“คะ คุณหนู!” คนรับใช้หญิงหันรีหันขวางเหมือนเห็นเรื่องประหลาด แล้วท่านหญิงกุหลาบทะเลทรายก็ฉวยจังหวะนั้นผละจากเขาอย่างรวดเร็ว
ในช่วงที่เขายังคงตั้งตัวไม่ติด อัยน์นากลับรีบเดินกึ่งวิ่งไปหาสาวใช้ สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“เป็นอะไรมากไหมคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เธอถามพลางตรวจดูตามเนื้อตามตัวสาวใช้
“มะ ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” พอได้ยินสาวใช้ยืนยัน ท่านหญิงไร้สกุลก็ถอนหายใจ โล่งอก แล้วก้มลงเก็บเศษแก้วทั้งอย่างนั้น
หึ...ดีเสียจริง... แม่เจ้าประคุณทิ้งเขาให้ยืนนิ่งค้างอยู่คนเดียวโดยไม่ชายตาแลสักนิด
“ค...คุณหนู อย่าค่ะ” พอตั้งสติได้ สาวใช้ก็รีบย่อตัวลงช่วยเก็บข้าวของ ลนลาน
ดูเหมือนตอนนี้คนรับใช้หญิงจะลืมเรื่องที่เห็นเมื่อครู่ไปเสียสนิท
...ช่างเอาตัวรอดนัก ถึงจะเสียดาย แต่เห็นแก่ไหวพริบกับสีหน้าซื่อๆ นั่น วันนี้เขาจะยอมรามือ
“ของว่างเหรอคะ” อัยน์นายังคงทำท่าทำทางเหมือนจ่ายความสนใจทั้งหมดให้ข้าวของกับคนมาใหม่ “ดูจากชุดเครื่องใช้ ทั้งหมดนี้เป็นของว่างของท่านผู้หญิงใช่ไหมคะ”
“ค่ะ”
“ท่านผู้หญิงต้องไม่พอใจมากแน่ๆ” อัยน์นาทำท่าครุ่นคิด ก่อนเอ่ย “ถึงฉันทำอะไรแตกหักหรือชักช้าก็คงไม่โดนหักเบี้ยเลี้ยงหรือไล่ออก เพราะฉะนั้น เราควรจะแลกหน้าที่กันชั่วคราว”
“เอ๊ะ?” สาวใช้ทำท่าจะค้าน แต่คุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์ไม่ยอมฟัง
“อย่างมากท่านผู้หญิงคงแค่ดุว่า ยังดีกว่ามีคนต้องโดนลงโทษหรือไล่ออกตั้งเยอะ” เธอกุมมือสาวใช้ด้วยแววตาอ่อนโยน
ผู้หญิงคนนี้รู้วิธีทำดีต่อคนอื่น...พอเห็นแบบนี้แล้ว ไซรัสก็ไม่แปลกใจเลย ที่ผู้คนในคฤหาสน์ล้วนรักเธอ
“เดี๋ยวฉันจะดูแลเรื่องของว่างต่อเองค่ะ” คุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์บอกสาวใช้ ก่อนเสนองานใหม่ให้ “แต่แลกกับเรื่องนี้ คงต้องขอแรงให้ช่วยพาแขกน้ำใจงามที่เพิ่งช่วยไม่ให้ฉันหกล้มไปพบคุณท่านที่เรือนนั่งเล่นด้านหลังคฤหาสน์ คุณเขาหลงทางน่ะค่ะ”
สาวใช้เหลียวมองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป จากแววตาตื่นตระหนกกลายเป็นชื่นชม
“คุณเขาช่วยคุณหนูไว้เหรอคะ”
“ค่ะ” คนเป็น ‘คุณหนู’ ยืนยันด้วยรอยยิ้มที่เขารู้จักดี...มันคือรอยยิ้มสมบูรณ์แบบที่ศิลปินมักบรรจงวาดลงบนหน้ากาก
“เดี๋ยวท่านผู้หญิงจะรอนาน ขอตัวก่อนนะคะ” เธอบอกทั้งเขาและสาวใช้พร้อมกัน ก่อนเดินแยกออกไป เธอยังค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อยอย่างมีมารยาท
ไม่ใช่แค่รู้จักเอาตัวรอด ยังซ่อนความรู้สึกมิดชิด
แทนที่จะขุ่นเคือง ใบหน้าซึ่งปกติจะนิ่งเฉยดั่งรูปสลักกลับปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ
เขามองเจ้าของร่างอ้อนแอ้นในชุดขาวเดินจากไปจนลับสายตา ก่อนพยักหน้าให้สาวใช้เริ่มนำทาง
เรายังมีเวลาพบกันอีกมาก...ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย พ่อค้าหนุ่มได้แต่รำพึงในใจ รู้ดีว่าคราวหน้าตัวเองจะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ แบบนี้แน่
ใช้เวลาไม่นานนัก ไซรัสก็เดินตามหญิงรับใช้ไปจนถึงสวนหย่อมด้านหลังคฤหาสน์ สถานที่ที่เขาเคยย่างเหยียบมาแล้วหนหนึ่ง
กลับมาคราวนี้ พ่อค้าหนุ่มได้มีเวลากวาดสายตามองอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น
ที่แห่งนี้เป็นสวนหย่อมที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดงจัดจริงอย่างที่พ่อบ้านเกริ่นไว้
