Share

บทที่ 2

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-08-15 15:28:36

“จับมัน! เสียงเข้มขึงขังจากตรอกฝั่งซ้ายมือ ดึงให้ไซรัสละความสนใจจากนกส่งสาร

เขารีบหลบเข้าซอกอาคารโดยสัญชาตญาณ ไม่นึกว่าหลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มตัวโย่ง ประเมินแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 13 ก็วิ่งมาสะดุดล้มหน้าซอกหลืบนั้น สีหน้าเหยเก

ทันทีที่เห็นหน้าเขา เด็กหนุ่มที่รู้ตัวว่าคงวิ่งต่อไปไม่ไหวรีบขยับเข้าซุกด้านหลังไซรัส แล้วร้องบอกละล่ำละลัก “นะ นายท่าน! ช่วยข้าด้วย ถ้าท่านยอมช่วยข้า ต่อจากนี้ ข้าจะติดตามท่านชั่วชีวิต!”

ไซรัสเหลียวมองเด็กหนุ่มผมทองตัดสั้นเนื้อตัวมอมแมมเล็กน้อย แค่เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หลากชาติพันธุ์ที่วิ่งตามมาราวสี่ห้าคนก็รู้แล้ว ว่าเจ้าเด็กนี่กำลังจะนำปัญหามาให้เขา แต่คนอย่างเขารังเกียจการแก้ไขปัญหาเสียเมื่อไหร่...

 “เจ้าทำความผิดอะไรมา” เขาถามเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงสุขุม ทั้งๆ ที่กลุ่มคนซึ่งใกล้จะวิ่งมาถึงต่างเงื้อง้าปังตอ ท่อนไม้ และก้อนอิฐ เหมือนตั้งท่าจะเอาเรื่องเด็กคนนี้รวมถึงคนที่คิดจะขัดขวางให้ถึงตาย

“ขโมยของ” เด็กหนุ่มตอบตรงไปตรงมาผิดคาด

“ขโมยของแล้วหวังให้ข้าช่วยงั้นรึ?”

“ข้าไม่ผิด!” เด็กหนุ่มชี้แจง สองมือเขากุมข้อเท้าช้ำเลือดช้ำหนองที่ไม่น่าจะบาดเจ็บเพราะสะดุดล้มเมื่อครู่เอาไว้แน่น “พวกมันสั่งให้ข้าขโมยหีบเงินจากคนแก่คนนึง ข้าก็ขโมยมาให้ แต่มารู้ทีหลัง ว่าถ้าไม่มีเงินนั่นหมอจะไม่ยอมรักษาโรคให้ลูกสาวเขา ข้าเลยขโมยหีบนั่นกลับไปคืน ของนั่นไม่ใช่ของของพวกเขาสักหน่อย! ”

“เจ้าโง่ ของที่อยู่ในมือเราก็เป็นของเรา! ” ชายที่ร่างใหญ่ที่สุดในกลุ่มคนซึ่งวิ่งตามมาตวาดสวน ทุกครั้งที่ชายคนนี้ออกท่าออกทาง มัดกล้ามเนื้อห่อหุ้มผิวหนังสีเข้มดูดุดันจะเคลื่อนไหวคล้ายต้องการช่วยเจ้าของร่างข่มขู่ทุกคนที่กล้าหือ

“คิดว่าพวกข้าอยากทำนักรึ ไอ้เด็กเนรคุณ!” ชายอีกคนตวาดเสริม “ทุเรศที่สุด! เรากำพร้าเหมือนๆ กัน ช่วยเหลือกันมาเหมือนพี่น้อง พี่ข้าเลี้ยงเจ้ามาอย่างดี เรากำลังจะสบาย แต่เจ้าก็ดันมาขโมยเงินนั่นไป! ตอนนี้เงินนั่นก็อยู่ในมือหมอที่เป็นขุนนางใหญ่หมดแล้ว เอากลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว! ”

