Share

บทที่ 32

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-08-28 22:58:23

“เป็นความจริง” ท่านเจ้ากรมการเมืองบอกตามตรง “ผมเอะใจเรื่องคุณครั้งแรกตอนตรวจตราสำมะโนประชากรและการถือครองสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ อย่าเข้าใจผิดไป ผมไม่ได้เพ่งเล็งคุณ ทั้งหมดนี้เป็นงาน เป็นแค่การสำรวจตรวจตราตามปกติเท่านั้น”

“ครับ” ไซรัสรับคำสั้นๆ แล้วปล่อยให้ขุนนางสูงวัยเอ่ยต่อไป

“ชาวเมืองแต่ละคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีเงินถุงเงินถังล้วนมีที่มา...แม้จะมีกลุ่มที่ค้าขายจนร่ำรวยแล้วย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำการค้า แต่ถ้าลองตรวจสอบที่มาที่ไปก็จะรู้ ว่าก่อนหน้านี้ คนพวกนั้นทำอะไร เคยอยู่ที่ไหนมาก่อน”

“ผมคงโกหกคุณไม่ได้จริงๆ” เป็นครั้งแรกที่ไซรัสยิ้มออกมาจากใจ

“คุณไม่ใช่ชนชั้นสูง แล้วก็ไม่ได้มาจากอาณาจักรอัสกันด์อย่างแน่นอน”

“ครับ ถูกต้องตามนั้น” พ่อค้าหนุ่มวางแก้วชาแล้วเริ่มเล่าประวัติตัวเองอย่างรวบรัด "ผมไม่ใช่ชนชั้นสูงของอาณาจักรนี้และไม่ได้มาจากอัสกันด์...ช่วงราวหนึ่งเดือนก่อน ผมยังเป็นแค่คนไร้หลักแหล่ง เที่ยวเดินเตร่ในเมืองหลวงไปพร้อมๆ กลุ่มอันธพาลที่พัฒนามาจากกลุ่มเด็กไร้บ้านข้างถนน”

“เล่าต่อไป”

“ผมค้นพบเส้นทางลับที่เหมาะจะใช้ข้ามชายแดนเวเนเซียเข้าไปในเขตแดนของพวกเผ่าพันธุ์โบราณที่พวกคุณหวาดกลัว ที่นั่น ผมพบโพรงดินขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยอัญมณี” ไซรัสสังเกตเห็นว่าแววตาขุนนางสูงวัยดูจริงจังมากขึ้นเมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้

“แผ่นดินหลังแนวเขาน่ะรึ”

“ครับ”

“ให้ตายเถอะ” ท่านเจ้ากรมการเมืองขมวดคิ้วสีดอกเลาเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย” ชายสูงวัยจ้องหน้าไซรัสอย่างยากจะเชื่อ “คุณเอาเรื่องนี้มาบอกผมทำไม”

“เพราะผมเชื่อว่าคุณเป็นชายที่มีเกียรติ คุณจะไม่เที่ยวเปิดเผยความลับใครง่ายๆ หรือหาประโยชน์จากความลับใครอย่างคนไร้เกียรติแน่นอน”

“ผมอาจเปิดเผยเรื่องนี้เพื่ออาณาจักรก็ได้ไม่ใช่รึ? คุณก็รู้ เวเนเซียกำลังจะทำสงครามกวาดล้างพวกอสูร พวกปีศาจ การศึกสงคราม รู้ช่องทางลับให้มากย่อมดีกว่าไม่ใช่รึ ไหนจะอัญมณีที่เปลี่ยนเป็นเงินทุนสงครามได้อีกล่ะ?”

“ผมไม่คิดว่าคุณจะทำเรื่องพรรค์นั้น ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป เราก็จะยิ่งหยุดสงครามลำบาก คนอีกมากจะต้องตายเพราะใครหลายคนเกิดละโมบอยากได้อัญมณีล้ำค่าที่ทุกคนเคยเห็นเป็นรูปธรรม...

