Share

บทที่ 2

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-08-15 15:28:36

“จับมัน! เสียงเข้มขึงขังจากตรอกฝั่งซ้ายมือ ดึงให้ไซรัสละความสนใจจากนกส่งสาร

เขารีบหลบเข้าซอกอาคารโดยสัญชาตญาณ ไม่นึกว่าหลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มตัวโย่ง ประเมินแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 13 ก็วิ่งมาสะดุดล้มหน้าซอกหลืบนั้น สีหน้าเหยเก

ทันทีที่เห็นหน้าเขา เด็กหนุ่มที่รู้ตัวว่าคงวิ่งต่อไปไม่ไหวรีบขยับเข้าซุกด้านหลังไซรัส แล้วร้องบอกละล่ำละลัก “นะ นายท่าน! ช่วยข้าด้วย ถ้าท่านยอมช่วยข้า ต่อจากนี้ ข้าจะติดตามท่านชั่วชีวิต!”

ไซรัสเหลียวมองเด็กหนุ่มผมทองตัดสั้นเนื้อตัวมอมแมมเล็กน้อย แค่เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หลากชาติพันธุ์ที่วิ่งตามมาราวสี่ห้าคนก็รู้แล้ว ว่าเจ้าเด็กนี่กำลังจะนำปัญหามาให้เขา แต่คนอย่างเขารังเกียจการแก้ไขปัญหาเสียเมื่อไหร่...

 “เจ้าทำความผิดอะไรมา” เขาถามเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงสุขุม ทั้งๆ ที่กลุ่มคนซึ่งใกล้จะวิ่งมาถึงต่างเงื้อง้าปังตอ ท่อนไม้ และก้อนอิฐ เหมือนตั้งท่าจะเอาเรื่องเด็กคนนี้รวมถึงคนที่คิดจะขัดขวางให้ถึงตาย

“ขโมยของ” เด็กหนุ่มตอบตรงไปตรงมาผิดคาด

“ขโมยของแล้วหวังให้ข้าช่วยงั้นรึ?”

“ข้าไม่ผิด!” เด็กหนุ่มชี้แจง สองมือเขากุมข้อเท้าช้ำเลือดช้ำหนองที่ไม่น่าจะบาดเจ็บเพราะสะดุดล้มเมื่อครู่เอาไว้แน่น “พวกมันสั่งให้ข้าขโมยหีบเงินจากคนแก่คนนึง ข้าก็ขโมยมาให้ แต่มารู้ทีหลัง ว่าถ้าไม่มีเงินนั่นหมอจะไม่ยอมรักษาโรคให้ลูกสาวเขา ข้าเลยขโมยหีบนั่นกลับไปคืน ของนั่นไม่ใช่ของของพวกเขาสักหน่อย! ”

“เจ้าโง่ ของที่อยู่ในมือเราก็เป็นของเรา! ” ชายที่ร่างใหญ่ที่สุดในกลุ่มคนซึ่งวิ่งตามมาตวาดสวน ทุกครั้งที่ชายคนนี้ออกท่าออกทาง มัดกล้ามเนื้อห่อหุ้มผิวหนังสีเข้มดูดุดันจะเคลื่อนไหวคล้ายต้องการช่วยเจ้าของร่างข่มขู่ทุกคนที่กล้าหือ

“คิดว่าพวกข้าอยากทำนักรึ ไอ้เด็กเนรคุณ!” ชายอีกคนตวาดเสริม “ทุเรศที่สุด! เรากำพร้าเหมือนๆ กัน ช่วยเหลือกันมาเหมือนพี่น้อง พี่ข้าเลี้ยงเจ้ามาอย่างดี เรากำลังจะสบาย แต่เจ้าก็ดันมาขโมยเงินนั่นไป! ตอนนี้เงินนั่นก็อยู่ในมือหมอที่เป็นขุนนางใหญ่หมดแล้ว เอากลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว! ”

