ไซรัสนึกภาพตามได้ไม่ยาก “แล้วเรื่องนั้นมีมูลความจริงสักกี่มากน้อย?”
“ไม่มีมูลเลยสักนิด” อารีตอบโดยไม่ต้องคิด “หลังรู้ข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นโดนเผาทั้งเป็น คงเพราะค้างคาใจ ลูคัสถึงได้ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามผู้คนไปทั่ว เจ้านั่นเที่ยวสืบเสาะจนรู้ว่าพยานที่มาให้การล้วนเป็นพวกละโมบโลภมาก ส่วนหลักฐานที่พวกเขาใช้ปรักปรำผู้หญิงโชคร้ายนั่นก็เป็นข้าวของที่ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านรู้เห็นว่าเป็นของผู้หญิงคนนี้...พยานคนหนึ่งยังเคยหลุดปากพูดตอนลูคัสหลอกเลี้ยงเหล้า ว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีลาภลอย เพราะจู่ๆ ก็มีคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครมาจ้างวานให้ไปให้การคดีที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...แค่ยอมไปตอบว่า ‘ใช่ขอรับ’ เท่านั้น ก็ได้ของมีค่ามากมาย”
“ช่างหยาบช้าดีแท้” ไซรัสออกความเห็นเรียบๆ สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ตอนนี้มนุษย์ประนามว่าสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาเป็นปีศาจร้ายกาจจอมเจ้าเล่ห์ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ ว่าใครกันแน่ที่ชั่วร้ายมากเล่ห์กว่ากัน”
พูดแล้วไซรัสก็อดนึกถึงสภาพน่าขันของโลกนี้ไม่ได้
ทั้งๆ ที่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกมากมายที่ดูแตกต่างจากมนุษย์ แต่พวกเขากลับเลือกชิงชังสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับ แล้วอุปโลกน์ไปว่า สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากตนชนิดนี้ เป็นสิ่งชั่วร้าย
ไซรัสคิดว่า ที่มนุษย์ชิงชังสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาอาจเป็นเพราะพวกเขาพบว่าเผ่าพันธุ์ที่ตนไม่รู้จักเหล่านี้มีทั้งพละกำลัง มนตรา มันสมอง และวิทยาการ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่ดูจะเหนือกว่าพวกเขาทุกด้าน และความเหนือกว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ ก็ทำให้มนุษย์ซึ่งหลงคิดว่าตนเองเป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิวัฒนาการและห่วงโซ่อาหารรู้สึกไม่ปลอดภัย
เมื่อรู้สึกว่าอาจไม่ปลอดภัย ก็หวาดกลัว
เมื่อหวาดกลัว ก็กล่าวโทษ
ไม่เพียงกล่าวโทษเท่านั้น ทุกวันนี้มนุษย์ยังคิดเอาชนะความกลัวในใจด้วยการทำลายล้างเผ่าพันธุ์โบราณหลังแนวเขาอีกด้วย
“เป็นสิ่งมีชีวิตจากดินแดนเร้นลับอะไรนั่นมันย่ำแย่นักรึ เมื่อก่อนมนุษย์ยังเคยนับถือบางพวกในดินแดนนั้นว่าเป็นเทพ เทวดา เสียด้วยซ้ำ เท่าที่ฟังมา นอกจากรูปกายภายนอก ข้าไม่เห็นว่าพวกเผ่าพันธุ์โบราณจากดินแดนเร้นลับทั้งหลายกับมนุษย์จะแตกต่างกันตรงไหน”
อารีจ้องมองไซรัสด้วยแววตาไม่สบายใจ เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่โดนเสียงแปลกแปร่งตามประสาเด็กแตกเนื้อหนุ่มจากโทมัสดังขัดขึ้นเสียก่อน
“นายท่าน” เด็กหนุ่มผมทองตัดสั้นเอ่ยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ “คนของท่านเจ้ากรมการคลังรอท่านอยู่ข้างล่าง พวกทหารทั้งนั้น มากันเต็มไปหมด!”