คำพูดคำจาที่ชวนให้รู้สึกว่าใจจริงแล้วคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้อยากลักขโมย กับคำว่า ‘กำพร้า’ และ ‘เรากำลังจะสบาย’ ตลอดจนสายตาเจ็บปวดผิดหวังมากกว่าชิงชังอาฆาตที่ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ใช้มองเด็กหนุ่ม ทำให้ไซรัสสะดุดใจขึ้นมา

เขาไล่สายตาประเมินลักษณะนิสัยและขีดจำกัดทางร่างกายของชายเหล่านี้ทีละคน ก่อนถาม

“พวกเจ้ารู้จักเด็กนี่มานาน รู้ใช่ไหม ว่าเขาไม่ได้อยากทรยศพวกเจ้า เขาแค่พยายามช่วยชีวิตเด็กอีกคนเท่านั้น” คนเหล่านั้นแววตาสลดลงเล็กน้อย แต่ไม่มีใครตอบอะไร เขาจึงเอ่ยปากถามอีกข้อ “หีบนั่นมีเงินเท่าไหร่”

                “ทำไมวะ จะจ่ายเงินชดเชยที่ไอ้เด็กนี่ขโมยไปหรือไง” ใครคนหนึ่งถามขึ้นอย่างหัวเสีย

แต่ไซรัสยังคงพูดคุยด้วยท่าทีสงบยิ่ง

“ถ้าตกลงกันได้ ข้าอาจจ่ายมากกว่านั้น”

ประโยคนั้นทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์กวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ผมดำเหมือนพวกทาสซาเมียร์ ไว้ผมยาวแถมยังหน้าตาผิวพรรณดีเหมือนกวีราชสำนัก แต่สำนวนการพูดการจาดันเหมือนชนชั้นล่างอย่างพวกข้ามากกว่าพวกชนชั้นมีอันจะกิน แถมรูปร่างยังสูง ดูแข็งแรง แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนพวกนักแสวงโชค” ใครอีกคนในคนกลุ่มนั้นออกปากวิจารณ์ซึ่งๆ หน้า “เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่วะ? มีเงินถุงเงินถังนักรึไง? ”

เขาไม่ตอบ หากแต่กวาดสายตามองชายเหล่านั้นเรียงตัวอีกหน คราวนี้เขาทำอย่างเชื่องช้า จงใจให้อีกฝ่ายรู้ตัว ก่อเกิดคลื่นความตึงเครียดบางอย่าง กดดันให้อีกฝ่ายต้องลดมือลงโดยอัตโนมัติ

ไซรัสรู้จักมนุษย์จำพวกนี้ดี พวกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเผชิญโลกมามากย่อมรู้จักประเมินว่าควรหรือไม่ควรทำอะไรโดยสัญชาตญาณ...ปราชญ์บางกลุ่มเรียกสิ่งนี้ว่า ‘สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด’ ที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

“เป็นอันว่าเราจะเจรจากันก่อน” เขาสรุปจากรูปการณ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปปั้น “ฟังข้อเสนอข้าให้ดี บางทีนี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า”

ชายเหล่านั้นมองมาที่เขาเหมือนอยากถาม แต่ไม่มีใครขยับริมฝีปากพูดอะไรออกมาเลยสักคำ

“ข้ากำลังจะเริ่มธุรกิจ เป็นธุรกิจที่ยังขาดคนกล้าที่แข็งแรงพอ” เขาเลือกละคำว่า ‘และยังพอจะรู้จักเชื่อฟังคำสั่ง’ เอาไว้ แล้วหยุดสายตาลงที่ชายผิวดำร่างสูงใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม “พวกเจ้าคงไม่ชอบชีวิตตอนนี้นักใช่ไหม”

“ธุรกิจรึ?” ใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นขยับริมฝีปากถาม น้ำเสียงงุนงง