บางทีมันอาจก่อให้เกิดสงครามขัดแย้งระหว่างมนุษย์ด้วยกันเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ขัดแย้งกันในหมู่พ่อค้าหรือขุนนางเท่านั้น...ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเรื่องมันจะไม่ลุกลามจนถึงขั้นกลายเป็นสงครามระหว่างอาณาจักร ลองคิดดูสิครับ ตอนนี้อาณาจักรที่มีพรมแดนติดกับอาณาเขตของพวกเผ่าพันธุ์โบราณที่ว่านี้มีอยู่สามอาณาจักร คืออาณาจักรข้างเคียงอย่างอัสกันด์ อาณาจักรที่เพิ่งทำสัญญาสงบศึกกันได้แค่ยี่สิบปีอย่างอาเรนทร์ กับอาณาจักรที่อยู่กึ่งกลางอย่างอาณาจักรนี้

อัสกันด์เป็นเมืองแห่งป่า เกือบจะเป็นเมืองปิด ระหว่างอาณาจักรนั้นกับดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาสูงชันก็มีทั้งแนวเหวกว้างและป่าดึกดำบรรพ์ที่ชาวอัสกันด์ไม่กล้าล่วงล้ำ ผิดกับอาเรนทร์ที่อยู่ไม่ห่างจากแหล่งอัญมณีล้ำค่าพอๆ กันกับเรา การเดินทางก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป อาณาจักรที่ทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอัญมณีเป็นหลักอย่างอาเรนทร์จะไม่เปรี้ยวปากอยากลิ้มรสผลประโยชน์มหาศาลบ้างหรือ? ไหนจะอาณาจักรที่อยู่ห่างไกลออกไปอย่างซาร์เชมาอีกล่ะ

นอกจากนี้ ถ้าวัดกันตามเนื้อผ้า ระหว่างอาเรนทร์กับอาณาจักรนี้ อาณาจักรอาเรนทร์อาจจะอยู่ใกล้แหล่งอัญมณีที่ว่านี้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกเขาอยู่ใกล้กว่าเรา ถ้ามีการเปิดเผยเรื่องผลประโยชน์ อาณาจักรไหนจะเป็นฝ่ายเข้ายึดครองสะดวกกว่ากันล่ะ? หรือสองอาณาจักรจะจับมือแบ่งผลประโยชน์กันอย่างสันติ? ระยะแรกก็อาจทำได้อยู่หรอก แต่ใครจะกล้ายืนยัน ว่าเมื่อวันเวลาผ่านเลยไปจะไม่เกิดความขัดแย้งที่น่าเบื่อหน่าย”

พ่อค้าชุดดำลุกขึ้นยืนมองทอดออกไปด้านนอกหน้าต่างบานยาว ภาพจวนแสนสงบที่ดูสมถะกว่าคฤหาสน์ขุนนางคนใด ทำให้เขากล้าเอ่ยประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ก่อนจะมาที่นี่ ผมเองก็ตรวจสอบเรื่องท่านเจ้ากรมมาบ้าง เรียนตามตรง ผมมาที่นี่ มาเพื่อพบท่านเจ้ากรมวันนี้ก็เพราะเรามีความเห็นตรงกัน เรื่องที่ไม่ต้องการให้เกิดสงครามหรือความวุ่นวาย”

“ผมจะเชื่อคำพูดชายที่หาหนทางตัดช่องย่องเข้าไปขนถ่ายอัญมณีจากอาณาเขตของพวกเผ่าพันธุ์โบราณมาค้าขายจนมั่งคั่งได้ยังไงกัน คุณใช้คนไปเท่าไหร่ มีกี่คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้งานนี้” ท่านเจ้ากรมการเมืองถามเหมือนหยั่งเชิงมากกว่าหาเรื่องตำหนิ

“ไม่มีการสูญเสียอย่างที่คุณว่าหรอกครับ ที่สำคัญยิ่งกว่า ผมตั้งใจทำแค่ครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น ทำเพื่อใช้มันเป็นประตูเข้าสู่สังคมชั้นสูง”

