“คิดว่าทำทันไหม” พริสซิลล่าถาม น้ำเสียงเป็นห่วง
“ทันค่ะ ดิฉันจะพยายาม”
“ดี” ท่านผู้หญิงคลี่ยิ้มกว้าง ทั้งที่แววตาไม่ได้ยิ้ม “แก้ไขทันหรือไม่ทัน ครบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ออกมาปรากฏตัวหน่อยนะจ๊ะ อย่าทำให้ฉันกับท่านเจ้ากรมต้องเป็นห่วง...เข้าใจไหม”
“ค่ะ” เข้าใจ
เธอเข้าใจ...เข้าใจดีเลย ว่าถ้าหนนี้แก้ชุดไม่ทันแล้วไม่ได้ไปงานเลี้ยง ท่านผู้หญิงก็ต้องหาทางพูดให้เธอเป็นคนผิดเองจนได้
มันจะอะไรกันนักหนา กับแค่งานเลี้ยงหรูหราในวัง...
ทำอย่างกับว่าถ้าทุกคนได้ไปงานเลี้ยงแล้วจะกลายเป็นเจ้าหญิงอย่างนั้นแหละ
“คุณหนูคะ” มาธาก้าวเข้ามาบีบมือเธอหลังจากสตรีชั้นสูงสามคนคล้อยหลัง แล้วกระซิบ “เรายังมีตัวช่วยอยู่นะคะ...แม่ดิฉันเคยบอกความลับที่กำชับไว้ว่าห้ามปริปากบอกใคร ตอนป่วยหนักใกล้สิ้นใจ หล่อนบอกว่าคุณท่านเคยตัดชุดราตรีงดงามมากให้คุณแม่คุณหนู”
“อะไรนะคะ” ประโยคที่ได้ยิน ทำเอาอัยน์นาแทบไม่เชื่อหู
ตัดให้...? ตัดทำไม?
“เป็นชุดสีขาว สวยงามมาก ปักตกแต่งด้วยดิ้นทอง...แต่คุณแม่คุณหนูท่านไม่เคยสวม แม่ดิฉันเล่าว่าแอบเห็นเธอเอาไปฝังไว้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน บางทีถ้าเราช่วยกันหา...”
พอได้ยินเท่านั้น อัยน์นาก็พุ่งออกจากห้องเก็บของ มุ่งหน้าเข้าหาสวนกุหลาบด้านหลังคฤหาสน์ทันที
บิดาเธอรักสวนกุหลาบนี้มากกว่าทุกส่วนในคฤหาสน์แกรนเทรนท์ ถ้าจะมีสถานที่ไหนที่แม่เธอนำชุดราตรีชุดนั้นมาฝังไว้...ก็ต้องเป็นที่นี่
คุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์กวาดสายตาไปรอบๆ พยายามคิดว่าถ้าตัวเองเป็นแม่ จะเอาของนั่นไปฝังไว้ตรงไหน
ฉับพลัน ดวงตาคู่คมก็ไปหยุดลงตรงพุ่มไม้ดัดรูปเทพธิดา
ที่ผ่านมา เธอผ่านสวนนี้บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยเฉลียวใจเลย ว่าไม้ดัดใจกลางสวน ตัดแต่งเป็นรูปสตรีผมหยักศกสยายยาว เหมือนเธอ...เหมือนแม่
เจ้าของร่างอ้อนแอ้นวิ่งไปทรุดตัวลงนั่งต่อหน้าเทพธิดาสีเขียวสดใสทันที ยิ่งจ้องมองใกล้ๆ แบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม้ดัดพุ่มนี้ดูคล้ายภาพเงาตัวเองยามสะท้อนบนผิวน้ำ
“แม่...” อัยน์นาเปล่งเสียงแผ่วเบา
วินาทีนั้น จู่ๆ สายลมแรงก็หมุนคว้างโอบรอบตัวเธอ ชวนให้รู้สึกเหมือนอ้อมกอดจากมารดา เรียกน้ำตาขึ้นคลอเบ้าอย่างช่วยไม่ได้
ไม่กี่อึดใจถัดมา มาธาก็ตามมาถึงพร้อมพลั่ว
“คุณหนูคะ”
“ตรงนี้ค่ะ” เธอรีบบอก “ฉันว่าน่าจะเป็นตรงนี้”
พออัยน์นาว่าจบ มาธาก็รีบประคองเธอให้ลุกถอยออกห่าง แล้วเริ่มขุด
ทีแรกที่ลงพลั่ว ต้นห้องสาวสามารถขุดและตักดินขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่พอขุดลึกลงไปหน่อย เนื้อดินก็เริ่มแห้งและแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนขุดต่อไปไม่ไหว
“คุณนายน้อยอาจไม่ได้ซ่อนชุดไว้ที่นี่ก็ได้” คนลงแรงขุดมานานพยายามควบคุมลมหายใจหอบถี่ให้เป็นปกติ ก่อนปลอบคุณหนูคนสำคัญ “เดี๋ยวเราไปช่วยกันแก้ชุดราตรีเก่าแล้วแต่งตัวให้คุณหนูใหม่กันดีกว่านะคะ...คฤหาสน์นี้กว้างขวาง แม่ดิฉันเล่าว่าคุณแม่คุณหนูเป็นคนความคิดลึกล้ำ เก็บงำความรู้สึกเก่ง...เธออาจจะคิดอะไรไม่เหมือนเราก็ได้”
“ที่นี่เป็นที่ที่คุณพ่อรักแถมยังปลีกตัวลงจากตึกใหญ่มาหาบ่อยที่สุด ผู้หญิงที่ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งจากหัวใจจนยอมได้ทุกอย่างจะคิดอะไรกันคะ นอกจากอยากอยู่ใกล้ๆ ผู้ชายคนนั้นตลอดไป” อย่างน้อยๆ เธอก็เชื่อว่ามารดารักท่านเจ้ากรม
รักจนยอมเป็นภรรยาลับ...รักจนยอมลงให้ท่านผู้หญิงเสียทุกอย่าง...รักจนตัวตาย
อัยน์นาทรุดตัวลงนั่งที่เก่า น้ำตาจากหัวใจไหลรินเป็นสาย
เธอไม่ได้เสียดายหรืออยากได้ชุดแสนสวย ไม่ได้เสียใจที่อาจไม่ได้ไปงานเลี้ยง แต่ที่เธอร้องไห้ เป็นเพราะชุดนั้นอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้ากรมการเมืองรักแม่ผู้ให้กำเนิดเธอหรืออย่างน้อยก็ให้ความเอาใจใส่กว่าที่ใครจะคาดคิด แถมครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าอยู่ใกล้แม่ถึงขนาดนี้
ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกแบบที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมาค้นพบว่ามันเป็นเพียงความคิดไร้ข้อพิสูจน์...เหมือนเธอแค่คิดไปเองเท่านั้น
ชุดราตรีสีขาวปักลายทอง...ของแบบนั้น ผู้ชายจะสั่งตัดเพื่อผู้หญิงที่ไม่อาจพาออกหน้าออกตาไปงานเลี้ยงทำไม ถ้านั่นไม่ใช่ชุดที่ผู้หญิงมีคนรักทุกคนเฝ้าฝันหา
เธอแน่ใจว่าตัวเองคิดไม่ผิด
ถ้าจะมีชุดแบบนั้นอยู่จริง ชุดนั่นก็คือชุดเจ้าสาว
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”