แต่ชายหัวหน้ากลุ่มกลับเอ่ยแทรกเสียงขรึม

“เราจะได้อะไรตอบแทน” ดูเหมือนชายผิวสีจะไม่สนใจรายละเอียดธุรกิจเลยด้วยซ้ำ  

“เงินทอง และเส้นสาย” ไซรัสบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าได้รับโอกาส พวกเจ้าจะเป็นได้มากกว่าอัธพาลหรือหัวขโมย”

ประโยคหลังจากริมฝีปากคนอยากเริ่มธุรกิจ ทำเอาหัวหน้ากลุ่มร่างใหญ่นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ

“ล้อเล่นรึ? พวกชนชั้นสูงในเมืองนี้เห็นพวกกำพร้าอย่างพวกข้าเป็นขยะ พวกพ่อค้า พวกชนชั้นกลาง เรียกพวกข้าว่าหัวขโมยตั้งแต่เริ่มจำความได้ แต่เจ้าดันบอกว่าพวกข้าจะเป็นอย่างอื่นได้” ชายร่างใหญ่พยายามแค่นหัวเราะตอนเอ่ยเหมือนจงใจเย้ยหยัน แต่การกระทำนั้นกลับยิ่งเผยให้เห็นความคับข้องใจในชะตาชีวิต “ถ้าจะพูดเพื่อช่วยไอ้เด็กนั่นก็หยุดซะ แค่ชดใช้ห้าพันเหรียญนั่นมา แล้วชีวิตมันจะเป็นของเจ้า”

ไซรัสหลับตาลงเมื่อรู้ความประสงค์อีกฝ่าย

“นั่นรึ สิ่งที่พวกเจ้าต้องการ” เขาถามให้คิดมากกว่าจะต้องการคำตอบ “เงินห้าพันเหรียญนั่นอาจช่วยให้พวกเจ้ามีบางสิ่งสมปรารถนา แต่มันจะคงอยู่นานสักเท่าไหร่” นักเจรจาลืมตาขึ้น จ้องลึกลงในตาคู่สนทนา “เงินตราอาจช่วยให้พวกเจ้าซื้อหาบางสิ่ง แต่เงินตราเพียงเท่านั้น ไม่อาจเปลี่ยนสายตาที่คนอื่นมองพวกเจ้า”

“อยากจะพูดอะไร” แม้น้ำเสียงที่ชายหัวหน้ากลุ่มใช้ถามยังคงฟังดูแข็งกระด้าง แต่มันก็เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรที่สุด เท่าที่เคยหลุดออกมาจากปากชายคนนี้

คราวนี้ ไซรัสตอบคำถามนั้นเพียงสั้นๆ

“ทุกคนเป็นทุกอย่างที่เขาอยากเป็นได้เสมอ”

บังเกิดความเงียบอีกชั่วอึดใจ ก่อนจะเกิดเสียงหัวเราะขมขื่นคล้ายคนสมเพชชีวิตตัวเองมากกว่าสุขสันต์จากชายผิวสี

“พวกข้าไม่เคยร่ำเรียน เข้าใจคำพูดอย่างพวกนักปรัชญาได้ไม่ดีนักหรอก แต่ก็พอเข้าใจ ว่าเจ้าอยากจะบอกอะไร” หัวหน้ากลุ่มร่างใหญ่เหลียวสบตาคนในกลุ่มด้วยแววตาคล้ายมีประกายแสงไฟบางอย่าง

บางทีนั่นอาจเป็นแสงไฟแห่งความหวัง หรือไม่ก็ความเชื่อมั่น ที่ไม่เคยมีใครมอบให้พวกเขามาก่อน

“ข้าสนใจแค่ผลลัพธ์เท่านั้น เจ้าให้พวกข้าได้จริงรึ เงินทอง เส้นสาย”

“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องพิสูจน์” นักเจรจาตอบง่ายๆ “ถึงพวกเจ้าจะซ้อมเด็กนี่ให้ตาย หรือต่อสู้ทำร้ายเรียกร้องอะไรจากข้าตอนนี้ ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี”