มันเป็นสถานที่ที่มีกุหลาบออกดอกชูช่อกระจายอยู่ทั่วไป ตามพื้นดินแม้จะมีต้นไม้ชนิดอื่นแต่ก็ล้วนเป็นไม้ใบสีเขียวเข้มไร้ความโดดเด่น เหมือนปลูกไว้เป็นพื้นหลังให้เหล่ากุหลาบดอกสวย ที่พุ่มไม้ดัดรูปเทพธิดาผมยาวหยักศกมีกระถางกุหลาบพันธุ์เล็กทรงกรวยจัดวางอยู่หว่างอกต่างช่อดอกไม้ ที่เสาหินรอบเรือนนั่งเล่นมีเถากุหลาบเลื้อยพันและออกดอกแน่นขนัดจนแทบมองไม่เห็นก้านและใบ กระทั่งตัวเรือนนั่งเล่นสีขาวซึ่งถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยหน้าต่างกระจกชนิดใสบานยาวก็ยังตั้งแจกันดอกกุหลาบและกระถางดอกไม้ชนิดเดียวกันไว้ข้างในมากกว่าสิบใบ
ทุกองค์ประกอบในสวน ชวนให้อดคิดไม่ได้ ว่าคงมีใครสักคนในครอบครัวแกรนเทรนท์ หลงใหลในมนตร์เสน่ห์แห่งกุหลาบแดงเสียจนไม่คิดชายตาแลดอกไม้ชนิดอื่น
“สวนหย่อมนี้เป็นของใครกัน?” ไซรัสแน่ใจว่าที่นี่จะต้องถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใครสักคน
และเขาก็เดาไม่ผิด
“ของคุณท่านค่ะ” สาวใช้คนเดิมตอบสั้นๆ ก่อนจะพาเขาสาวเท้าเข้าหาอาคารหลังไม่ใหญ่ไม่เล็กซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพุ่มไม้ดัดรูปเทพธิดาสององค์ “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเตรียมชุดน้ำชามาให้”
หลังสาวใช้คล้อยหลังไปครู่ใหญ่ เจ้าบ้านสูงวัยก็เดินผ่านเส้นทางโรยกรวดมาหาเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านเจ้ากรมการเมือง” ไซรัสลุกขึ้นค้อมศีรษะทำความเคารพด้วยท่าทีที่แม้จะดูนอบน้อมแต่ก็ดูองอาจ สง่าผ่าเผย
เจ้าบ้านไล่สายตามองไซรัสตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ปิดบังและไม่น่าเกลียด ก่อนชม “รูปงาม องอาจ ทั้งยังดูฉลาดรอบคอบสมคำร่ำลือ”
“ขอบคุณครับ”
“เชิญนั่งสิ” ท่านเจ้ากรมการเมือง หรือหากเรียกตามยศขุนนางแล้วก็คือ ‘เจ้ากรมการเมืองแกรนเทรนท์’ ผายมือเชื้อเชิญ ก่อนจะขยับเข้านั่งโซฟาตัวใกล้กันด้วยท่าทีสุขุมสมเป็นขุนนางใหญ่ “ผมได้ข่าวว่าคุณร่ำรวยจากการค้าอัญมณีที่ขุดขนมาจากชายแดน”
เพราะจังหวะนั้น สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาพอดี ไซรัสจึงถือโอกาสนี้ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
ก่อนจะตอบอะไร เขาอยากหยั่งเชิงอีกฝ่ายดูเสียก่อน
“ว่ายังไง ตอบยากหรือ?” ท่านเจ้ากรมการเมืองถามทันทีที่สาวใช้เดินห่างออกไป
“มิได้ครับ”
“หรือเพราะไม่อยากโกหก” เจ้าบ้านยกน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนเอ่ยต่อไป “พูดกันตามตรงเถอะนะ ผมเองก็ศึกษาเรื่องภูมิประเทศเรื่องทรัพยากรมาไม่น้อย แถบชายแดนฝั่งที่ติดกับแนวเขาทางตอนเหนืออาจจะยังมีป่าไม้ แต่อัญมณีสวยๆ ดีๆ น่ะ หมดไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ติดเรื่องความเชื่อเก่าแก่โบราณ ป่านนี้ใครต่อใครคงรุกแนวป่าเข้าไปทลายภูเขาหาสินแร่”
“ดูท่า ท่านเจ้ากรมคงตรวจสอบเรื่องผมมาไม่น้อย”
“เรื่องสำมะโนประชากรเป็นหนึ่งในหน้าที่รับผิดชอบหลักที่ผมต้องใส่ใจ”
ไซรัสมองตาชายตรงหน้าแล้วประเมิน...
ชายซื่อตรงและมีเกียรติเช่นนี้ หากเลือกโกหกก็คงไม่โดนคาดคั้น สำคัญที่ว่าชายคนนี้จะปิดใจและตีค่าว่าอีกฝ่ายเชื่อถือไม่ได้ไปตลอดกาล...
เขาคลี่ยิ้มให้ขุนนางสูงวัยก่อนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“ท่านเจ้ากรมการเมืองข้องใจเรื่องที่มาที่ไปของผม”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”