เจ้าของอาคารเดินนำผู้ติดตามผิวสีและเด็กหนุ่มผมทองลงไปยังโถงกว้างด้านล่าง ซึ่งเปิดเป็นร้านซื้อขายเครื่องประดับและแพรพรรณ
ทันทีที่ชายเจ้าของกิจการปรากฏตัว นายทหารรูปร่างท้วมก็ลุกจากม้านั่งที่จัดไว้ให้ลูกค้า แล้วปราดเข้าหาชายหนุ่มด้วยท่าทีขึงขัง
“คุณรึ เจ้าของตึกหลังนี้คนใหม่”
“ถูกแล้ว” ไซรัสตอบด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งขุนนางใหญ่ ทำเอาหัวคิ้วอีกฝ่ายขมวดมุ่นเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
“คุณคงมาจากอาณาจักรอัสกันด์” นายทหารร่วงท้วมเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก และไซรัสก็พอใจจะปล่อยให้นายทหารตรงหน้าเลือกเชื่อเอาตามที่คิด
“คนของผมบอกว่าคุณเป็นคนของท่านเจ้ากรมการคลัง ไม่ทราบว่าท่านเจ้ากรมมีธุระอะไรกับผม ถึงต้องส่งทหารในจวนมามากมายเพียงนี้” เขาจงใจเลือกใช้สำนวนการพูดการจาอย่างชนชั้นสูง
นั่นทำให้รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าอารีและลูคัส ผู้แม้จะเป็นชนชั้นล่างทั้งคู่ แต่ก็สามารถช่วยให้คนที่มีข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวคือเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นคนชนชั้นล่างจากต่างแดนอย่างเขา สามารถเรียนรู้วิถีแห่งชนชั้นสูงของอาณาจักรนี้ได้ในเวลาแค่ไม่ถึงเดือน
“หามิได้ สายข่าวเรารายงานว่ามีชาวเมืองกลุ่มนึงลักลอบสั่งสมสินค้าอันตราย อาทิ ดินปืน น้ำมันดิน ท่านเจ้ากรมการคลังเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสินค้าและการคลังที่ท่านดูแล ก็เลยส่งผมมาตรวจตรา” นายทหารล้วงมืออวบอูมหยิบซองจดหมายสีขาวออกมายื่นให้เจ้าของอาคาร “ท่านเจ้ากรมการคลังทราบอยู่ก่อนแล้ว ว่ามีพ่อค้าอัญมณีและแพรพรรณจากต่างแดนเพิ่งเปิดร้านรวงใหญ่โตในย่านร้านค้า ท่านใคร่เชิญคุณไปงานเลี้ยงระดมทุนที่คฤหาสน์ แต่ไม่ต้องการใช้บ่าวไพร่สามัญมาเชิญคุณ ครั้นจะเดินทางมาด้วยตัวเองก็ติดเรื่องที่ช่วงนี้ภารกิจมากมายนัก ประเหมาะเคราะห์ดีเห็นว่าผมต้องมาที่นี่พอดี ก็เลยไหว้วานให้ผมถือเทียบมาเชิญคุณด้วยตัวเอง”
ไซรัสก้มมองตราประทับขุนคลังบนครั่งสีชาดแล้วถาม “ไม่ทราบว่าท่านเจ้ากรมการคลังมีอัญมณีที่พึงใจเป็นพิเศษบ้างหรือไม่?”
“ช่วงนี้ท่านเจ้ากรมการคลังดูจะสนใจทับทิมเป็นพิเศษ”
คำตอบนี้ทำให้ไซรัสรู้ในทันที ว่าข่าวการค้นพบทัมทิมเม็ดเขื่อง คงแพร่ไปถึงหูขุนคลังรายนี้แล้ว
“แล้วคุณล่ะ”
คำถามถัดมาทำเอานายทหารร่างท้วมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่
“ผมชอบอัญมณีทุกชนิด พวกมันสวยงามกันคนละแบบ”
“ลูคัส” ไซรัสเหลียวมองไปทางชายรูปร่างสูง โปร่ง ผมสีน้ำตาลตัดสั้น ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงขายาว สวมทับเสื้อเชิ้ตด้วยเสื้อกั๊กอย่างพวกศิลปิน
ไม่นานนัก ชายร่างสูงก็ถือหีบไม้สีแดงคล้ำเหมือนเลือดแห้งออกมาหานายทหาร
“ในนี้มีแหวนประดับอัญมณีน้ำงามสำหรับสุภาพบุรุษอยู่หลายวง” ไม่ต้องรอให้ไซรัสพูดจบประโยคดี ลูคัสก็เปิดหีบต่อหน้านายทหารร่างท่วมอย่างรู้งาน “คุณเป็นทหารที่ทำงานหนักเพื่อผู้คนในอาณาจักร นี่เป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจเล็กน้อยจากผม เชิญคุณเลือกหยิบไปหนึ่งวงได้ตามใจ จะหยิบเผื่อภรรยาด้วยอีกวงก็ได้”