“งั้นรึ...” กลุ่มชายฉกรรจ์สบตากันและกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุด คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็หันกลับมาบอกเขาด้วยท่าทีของอันธพาลที่ยังไม่สิ้นพยศเสียทีเดียว “เด็กนั่นชื่อโทมัส ขามันไม่หักหรอก ดามไม้สักพักก็หายดี” ชายคนเดิมระบายลมหายใจอย่างยากลำบากก่อนเอ่ยต่อไป บางทีสิ่งที่ขับไล่ออกจากร่างอาจมีกลุ่มก้อนความอวดดื้อถือดีปะปนอยู่ในนั้น “ส่วนไอ้อ้วนที่ยืนอยู่ตรงนี้ชื่อจอห์น” เขาใช้สายตาชี้ไปยังชายผมน้ำตาลอ่อนรูปร่างท้วมใหญ่ที่สุดในกลุ่มเมื่อเอ่ยประโยคเหล่านั้น “ส่วนนี่ ลูคัส” คราวนี้เขาใช้สายตาชี้ไปยังชายผมน้ำตาลตัดสั้น รูปร่างสูงโปร่งที่สุดในกลุ่ม แล้วชายคนนั้นก็ค้อมหัวให้ไซรัสเล็กน้อย เหมือนตั้งใจจะทักทาย “ด้านซ้ายข้าชื่อทอม คนข้างขวานี่ชื่อราจีฟ” เขาหมายถึงชายหน้าหวานผมสีน้ำตาลเข้มหยิกติดหนังหัวประเมินแล้วน่าจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่มคนทั้งห้า กับชายผิวคล้ำแดดหัวโล้นเลี่ยน ที่รูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับตัวคนแนะนำ ทอมกับราจีฟเองก็ค้อมหัวให้ไซรัสเช่นกัน แม้จะยังดูเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง แต่ก็พอมองเห็นสัดส่วนของความตั้งอกตั้งใจและความจริงใจผสมอยู่อย่างละครึ่ง “ส่วนข้า” หัวหน้ากลุ่มค้อมหัวให้ไซรัสก่อนจะเอ่ยต่อไป “ข้าชื่ออารี ข้ากับพี่น้องไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว พวกข้าจะลองเชื่อและติดตามท่านดู”

ไซรัสมองตาคนทั้งห้าอย่างอ่านใจ ครู่หนึ่ง คนเพิ่งได้ผู้ติดตามก็ดึงให้โทมัสลุกขึ้นยืน แล้วพาเด็กหนุ่มเดินตรงไปรวมกลุ่มกับคนทั้งห้า

แม้จะมีท่าทีหวาดๆ อยู่บ้าง แต่โทมัสก็ยอมก้าวขาเดินตามแต่โดยดี

“พร้อมเริ่มงานทันทีใช่ไหม?” เขาถาม

และอีกฝ่ายก็พยักหน้าแทนการตอบ

“เราจะเริ่มงานกันพรุ่งนี้” ไซรัสประกาศกร้าว “ภายในเวลาสามเดือนเราจะมีทั้งเงินและเส้นสาย จนถึงตอนนั้น ถ้าพวกเจ้าคนไหนอยากแยกตัวไปค้าขายอะไร ข้าก็จะสนับสนุนพวกเจ้าอย่างเต็มที่”

“แค่สามเดือนเท่านั้นรึ?” จารีฟถามเสี่ยงขุ่นสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่คนกำลังจะเริ่มธุรกิจก็กล้ายืนยัน

“ใช่ อีกแค่สามเดือนเท่านั้น...” เขาเว้นวรรคนิดหน่อยก่อนเอ่ยประโยคถัดไป “อีกแค่สามเดือน อาณาจักรนี้จะรู้จักพ่อค้านักแสวงโชคที่ชื่อไซรัสและคนของเขา จะไม่มีการหันหลังกลับเด็ดขาด”