“เรื่องนั้นผมเห็นแล้วว่าคุณทำได้ดีไร้ที่ติ” แม้จะฟังดูเหมือนคำพูดเหน็บแนม แต่น้ำเสียงและสีหน้าท่านเจ้ากรมการเมืองไม่ได้ชวนให้รู้สึกแบบนั้น “ก็ดูสิ ตอนนี้เจ้ากรมการคลังวิลสัน วิลส์ตัน ขุนนาง ตลอดจนทหารมียศหลายคนต่างชื่นชม ‘ไซรัส พ่อค้าผู้ปราดเปรื่องและกว้างขวาง’ ”

“ครับ” ไซรัสน้อมรับคำกล่าวนั้น

“คุณทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปทำไม...คงไม่ใช่แค่เพื่อทรัพย์สินเงินทองและอำนาจกระมัง?”

“ผมไม่เถียงว่าต้องการอำนาจกับทรัพย์สมบัติ สองสิ่งนี้เป็นของจำเป็น”

“จำเป็นสำหรับอะไร”

“ท่านเจ้ากรมเดาไม่ออกหรือ”

“พูดไปก็น่าขายหน้า ตั้งแต่แก่ชรา ความสามารถในการคาดเดาของผมก็ลดลงฮวบฮาบ” นั่นเป็นประโยคที่ทำให้พ่อค้าหนุ่มรู้ว่าต้องตอบให้ชัดเจน และต้องตอบให้ดี

ต้องตอบให้คู่สนทนาพึงพอใจ

“ผมทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนที่เกี่ยวพันกับการก่อสงคราม แล้วหยุดยั้งมันสำเร็จ” ไซรัสหันกลับมาสบตาท่านเจ้ากรมการเมืองด้วยท่าทีขึงขัง...ดุจราชา “ผมอยากหยุดสงครามที่รังแต่จะสร้างความเสียหายนี้ อยากจะทำให้มันยุติ เพื่อที่ทั้งมนุษย์และพวกเผ่าพันธุ์โบราณที่อาศัยอยู่ด้านหลังแนวเขา จะได้กลับไปใช้ชีวิตสงบสุขตามเดิม”

ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องกว้างในวินาทีนั้น

ขุนนางใหญ่และพ่อค้าต่างจ้องตากันนิ่ง เหมือนกำลังพูดคุยกันผ่านสายตา

“ผมจะไว้ใจพ่อค้าอย่างคุณได้หรือ” ท่านเจ้ากรมการเมืองถามเสียงเข้ม “ไม่แน่ว่าคุณอาจจับมือกับกลุ่มสนับสนุนสงครามอย่างเจ้ากรมการคลังวิลส์ตันกับพรรคพวก แสร้งทำเป็นอยากยุติสงคราม ลวงให้ผมตายใจ เพื่อหาช่องทำลายความน่าเชื่อถือหรืออาจถึงขั้นส่งผมไปขึ้นแท่นประหาร”

“คุณจะไว้ใจผมมากขึ้นไหม ถ้าผมบอกว่าสาเหตุที่คนของผมลัดเลาะชายแดนอาณาจักรเราผ่านเข้าไปขนถ่ายอัญมณีออกจากดินแดนเร้นลับนั่นได้ ก็เพราะได้รับความช่วยจากสิ่งที่ตอนนี้พวกคุณเรียกว่า ‘ปีศาจ’ ” ไซรัสตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “ผมรู้จักกับราชาของดินแดนเร้นลับเป็นอย่างดี เขาไม่ต้องการสงคราม...ไม่ต้องการทั้งสงครามและการทำลายล้าง”

ถ้าเป็นคนอื่นคงโวยวายใส่หน้าแล้วกล่าวหาว่าเขาโกหก แต่ท่านเจ้ากรมการเมืองกลับนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

“คุณมีอะไรเป็นเครื่องยืนยัน”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 61

    “ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 60

    “ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 59

    “คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 58

    คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 57

    นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 56

    กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status