“คุณนี่ช่างเป็นสุภาพบุรุษที่ใจกว้างสมคำร่ำลือ” คนได้ของกำนัลรีบเลือกหยิบแหวนจากในหีบด้วยท่าทีที่ดูกระตือรือร้น คล่องแคล่ว ไม่มีอาการกระดากอายหรือตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด
ทหารในจวนเจ้ากรมการคลังช่างรับของกำนัลคล่องแคล่วนัก...เขาประเมินจากผลการทดสอบตรงหน้า
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไซรัสพบว่า แม้แต่พ่อค้าที่ล้วนรู้ราคาของและมุ่งหวังทรัพย์สินเงินทองกว่าสิ่งใด ก็ยังรู้จักเกรงใจและลังเลเมื่อมีใครใคร่มอบของกำนัล
การที่นายทหารจากจวนขุนคลังคุ้นชินกับการรับของกำนัล ก็คิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ตาถึงนัก” ไซรัสเอ่ยชมแกมประชด เมื่อเห็นชายร่างท้วมสวมแหวนเนื้อเงินรมดำประดับอัญมณีสีใสบนนิ้วชี้ “วงที่ท่านถืออยู่ ถึงหัวแหวนจะดูเล็กกว่าเพื่อน แต่วงนั้นแพงที่สุดในหีบ มันเป็นแหวนประดับเพชร น้ำงามมากทีเดียว”
“เพชรรึ!”
“วงนี้มีวงที่เข้ากันอยู่อีกวง” เจ้าของกิจการค้าเครื่องประดับและแพรพรรณหยิบแหวนสีเงินเกลี้ยงเกลาประดับเพชรเม็ดสวยส่งให้นายทหาร “เรือนแหวนเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับสุภาพสตรี ภรรยาคุณน่าจะชอบ”
นายทหารมองแหวนทั้งสองวงด้วยแววตาเป็นประกาย
“คุณช่างใจกว้างเหลือเกิน ทำการค้าแบบนี้สิดี ไม่นานนักคุณต้องกลายเป็นที่รักของคนทั้งเมือง ทุกคนจะรักคุณ เชื่อผมสิ!” ว่าจบ ชายร่างท้วมก็หัวเราะร่าแล้วเดินเข้าจับมือเจ้าของอาคารดั่งมิตรชิดใกล้ “ช่วงนี้ผมมีธุระต้องออกนอกเมือง เราอาจไม่ได้พบกันอีกสักพัก” ไม่ทันทีที่ไซรัสจะได้ตอบอะไร ชายร่างท่วมก็ตบต้นแขนเขาเบาๆ เหมือนสนิทสนมกันมาแรมปี “พบกันในงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ท่านเจ้ากรมการคลัง สหาย ไปให้ได้ อย่าให้ผมกับท่านเจ้ากรมผิดหวังล่ะ ผมล่ะอยากแนะนำคุณให้คนอื่นๆ รู้จักนัก เมืองนี้สมควรได้รู้จักพ่อค้าใหญ่ใจกว้างเช่นนี้ ท่านเจ้ากรมการคลังเองก็คงคิดไม่ต่างกัน”
ไซรัสยิ้มน้อยๆ เป็นการตอบรับ
“วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน” ชายร่างท้วมเหลียวมองลูกค้าทุกรายในร้านแล้วค้อมหัวให้ทุกคนเล็กน้อย ราวกับต้องการขอโทษขอโพยที่พาทหารมากมายเข้ามาเดินเกะกะ ก่อนจะพาทหารชั้นผู้น้อยทั้งหมดเดินออกจากอาคารไปด้วยรอยยิ้ม
รีบร้อนกลับ ทำเหมือนกลัวคนให้ของจะเปลี่ยนใจ
“เหอะ...หมูสกปรก” โทมัสพึมพำทันทีที่พวกทหารคล้อยหลัง “นายท่านไม่น่าให้แหวนราคาแพงสองวงนั่น” เด็กหนุ่มบ่นอย่างอดไม่ได้ “ข้ารู้จักเจ้านั่น มันเป็นลูกพี่ลูกน้องของภรรยาท่านเจ้ากรมการคลัง ไม่มีความสามารถอะไร ไม่เคยออกรบ ว่ากันว่าได้เป็นทหารยศใหญ่โตเพราะเส้นสาย วันๆ ไม่ทำอะไร นอกจากคอยรีดไถ คอยทำงานสกปรกๆ ให้เจ้ากรมการคลัง”
อารีทำท่าจะออกปากดุ แต่ไซรัสส่งสัญญาณมือห้ามไว้
“เจ้าควรเรียนรู้ที่จะเก็บอารมณ์เสียบ้าง” เจ้าของกิจการหนุ่มเหลียวมองรอบตัว เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนอยู่ห่างไกล ทั้งยังกำลังง่วนอยู่กับการซื้อขายไม่มีใครใส่ใจมองมาทางนี้เลยสักคน เขาก็ย่อตัวลงในระดับสายตาเด็กหนุ่ม แล้วสอนสั่ง “จำไว้ให้ดี โทมัส การผูกมิตรไม่ใช่เรื่องเสียหาย คนเราไม่ว่าจะทำการค้าหรือทำงานใด ผูกมิตรไว้ก่อนเป็นดี ดูแต่นกบนฟ้าสิ ไม่ว่าจะตัวใหญ่หรือเล็กก็ล้วนแต่มีขน เพราะอะไร เจ้ารู้ไหม?”