เขาจะทำสำเร็จ...ไซรัสแน่ใจว่าอย่างนั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 8

    รถม้าสีดำสนิทเทียมม้าขาวลักษณะดีเคลื่อนผ่านประตูรั้วเหล็กดัดแสนกว้างขวาง มุ่งหน้าเข้าหาคฤหาสน์หลังเขื่อง ซึ่งซุกตัวอยู่ท่ามกลางสวนวงกตและพันธุ์ไม้ไร้ดอกอย่างเชื่องช้า ทันทีที่รถม้าเคลื่อนถึงประตูทางเข้าคฤหาสน์ ไซรัสก็พบว่าเจ้าบ้านจัดให้คนรับใช้และทหารในสังกัดออกมายืนเรียงแถวรอต้อนรับแขกที่ได้รับเชิญอย่างเป็นระเบียบ ทันทีที่รถม้าจอดสนิท ลูคัสก็รีบถือกล่องของกำนัลลงจากรถม้า แล้วยืนรอไซรัสด้วยท่าทีเคารพยิ่ง “ไซรัส เจ้าของกิจการอัญมณีและแพรพรรณ” ไซรัสแนะนำตัวสั้นๆ ให้ชายเครางามที่ดูคล้ายจะเป็นหัวหน้าคณะต้อนรับแขก แล้วชายคนนั้น ก็ขานชื่อเขาเสียงดังกังวาน “ไซรัส เจ้าของกิจการอัญมณีและแพรพรรณ ผู้ปราดเปรื่องและกว้างขวาง” ประโยคนั้นดึงความสนใจจากแขกเหรื่อได้ทั้งงาน ไม่ทันที่คนรับใช้ชายจะนำทางไซรัสเดินเข้าข้างใน นายทหารร่างท้วมที่เคยได้รับแหวนเพชรเป็นของกำนัลก็รีบปราดเข้ามาจับมือทักทายเขาอย่างสนิทสนม “มาเสียที” เขาสวมกอดไซรัสราวกับเป็นมิตรสหายที่รักใคร่กันมานาน “ไป ไปพบท่านเจ้ากรมการคลังกับคนอื่นๆ กั

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 7

    ภายในห้องโดยสารบนรถม้า ไซรัสเคาะบัตรเชิญงานเลี้ยงที่คฤหาสน์เจ้ากรมการคลังในมือไป ภายในใจก็จินตนาการภาพงานเลี้ยงระดมทุนไป ยิ่งจินตนาการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสงสัย ว่าคืนนี้ เขากับ ลูคัส ที่วันนี้รับบทผู้ติดตาม จะต้องอดทนเข้าสังคมชั้นสูงของเวเนเซียนานแค่ไหน พ่อค้าหนุ่มเหลียวมองผู้ติดตามที่นั่งตัวเกร็งอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเหยียดยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าแม้แต่ลูคัสที่ดูจะมีท่าทีสงบ คุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้ติดตามทั้งหมด แถมยังเข้ากันกับลูกค้าชั้นสูงได้อย่างดีเยี่ยม ยังรู้สึกอึดอัดกังวลได้ขนาดนี้ คำเล่าลือที่ว่าอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรบ้าพิธีรีตองจนน่าเบื่อ คงเป็นเรื่องจริง“ทำใจให้สบายเถอะ ถ้าอึดอัดก็เดินเข้าไปในงานแค่พอเป็นพิธี ทนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็หลบออกมานั่งรอที่รถม้าก็ได้” ไซรัสบอกผู้ติดตามเรียบๆ เรียกรอยยิ้มโล่งใจให้ผุดพรายบนใบหน้าคนฟังท่ามกลางความเงียบงันในบทสนทนา รถม้าเนื้อไม้สีดำสนิท แกะสลักขอบบนและล่างตัวห้องโดยสารด้วยลวดลายคล้ายน้ำเต้า...ผลไม้จากแดนใต้เรียงซ้อนกันเป็นแถวตามแนวยาว เคลื่อนไปตามถนนปูอิฐอย่างไม่เร่งรีบ ส่งผลให้ผู้โดยสารทันได้ยินเสียงน