คำพูดคำจาที่ชวนให้รู้สึกว่าใจจริงแล้วคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้อยากลักขโมย กับคำว่า ‘กำพร้า’ และ ‘เรากำลังจะสบาย’ ตลอดจนสายตาเจ็บปวดผิดหวังมากกว่าชิงชังอาฆาตที่ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ใช้มองเด็กหนุ่ม ทำให้ไซรัสสะดุดใจขึ้นมา

เขาไล่สายตาประเมินลักษณะนิสัยและขีดจำกัดทางร่างกายของชายเหล่านี้ทีละคน ก่อนถาม

“พวกเจ้ารู้จักเด็กนี่มานาน รู้ใช่ไหม ว่าเขาไม่ได้อยากทรยศพวกเจ้า เขาแค่พยายามช่วยชีวิตเด็กอีกคนเท่านั้น” คนเหล่านั้นแววตาสลดลงเล็กน้อย แต่ไม่มีใครตอบอะไร เขาจึงเอ่ยปากถามอีกข้อ “หีบนั่นมีเงินเท่าไหร่”

                “ทำไมวะ จะจ่ายเงินชดเชยที่ไอ้เด็กนี่ขโมยไปหรือไง” ใครคนหนึ่งถามขึ้นอย่างหัวเสีย

แต่ไซรัสยังคงพูดคุยด้วยท่าทีสงบยิ่ง

“ถ้าตกลงกันได้ ข้าอาจจ่ายมากกว่านั้น”

ประโยคนั้นทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์กวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ผมดำเหมือนพวกทาสซาเมียร์ ไว้ผมยาวแถมยังหน้าตาผิวพรรณดีเหมือนกวีราชสำนัก แต่สำนวนการพูดการจาดันเหมือนชนชั้นล่างอย่างพวกข้ามากกว่าพวกชนชั้นมีอันจะกิน แถมรูปร่างยังสูง ดูแข็งแรง แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนพวกนักแสวงโชค” ใครอีกคนในคนกลุ่มนั้นออกปากวิจารณ์ซึ่งๆ หน้า “เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่วะ? มีเงินถุงเงินถังนักรึไง? ”

เขาไม่ตอบ หากแต่กวาดสายตามองชายเหล่านั้นเรียงตัวอีกหน คราวนี้เขาทำอย่างเชื่องช้า จงใจให้อีกฝ่ายรู้ตัว ก่อเกิดคลื่นความตึงเครียดบางอย่าง กดดันให้อีกฝ่ายต้องลดมือลงโดยอัตโนมัติ

ไซรัสรู้จักมนุษย์จำพวกนี้ดี พวกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเผชิญโลกมามากย่อมรู้จักประเมินว่าควรหรือไม่ควรทำอะไรโดยสัญชาตญาณ...ปราชญ์บางกลุ่มเรียกสิ่งนี้ว่า ‘สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด’ ที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

“เป็นอันว่าเราจะเจรจากันก่อน” เขาสรุปจากรูปการณ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปปั้น “ฟังข้อเสนอข้าให้ดี บางทีนี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า”

ชายเหล่านั้นมองมาที่เขาเหมือนอยากถาม แต่ไม่มีใครขยับริมฝีปากพูดอะไรออกมาเลยสักคำ

“ข้ากำลังจะเริ่มธุรกิจ เป็นธุรกิจที่ยังขาดคนกล้าที่แข็งแรงพอ” เขาเลือกละคำว่า ‘และยังพอจะรู้จักเชื่อฟังคำสั่ง’ เอาไว้ แล้วหยุดสายตาลงที่ชายผิวดำร่างสูงใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม “พวกเจ้าคงไม่ชอบชีวิตตอนนี้นักใช่ไหม”

“ธุรกิจรึ?” ใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นขยับริมฝีปากถาม น้ำเสียงงุนงง

