“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”
“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”
คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึก
หล่อนกลอกตา ก่อนตอบ
“ในสวน”
“ในสวน...? สวนไหนคะ”
“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิด
แสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ
“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆ
เธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลายเป็นเรื่องเป็นราวให้ท่านเจ้ากรมการเมืองอับอายขายหน้าคนในวงสังคมอีกหนเสียเปล่าๆ
ที่นี่ก็ทั้งสวยทั้งสงบดี สถานที่งดงามแบบนี้ใช่ว่าจะได้เข้ามาง่ายๆ ในเมื่อได้เข้ามาแล้ว ก็ขอใช้โอกาสนี้ปลีกตัวจากงานเลี้ยงหรูหราเสียเลย
“ว่ายังไงคะ” เธอถาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่สาวตอบไม่ได้ เจตนาเพียงอยากให้แอนนาเบลรีบชี้นิ้วสั่งแล้วจากไปไวๆ เท่านั้น
“ตรงไหนเหรอ”
“ค่ะ”
ท่านหญิงคนรองเหลียวมองไปรอบๆ พอคิดอะไรไม่ออก ก็บุ้ยใบ้ไปยังบริเวณซุ้มไม้เลื้อยที่ทั้งรกทั้งมืดครึ้มที่สุด
“ตรงนั้น!”
‘คุณพี่เข้าไปทำอะไรที่นั่นคะ’ อัยน์นาอยากจะถามแบบนี้ แต่รู้ดีว่าถึงถามไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“ค่ะ...เข้าใจแล้ว คุณพี่กลับเข้าไปในงานก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหาเจอหรือไม่เจอ ดิฉันจะกลับเข้าไปบอก”
“หาให้ดีล่ะ หานานๆ หน่อย” เจ้าหล่อนกำชับก่อนวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ผิดวิสัยคนเพิ่งทำของราคาแพงหายไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้อัยน์นายิ่งแน่ใจ ว่าพี่สาวต่างมารดาต้องพยายามแยกเธอออกจากไซรัสเพื่อพริสซิลล่าแน่ๆ
พริสซิลล่าจะทำอะไรอีกแล้ว...
อัยน์นามองแผ่นหลังแอนนาเบลค่อยๆ หายลับไปในฝูงชนแล้วได้แต่ทอดถอนใจ
แอนนาเบลเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ยังคอยแต่จะทำตามคำสั่ง ทำตามความคิดคนอื่นอยู่เสมอ จนยากจะรู้ ว่าลึกๆ แล้วเจ้าหล่อนมีความคิดความอ่านอย่างไร มองโลกแบบไหน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอสงสัย ว่าถ้าทำตัวอย่างแอนนาเบล เธอจะมีความสุขกับชีวิตกว่านี้หรือไม่
ไม่ต้องคิดอะไร...แค่ทำตัวเหมือนเรือลำเล็ก ปล่อยให้คนอื่นชักพา...
พอนึกถึงตรงนี้ อัยน์นาก็ส่ายหน้าทันที
“ไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ” เจ้าของริมฝีปากสีกุหลาบพึมพำ ก่อนสาวเท้าเข้าหาบริเวณที่แอนนาเบลชี้ให้ดู
...ไม่ใช่เพื่อค้นหาเข็มกลัดที่ไม่มีอยู่จริง แต่เพื่อหามุมสงบๆ ผ่อนคลายตัวเองเสียบ้าง...
