”