“เพราะนั่นเป็นธรรมชาติของมัน”
“ผิดแล้ว ที่มันต้องมีขน เป็นเพราะมันจำเป็นต้องมีขน” เขาลุกขึ้นยืน แล้วจูงมือเด็กหนุ่มเดินกลับขึ้นบันได ปากก็พร่ำสอนต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แม้จะราบเรียบ แต่กลับฟังดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด “ขนทุกส่วน โดยเฉพาะขนปีกช่วยให้มันบินได้” เขายังคงกล่าวต่อไป “ไม่เพียงเท่านั้น ขนยังช่วยปกป้องมันจากสภาพแวดล้อม นกตัวไหนไม่มีขน ยามเจอลมพายุก็หนาวสั่น ยามเผชิญอากาศร้อนก็แสบเนื้อแสบตัว”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างรากฐานที่ท่านเคยพูดถึงใช่ไหม?” เด็กหนุ่มถาม
“ใช่” เขาหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองภาพลูกค้ามากมายเดินขวักไขว่อยู่ในโถงด้านล่าง “ลูกค้าเหล่านี้เองก็เป็นขน เครือข่ายผู้ค้ารายย่อยที่ข้าเพิ่งรวบรวมได้ก็เป็นขน”
“แล้วท่านก็จะได้ขนปีกเส้นใหม่ๆ อีกมากจากงานเลี้ยงของ ‘ท่านเจ้ากรมการคลัง’ ”
“ถูกต้อง” ไซรัสมองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตามาดหมาย “เพื่อการใหญ่ เราอาจต้องฝืนใจบ้าง อาจต้องสวมหน้ากากบ้าง...แต่เชื่อเถอะ ผลประโยชน์ที่ตามมา มันจะคุ้มค่าแน่นอน”
รถม้าสีดำสนิทเทียมม้าขาวลักษณะดีเคลื่อนผ่านประตูรั้วเหล็กดัดแสนกว้างขวาง มุ่งหน้าเข้าหาคฤหาสน์หลังเขื่อง ซึ่งซุกตัวอยู่ท่ามกลางสวนวงกตและพันธุ์ไม้ไร้ดอกอย่างเชื่องช้า ทันทีที่รถม้าเคลื่อนถึงประตูทางเข้าคฤหาสน์ ไซรัสก็พบว่าเจ้าบ้านจัดให้คนรับใช้และทหารในสังกัดออกมายืนเรียงแถวรอต้อนรับแขกที่ได้รับเชิญอย่างเป็นระเบียบ ทันทีที่รถม้าจอดสนิท ลูคัสก็รีบถือกล่องของกำนัลลงจากรถม้า แล้วยืนรอไซรัสด้วยท่าทีเคารพยิ่ง “ไซรัส เจ้าของกิจการอัญมณีและแพรพรรณ” ไซรัสแนะนำตัวสั้นๆ ให้ชายเครางามที่ดูคล้ายจะเป็นหัวหน้าคณะต้อนรับแขก แล้วชายคนนั้น ก็ขานชื่อเขาเสียงดังกังวาน “ไซรัส เจ้าของกิจการอัญมณีและแพรพรรณ ผู้ปราดเปรื่องและกว้างขวาง” ประโยคนั้นดึงความสนใจจากแขกเหรื่อได้ทั้งงาน ไม่ทันที่คนรับใช้ชายจะนำทางไซรัสเดินเข้าข้างใน นายทหารร่างท้วมที่เคยได้รับแหวนเพชรเป็นของกำนัลก็รีบปราดเข้ามาจับมือทักทายเขาอย่างสนิทสนม “มาเสียที” เขาสวมกอดไซรัสราวกับเป็นมิตรสหายที่รักใคร่กันมานาน “ไป ไปพบท่านเจ้ากรมการคลังกับคนอื่นๆ กั
ภายในห้องโดยสารบนรถม้า ไซรัสเคาะบัตรเชิญงานเลี้ยงที่คฤหาสน์เจ้ากรมการคลังในมือไป ภายในใจก็จินตนาการภาพงานเลี้ยงระดมทุนไป ยิ่งจินตนาการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสงสัย ว่าคืนนี้ เขากับ ลูคัส ที่วันนี้รับบทผู้ติดตาม จะต้องอดทนเข้าสังคมชั้นสูงของเวเนเซียนานแค่ไหน