ท่ามกลางงานเลี้ยงโอ่อ่า คลาคล่ำด้วยชนชั้นสูงแต่งกายสวยสด สิ่งเดียวที่ดึงดูดให้ไซรัสมองตามได้ กลับมีเพียงหญิงอ่อนเยาว์ในชุดราตรีเปล่งประกายดุจทองคำเท่านั้น และบัดนี้ สิ่งนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนหายไป ราวกับเธอเป็นเพียงภาพฝันไร้ตัวตน
เขามองตามเธออยู่นาน นานจนพริสซิลล่าทนรอให้เขาชวนคุยตามแบบอย่างกุลสตรีไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายหาหัวข้อสนทนาเสียเอง
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”
ประโยคแปลกประหลาดจากพริสซิลล่า ดึงให้เขาได้สติ
พอเห็นไซรัสเบนสายตากลับมามองคล้ายตั้งคำถาม เจ้าหล่อนก็ขยับริมฝีปากประดับเครื่องสำอางสีแดงจัดบอก น้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“แหม ก็เห็นคุณมองเหม่ออยู่ตั้งนานนี่คะ”
หลังเข้าสังคมชั้นสูงในอาณาจักรเวเนเซียมาได้พักใหญ่ ไซรัสโดนสุภาพสตรีมากหน้าหลายตาเรียกความสนใจด้วยน้ำเสียงแบบนี้จนชินชา เขาย่อมรู้ดี ว่าพวกหล่อนเติบโตมาอย่างได้รับการเอาใจใส่ จึงเสพติดการมีคนคอยใส่ใจให้ความสำคัญ พอออกจากคฤหาสน์มาพบเจอใครๆ ก็เลยคอยแต่จะอยากให้ทุกคนมาเอาอกเอาใจตลอดเวลา
เขาไม่ได้ชอบพฤติกรรมลักษณะนี้ แต่ก็ใช้ชีวิตมามากพอจนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไม่มีค่าพอให้นึกรำคาญ ที่เขาเลือกทำจึงมีเพียงคลี่ยิ้มให้ ก่อนชวนคุยเรื่องที่เขาอยากคุยด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้ม
“ท่านเจ้ากรมสบายดีใช่ไหมครับ”
พริสซิลล่าจ้องตาเขาแล้วถอนหายใจยาว หล่อนช้อนตาใส่เขาเหมือนจะตำหนิ ก่อนตอบ “คุณพ่อท่านสบายดีค่ะ”
“ดีจริง...คราวก่อนตอนดื่มชาด้วยกัน ท่านเจ้ากรมบ่นว่าสุขภาพไม่สู้ดีนัก ผมก็เลยเป็นห่วง”
“เพราะพวกเราช่วยกันดูแล ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรน่ะค่ะ”
“ช่วงนี้ที่คฤหาสน์เงียบสงบดีใช่ไหมครับ” เขายังคงถามต่อไป
“ก็ปกติดีค่ะ ติดจะเงียบจนน่าเบื่อด้วยซ้ำ” ตอบแล้วคุณหนูคนโตก็ยกพัดขึ้นโบก ฝืนยิ้มอ่อนหวานทั้งที่แววตาเต็มไปด้วยร่องรอยความขัดใจ “แหม...แปลกนะคะ วันนี้คุณถามเยอะเสียจริง”
แปลกจริงๆ นั่นล่ะ...ไซรัสเองก็เห็นด้วย
ทีแรกเขาก็ไม่ได้เอะใจ แต่พอโดนทักแบบนี้ พ่อค้าหนุ่มก็เริ่มคิดว่าตอนนี้ตัวเองพูดจาอะไรตรงไปตรงมาเกินไป ไม่ใช่วิสัยเลยสักนิด
หรือเพราะดื่มเหล้าหมักผลไม้มากเกินไป...
ไม่...ไม่ใช่แน่ เขารู้จักตัวเองดี
พ่อค้าหนุ่มลองยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นสูดดม ก่อนจรดขอบแก้วที่ริมฝีปากแล้วลิ้มรสเหล้าหมักอีกเพียงน้อยนิด เพื่อควานหาสิ่งผิดปกติ
ตอนนั้นเอง สายตาไซรัสก็สบเข้ากับสายตา คาร์ล วิลส์ตัน
ชายคนนั้นคลี่ยิ้มพลางยกแก้วให้เขาคล้ายตั้งใจชวนดื่มฉลอง
ดูเป็นกิริยาปกติ สีหน้าแววตาไร้แววชวนสงสัย แต่เพราะจู่ๆ ก็เกิดมึนงงชั่วขณะ พ่อค้าหนุ่มจึงอดคิดไม่ได้ว่าท่าทีนั้นได้จังหวะสอดคล้องเกินไป
แค่เพราะไม่ได้กลิ่น ไม่รู้สึกถึงรสชาติแปลกแปร่งในแก้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเจือปน
เขาไม่คิดว่าคาร์ลจะกล้าวางยาพิษกลางงานเลี้ยงแบบนี้ เพียงแต่อาการประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุชวนข้องใจว่าเขาอาจโดนวางยาอะไรสักอย่าง แต่จะโดยใคร...ใช่คาร์ลหรือไม่...ทำไปเพื่ออะไร เขายังไม่แน่ใจนัก
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”