แต่ชายหัวหน้ากลุ่มกลับเอ่ยแทรกเสียงขรึม

“เราจะได้อะไรตอบแทน” ดูเหมือนชายผิวสีจะไม่สนใจรายละเอียดธุรกิจเลยด้วยซ้ำ  

“เงินทอง และเส้นสาย” ไซรัสบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าได้รับโอกาส พวกเจ้าจะเป็นได้มากกว่าอัธพาลหรือหัวขโมย”

ประโยคหลังจากริมฝีปากคนอยากเริ่มธุรกิจ ทำเอาหัวหน้ากลุ่มร่างใหญ่นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ

“ล้อเล่นรึ? พวกชนชั้นสูงในเมืองนี้เห็นพวกกำพร้าอย่างพวกข้าเป็นขยะ พวกพ่อค้า พวกชนชั้นกลาง เรียกพวกข้าว่าหัวขโมยตั้งแต่เริ่มจำความได้ แต่เจ้าดันบอกว่าพวกข้าจะเป็นอย่างอื่นได้” ชายร่างใหญ่พยายามแค่นหัวเราะตอนเอ่ยเหมือนจงใจเย้ยหยัน แต่การกระทำนั้นกลับยิ่งเผยให้เห็นความคับข้องใจในชะตาชีวิต “ถ้าจะพูดเพื่อช่วยไอ้เด็กนั่นก็หยุดซะ แค่ชดใช้ห้าพันเหรียญนั่นมา แล้วชีวิตมันจะเป็นของเจ้า”

ไซรัสหลับตาลงเมื่อรู้ความประสงค์อีกฝ่าย

“นั่นรึ สิ่งที่พวกเจ้าต้องการ” เขาถามให้คิดมากกว่าจะต้องการคำตอบ “เงินห้าพันเหรียญนั่นอาจช่วยให้พวกเจ้ามีบางสิ่งสมปรารถนา แต่มันจะคงอยู่นานสักเท่าไหร่” นักเจรจาลืมตาขึ้น จ้องลึกลงในตาคู่สนทนา “เงินตราอาจช่วยให้พวกเจ้าซื้อหาบางสิ่ง แต่เงินตราเพียงเท่านั้น ไม่อาจเปลี่ยนสายตาที่คนอื่นมองพวกเจ้า”

“อยากจะพูดอะไร” แม้น้ำเสียงที่ชายหัวหน้ากลุ่มใช้ถามยังคงฟังดูแข็งกระด้าง แต่มันก็เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรที่สุด เท่าที่เคยหลุดออกมาจากปากชายคนนี้

คราวนี้ ไซรัสตอบคำถามนั้นเพียงสั้นๆ

“ทุกคนเป็นทุกอย่างที่เขาอยากเป็นได้เสมอ”

บังเกิดความเงียบอีกชั่วอึดใจ ก่อนจะเกิดเสียงหัวเราะขมขื่นคล้ายคนสมเพชชีวิตตัวเองมากกว่าสุขสันต์จากชายผิวสี

“พวกข้าไม่เคยร่ำเรียน เข้าใจคำพูดอย่างพวกนักปรัชญาได้ไม่ดีนักหรอก แต่ก็พอเข้าใจ ว่าเจ้าอยากจะบอกอะไร” หัวหน้ากลุ่มร่างใหญ่เหลียวสบตาคนในกลุ่มด้วยแววตาคล้ายมีประกายแสงไฟบางอย่าง

บางทีนั่นอาจเป็นแสงไฟแห่งความหวัง หรือไม่ก็ความเชื่อมั่น ที่ไม่เคยมีใครมอบให้พวกเขามาก่อน

“ข้าสนใจแค่ผลลัพธ์เท่านั้น เจ้าให้พวกข้าได้จริงรึ เงินทอง เส้นสาย”

“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องพิสูจน์” นักเจรจาตอบง่ายๆ “ถึงพวกเจ้าจะซ้อมเด็กนี่ให้ตาย หรือต่อสู้ทำร้ายเรียกร้องอะไรจากข้าตอนนี้ ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี”

