ท่ามกลางสวนกุหลาบสีแดงจัด ท่านหญิงกุหลาบดอกงามก้มหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ปลดปล่อยหยาดน้ำตาบริสุทธิ์จำนวนมาก หยดรดก้นหลุม
“คุณหนูคะ...” มาธาพยายามบีบไหล่ปลอบโยน
สัมผัสจากต้นห้อง เตือนให้เธอได้สติ ว่าสิ่งที่ควรทำตอนนี้ไม่ใช่การร้องไห้ แต่เป็นการเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์แล้วทำให้เหล่าคนผู้รอดูเธอพ่ายแพ้ประหลาดใจ
ในตอนที่ท่านหญิงกุหลาบทะเลทรายลืมตากลับมองความเป็นจริงนั่นเอง เธอก็พบว่ามีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล
น้ำตาทุกหยดที่หล่นลงสู่ก้นหลุม...แทนที่มันจะซึมหายลงไปในเนื้อดิน มันกลับแผ่กระจายเป็นวงกว้างกว่าปกติ ทั้งยังเปลี่ยนก้นหลุมส่วนนั้นให้เป็นสีดำ
พอเห็นเท่านั้น อัยน์นาก็รีบขุดขยายปากหลุม แล้วใช้มือปัดๆ ดินก้นหลุมจนเห็นว่ามีหีบโลหะสีดำ เก่าๆ ฝังอยู่
“นั่นใช่หีบที่คุณนายน้อยเอามาฝังหรือเปล่าคะ” มาธาถาม น้ำเสียงตื่นเต้น
ต้นห้องสาวรีบขยับเข้ามาช่วยคุณหนูขุดคุ้ยอีกแรง ใช้เวลาไม่นาน ทั้งคู่ก็ยกหีบใบนั้นขึ้นมาจนได้
หีบใบนี้ เป็นหีบที่ทำฝาปิดอย่างง่าย ไม่มีกุญแจล็อคไว้ นัยว่าผู้ฝังต้องการให้คนขุดพบนำข้าวของในนี้ออกไปใช้ได้ตามแต่ใจปรารถนา
พอเปิดหีบใบใหญ่ออกแล้ว อัยน์นาก็เห็นว่ามีหีบอีกใบวางซ้อนอยู่ในนั้น มันเป็นหีบไม้เนื้อแดง สลักลายนกพิราบรายล้อมด้วยดอกกุหลาบไว้ด้านบน ภายในหีบใบนั้นไม่เพียงมีชุดสีขาวปักดิ้นทองเหลืองอร่าม ยังมีข้าวของทุกอย่างที่สุภาพสตรีต้องใช้ยามออกงาน ตั้งแต่เครื่องประดับ ถุงมือ ไปจนถึงรองเท้า...
“ขอบคุณค่ะ...แม่” อัยน์นายิ้มทั้งน้ำตา ก่อนวางหีบแล้วโผเข้ากอดมาธา “ขอบคุณมากนะคะที่บอกเรื่องนี้ ขอบคุณมากๆ ”
“คุณหนูคะ ดิฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ดิฉันเกือบทำให้คุณหนูคลาดจากหีบใบนี้ตลอดไปแล้วด้วยซ้ำ” มาธากล่าวแก้เก้อ
“ไม่หรอกค่ะ” เธอกอดต้นห้องแน่นขึ้น รู้สึกขอบคุณจากหัวใจ “ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ ”
“คุณหนูคะ เสียเวลามากแล้ว รีบเอาของพวกนี้ไปแต่งตัวเถอะค่ะ” มาธาเตือนสติคนเป็นนาย “ระมัดระวังนะคะ อย่าให้ใครเห็นเข้า ไม่งั้นจะโดนแกล้งเอาอีก...เดี๋ยวดิฉันกลบหลุมนี่แล้วจะตามไป”
“ช่วยกันสองคนไวกว่านะคะ”
พอได้ยินประโยคนั้น มาธาก็ขยับมือขึ้นกอดคุณหนูแน่น
สองนายบ่าวช่วยกันกลบดินกลับลงหลุมอย่างเร่งรีบ ไม่นานหน้าดินก็กลับราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทางดีแล้ว อัยน์นาก็หอบหีบใบนั้นกลับขึ้นตึกใหญ่ โดยมีต้นห้องคอยเดินตามต่างองครักษ์พิทักษ์ภัย
เย็นย่ำแล้ว...น้ำค้างเริ่มโปรย
ท่ามกลางสวนดอกไม้สีแดงสวย แว่วเสียงสายลมหวีดหวิว ฟังคล้ายเสียงมารดาเห่กล่อมบุตรในอุทร
“อัยน์นาล่ะ” เจ้ากรมการเมืองถามหาลูกสาวคนสุดท้องทันทีที่เห็นท่านผู้หญิงและลูกสาวคนโตกับคนรองเดินลงบันไดมาพร้อมๆ กัน