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 6

    ไซรัสนึกภาพตามได้ไม่ยาก “แล้วเรื่องนั้นมีมูลความจริงสักกี่มากน้อย?” “ไม่มีมูลเลยสักนิด” อารีตอบโดยไม่ต้องคิด “หลังรู้ข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นโดนเผาทั้งเป็น คงเพราะค้างคาใจ ลูคัสถึงได้ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามผู้คนไปทั่ว เจ้านั่นเที่ยวสืบเสาะจนรู้ว่าพยานที่มาให้การล้วนเป็นพวกละโมบโลภมาก ส่วนหลักฐานที่พวกเขาใช้ปรักปรำผู้หญิงโชคร้ายนั่นก็เป็นข้าวของที่ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านรู้เห็นว่าเป็นของผู้หญิงคนนี้...พยานคนหนึ่งยังเคยหลุดปากพูดตอนลูคัสหลอกเลี้ยงเหล้า ว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีลาภลอย เพราะจู่ๆ ก็มีคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครมาจ้างวานให้ไปให้การคดีที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...แค่ยอมไปตอบว่า ‘ใช่ขอรับ’ เท่านั้น ก็ได้ของมีค่ามากมาย” “ช่างหยาบช้าดีแท้” ไซรัสออกความเห็นเรียบๆ สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ตอนนี้มนุษย์ประนามว่าสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาเป็นปีศาจร้ายกาจจอมเจ้าเล่ห์ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ ว่าใครกันแน่ที่ชั่วร้ายมากเล่ห์กว่ากัน” พูดแล้วไซรัสก็อดนึกถึงสภาพน่าขันของโลกนี้ไม่ได้ทั้งๆ ที่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอี

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 5

    “ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกนั้นจะยอมง่ายๆ” เสียงจากอารี เรียกให้ชายร่างสูงท่าทีภูมิฐานในห้องทำงานเรียบหรูดูกว้างขวาง ละความสนใจจากเอกสารบัญชีเขาวางปากกาหมึกซึมด้ามจับเงางาม เงยหน้ามองชายผิวสีตรงหน้า แล้วขยับริมฝีปากหยัก ดูคมคาย ถามด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งรูปปั้น“พวกพ่อค้าอัญมณีรายย่อยทั้งหมดตอบรับแล้วใช่ไหม”“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการ มีสองสามรายลังเลไม่อยากเซ็นชื่อในสัญญาค้าขายกับท่านเพราะระแวงว่าวิธีการที่ท่านกำหนดให้กระจายสินค้าจะทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ แต่พอข้าจะขอตัวกลับเท่านั้น พวกเขาก็รีบตอบรับ ยอมเซ็นสัญญาทันที”อารีตอบพลางก้าวเข้ามายื่นปึกหนังสือสัญญาให้เขา“ไม่เปิดม่านรึ?” ชายผิวสีถามพลางเหลียวมองม่านสีดำหนาทึบด้วยความประหลาดใจ “ท่านนี่ก็แปลก ฝั่งตรงข้ามมีหอนางคณิกาเลื่องชื่อ มีสาวๆ สวยๆ อยู่นับไม่ถ้วน กลับไม่ชายตาแลสักนิด พวกนางรึออกจะคอยสอดส่องมองท่านอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะซามีร่า ดูท่านางจะพึงใจท่านไม่น้อย ลือกันว่าถ้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ท่านไม่ชายตาแล นางจะงัดเอายาปลุกกำหนัดที่ช่วงนี้ซื้อขายกันลับๆ ในตลาดมืดมามอมเมาท่านทีเดียว”“ผู้หญิงมักมาพร้อมเรื่องยุ่งยาก” เจ้าของห้องต