“งั้นรึ...” กลุ่มชายฉกรรจ์สบตากันและกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุด คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็หันกลับมาบอกเขาด้วยท่าทีของอันธพาลที่ยังไม่สิ้นพยศเสียทีเดียว “เด็กนั่นชื่อโทมัส ขามันไม่หักหรอก ดามไม้สักพักก็หายดี” ชายคนเดิมระบายลมหายใจอย่างยากลำบากก่อนเอ่ยต่อไป บางทีสิ่งที่ขับไล่ออกจากร่างอาจมีกลุ่มก้อนความอวดดื้อถือดีปะปนอยู่ในนั้น “ส่วนไอ้อ้วนที่ยืนอยู่ตรงนี้ชื่อจอห์น” เขาใช้สายตาชี้ไปยังชายผมน้ำตาลอ่อนรูปร่างท้วมใหญ่ที่สุดในกลุ่มเมื่อเอ่ยประโยคเหล่านั้น “ส่วนนี่ ลูคัส” คราวนี้เขาใช้สายตาชี้ไปยังชายผมน้ำตาลตัดสั้น รูปร่างสูงโปร่งที่สุดในกลุ่ม แล้วชายคนนั้นก็ค้อมหัวให้ไซรัสเล็กน้อย เหมือนตั้งใจจะทักทาย “ด้านซ้ายข้าชื่อทอม คนข้างขวานี่ชื่อราจีฟ” เขาหมายถึงชายหน้าหวานผมสีน้ำตาลเข้มหยิกติดหนังหัวประเมินแล้วน่าจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่มคนทั้งห้า กับชายผิวคล้ำแดดหัวโล้นเลี่ยน ที่รูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับตัวคนแนะนำ ทอมกับราจีฟเองก็ค้อมหัวให้ไซรัสเช่นกัน แม้จะยังดูเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง แต่ก็พอมองเห็นสัดส่วนของความตั้งอกตั้งใจและความจริงใจผสมอยู่อย่างละครึ่ง “ส่วนข้า” หัวหน้ากลุ่มค้อมหัวให้ไซรัสก่อนจะเอ่ยต่อไป “ข้าชื่ออารี ข้ากับพี่น้องไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว พวกข้าจะลองเชื่อและติดตามท่านดู”

ไซรัสมองตาคนทั้งห้าอย่างอ่านใจ ครู่หนึ่ง คนเพิ่งได้ผู้ติดตามก็ดึงให้โทมัสลุกขึ้นยืน แล้วพาเด็กหนุ่มเดินตรงไปรวมกลุ่มกับคนทั้งห้า

แม้จะมีท่าทีหวาดๆ อยู่บ้าง แต่โทมัสก็ยอมก้าวขาเดินตามแต่โดยดี

“พร้อมเริ่มงานทันทีใช่ไหม?” เขาถาม

และอีกฝ่ายก็พยักหน้าแทนการตอบ

“เราจะเริ่มงานกันพรุ่งนี้” ไซรัสประกาศกร้าว “ภายในเวลาสามเดือนเราจะมีทั้งเงินและเส้นสาย จนถึงตอนนั้น ถ้าพวกเจ้าคนไหนอยากแยกตัวไปค้าขายอะไร ข้าก็จะสนับสนุนพวกเจ้าอย่างเต็มที่”

“แค่สามเดือนเท่านั้นรึ?” จารีฟถามเสี่ยงขุ่นสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่คนกำลังจะเริ่มธุรกิจก็กล้ายืนยัน

“ใช่ อีกแค่สามเดือนเท่านั้น...” เขาเว้นวรรคนิดหน่อยก่อนเอ่ยประโยคถัดไป “อีกแค่สามเดือน อาณาจักรนี้จะรู้จักพ่อค้านักแสวงโชคที่ชื่อไซรัสและคนของเขา จะไม่มีการหันหลังกลับเด็ดขาด”

เขาจะทำสำเร็จ...ไซรัสแน่ใจว่าอย่างนั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 61

    “ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 60

    “ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 59

    “คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 58

    คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 57

    นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 56

    กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status