จากบันไดกว้างขวางกลางโถงใหญ่ มองเห็นรถม้าคันงามสลักลายประจำตระกูลแกรนเทรนท์จอดรออยู่อย่างงามสง่า
“เอ...น่าจะมาถึงได้แล้วนะคะ เธอแต่งตัวเสร็จเป็นคนแรกด้วยซ้ำ” ท่านผู้หญิงเธลม่าทอดถอนใจ “แอนนาเบล ไปตามอัยน์นามาหน่อยเถอะ เราจะได้ออกข้างนอกกันเสียที ป่านนี้ใครต่อใครคงไปถึงงานเลี้ยงกันหมดแล้ว”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” เสียงที่ทุกคนจำได้ว่าเป็นอัยน์นา ทำให้ท่านผู้หญิงเผลอคลี่ยิ้มน้อยๆ
“ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดเธอก็มาเสียที” ท่านผู้หญิงหันหลังกลับไปมองทางเสียง คาดหวังว่าจะได้เห็นลูกเลี้ยงบอกปัดขอไม่ไม่งานเลี้ยง หรือไม่ก็ปรากฏกายในชุดกระโปรงธรรมดาๆ หรือชุดราตรีประหลาดๆ คล้ายตัดเย็บไม่เสร็จสักชุด ชนิดที่ท่านเจ้ากรมเห็นแล้วไม่กล้าพาไปงานเลี้ยงด้วย
แต่เมื่ออัยน์นาก้าวขาลงมาจนถึงกลางบันได นายหญิงของคฤหาสน์ก็ต้องยกพัดขึ้นป้องปากด้วยมือที่สั่นเทา
แววตาท่านผู้หญิงดูตื่นตะลึงไม่แพ้ทุกคนในที่นี้
“ชุดลูก...” ท่านเจ้ากรมเอ่ยได้เท่านี้ก็นิ่งไป ได้แต่จ้องมองลูกสาวก้าวเดินลงมาหาด้วยแววตาภาคภูมิใจระคนเศร้าสร้อย
อัยน์นาในยามนี้ดูสงบเสงี่ยม งามสง่า ท่วงท่าการเดิน แววตา น้ำเสียงการพูดจา ล้วนสงบนิ่ง ผมยาวหยักศกที่เคยเกล้าเป็นมวยสูงเปลี่ยนเป็นเกล้าเก็บผมขึ้นเพียงครึ่งศีรษะ ส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งปล่อยให้ทิ้งตัวยาวสลวยดุจแพรไหม
แม้จะมองเห็นชุดราตรีฟูฟ่องเพียงนิดหน่อยเพราะเจ้าตัวคลุมผ้าคลุมไหล่สีเข้มผืนใหญ่ปิดไว้มิดชิด แต่ก็ยังพอดูออก ว่าน่าจะเป็นชุดเสื้อผ้าชั้นดีที่ตัดเย็บมาอย่างประณีต
“สายมากแล้ว...พวกเราออกเดินทางกันเถอะค่ะ” จบคำอัยน์นา ท่านเจ้ากรมก็ก้าวเข้ามายื่นมือให้ลูกสาว
เมื่อเธอวางฝ่ามือบนมือเขา คนเป็นบิดาก็จับมือบอบบางนั้นคล้องแขนแล้วพาเดินไปส่งขึ้นรถม้าก่อนใครเพื่อน ทำเอาสตรีสามคนที่ยังยืนนิ่งค้างยิ่งริษยาอาฆาตที่ท่านเจ้ากรมเอาใจใส่แค่ลูกสาวนอกสมรสเท่านั้น
“ไปแต่งเนื้อแต่งตัวมาใหม่ซะดิบดีเชียว...มันไปเอาชุดมาจากไหนคะ” แอนนาเบลกระซิบถามมารดาด้วยความขัดใจ
หนนี้ ท่านผู้หญิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ต่างจากทุกครั้ง
“จากนรกน่ะสิ”
ก่อนที่ใครจะพูดอะไรมากกว่านี้ พริสซิลล่ากลับเตือนให้แม่กับน้องสาวไปขึ้นรถ
“สายแล้วนะคะ” ท่านหญิงคนโตบอกเรียบๆ ท่านผู้หญิงจึงเดินเชิดหน้าไปขึ้นรถ ไม่พูดไม่จา
“รับได้เหรอคะ คุณพี่ ไซรัสก็ไปงานนี้ด้วยนะคะ” ก่อนเดินตามมารดาไป แอนนาเบลยังอดถามไม่ได้
แต่คำตอบที่พริสซิลล่ามอบให้ กลับยิ่งทำให้ท่านหญิงคนรองประหลาดใจจนต้องนั่งขมวดคิ้วแน่นไปตลอดทาง
“ไม่ดีหรือไงที่มันเด่น...เด่นสิดี...ให้มันโดดเด่นให้ผู้คนโจษจันกันทั่วนั่นแหละดี”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”