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 4

    เสียงพิณหวานปนเศร้าดังขึ้นในวินาทีนั้นเมื่อคนเป็นนักดนตรีบรรเลงเพลงได้สักพัก อัยน์นาก็สังเกตเห็นหยาดเหงื่อเม็ดโตค่อยๆ ผุดพรายบนใบหน้า เธลม่า แกรนเทรนท์ ทั้งๆ ที่ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองคนนี้ มักฉาบเครื่องสำอางเอาไว้อย่างแน่นหนาดูท่า ท่านผู้หญิงเองก็คงเคยได้ยินนิทานเพลงเรื่องนี้มาก่อน‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทราย... มารดานางตายจากแต่ยังเยาว์’“หยุดนะ” เสียงสั่งจากภรรยาเจ้าบ้าน ทำเอานักแสดงทั้งสองหยุดชะงักแต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่การแสดงหยุดลง ขุนนางสูงวัยก็ออกคำสั่งให้รีบแสดงต่อทันที“เอาใหม่ ร้องให้จบ” ท่านเจ้ากรมการเมืองสั่งเสียงเข้ม‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทรายมารดานางชิงตายจากแต่ยังเยาว์บิดามากภาระฝากแม่เลี้ยงเลี้ยงดูเจ้า เรื่องน่าเศร้าจึงเกิดขึ้นกับโฉมตรู’ “นี่มันอะไรกันคะ ริชาร์ด คุณเรียกกวีสกปรกนี่มาทำไม?” ท่านผู้หญิงแกรนเทรนท์กำมือแน่น ท่าทางจะโกรธจัด แต่ยังพยายามรักษาสมบัติผู้ดี “ฟังต่อให้จบ” ขุนนางสูงวัยสั่งเสียงเข้ม สีหน้าเครียด ดูเคร่งขรึม “นิทานเรื่องนี้กำลังเป็นที่นิยมเชียวล่ะ

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 3

    เธอทำสำเร็จ อัยน์นาแน่ใจว่าอย่างนั้นตั้งแต่วินาทีที่หญิงรับใช้ในคฤหาสน์มาแจ้งว่าท่านเจ้ากรมการเมือง ริชาร์ด แกรนเทรนท์ ประกาศเรียกตัวเธอ กับท่านผู้หญิงเธลมา แกรนเทรนท์ และสองศรีพี่สาวต่างมารดาของเธออย่างท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านหญิงแอนนาเบล ให้ไปรวมตัวกันที่ห้องหนังสือ เพื่อฟังนิทานที่นักขับลำนำคนหนึ่งพกพามายังคฤหาสน์แม่คะ...ดูอยู่ใช่ไหม เธอถามภาพหญิงสาวอ่อนเยาว์ คิ้วเรียวเข้ม ตาคม ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อดูอิ่มสวยเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม ไม่เพียงใบหน้าดูงดงามสมบูรณ์แบบเหมือนภาพวาด สตรีในสายตาเธอมีเส้นผมสีดำสนิทยาวหยักศกทิ้งตัวอย่างเป็นระเบียบจรดบั้นท้าย มองแล้วชวนให้นึกถึงนางพรายผิวขาวผ่องในตำนานของนักเดินเรืออัยน์นาไม่เคยเห็นหน้าแม่ แต่เธอคิดว่าแม่ผู้ให้กำเนิดคงหน้าตาไม่ต่างจากภาพสะท้อนในกระจกเงาตรงหน้าสักเท่าไหร่...“คุณหนูจะแต่งตัวแบบนี้จริงๆ เหรอคะ” หญิงรับใช้ถามเสียงเครียด “คุณท่านกำชับให้ดิฉันจัดหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้คุณหนูสวมก่อนไปพบท่านนะคะ”“ทำไมล่ะคะ”‘คุณหนู’ ลดสายตาลงมองชุดกระโปรงยาวสีขาวประดับลูกไม้ขาดๆ ด้วยแววตาเหมือนกวางน้อย ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นช่างดูซื่อใส เหมือ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status