พ่อค้าหนุ่มเหลียวมองผู้ติดตามที่นั่งตัวเกร็งอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเหยียดยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าแม้แต่ลูคัสที่ดูจะมีท่าทีสงบ คุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้ติดตามทั้งหมด แถมยังเข้ากันกับลูกค้าชั้นสูงได้อย่างดีเยี่ยม ยังรู้สึกอึดอัดกังวลได้ขนาดนี้ คำเล่าลือที่ว่าอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรบ้าพิธีรีตองจนน่าเบื่อ คงเป็นเรื่องจริง“ทำใจให้สบายเถอะ ถ้าอึดอัดก็เดินเข้าไปในงานแค่พอเป็นพิธี ทนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็หลบออกมานั่งรอที่รถม้าก็ได้” ไซรัสบอกผู้ติดตามเรียบๆ เรียกรอยยิ้มโล่งใจให้ผุดพรายบนใบหน้าคนฟังท่ามกลางความเงียบงันในบทสนทนา รถม้าเนื้อไม้สีดำสนิท แกะสลักขอบบนและล่างตัวห้องโดยสารด้วยลวดลายคล้ายน้ำเต้า...ผลไม้จากแดนใต้เรียงซ้อนกันเป็นแถวตามแนวยาว เคลื่อนไปตามถนนปูอิฐอย่างไม่เร่งรีบ ส่งผลให้ผู้โดยสารทันได้ยินเสียงน
ไซรัสนึกภาพตามได้ไม่ยาก “แล้วเรื่องนั้นมีมูลความจริงสักกี่มากน้อย?” “ไม่มีมูลเลยสักนิด” อารีตอบโดยไม่ต้องคิด “หลังรู้ข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นโดนเผาทั้งเป็น คงเพราะค้างคาใจ ลูคัสถึงได้ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามผู้คนไปทั่ว เจ้านั่นเที่ยวสืบเสาะจนรู้ว่าพยานที่มาให้การล้วนเป็นพวกละโมบโลภมาก ส่วนหลักฐานที่พวกเขาใช้ปรักปรำผู้หญิงโชคร้ายนั่นก็เป็นข้าวของที่ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านรู้เห็นว่าเป็นของผู้หญิงคนนี้...พยานคนหนึ่งยังเคยหลุดปากพูดตอนลูคัสหลอกเลี้ยงเหล้า ว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีลาภลอย เพราะจู่ๆ ก็มีคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครมาจ้างวานให้ไปให้การคดีที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...แค่ยอมไปตอบว่า ‘ใช่ขอรับ’ เท่านั้น ก็ได้ของมีค่ามากมาย” “ช่างหยาบช้าดีแท้” ไซรัสออกความเห็นเรียบๆ สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ตอนนี้มนุษย์ประนามว่าสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาเป็นปีศาจร้ายกาจจอมเจ้าเล่ห์ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ ว่าใครกันแน่ที่ชั่วร้ายมากเล่ห์กว่ากัน” พูดแล้วไซรัสก็อดนึกถึงสภาพน่าขันของโลกนี้ไม่ได้ทั้งๆ ที่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอี
“ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกนั้นจะยอมง่ายๆ” เสียงจากอารี เรียกให้ชายร่างสูงท่าทีภูมิฐานในห้องทำงานเรียบหรูดูกว้างขวาง ละความสนใจจากเอกสารบัญชีเขาวางปากกาหมึกซึมด้ามจับเงางาม เงยหน้ามองชายผิวสีตรงหน้า แล้วขยับริมฝีปากหยัก ดูคมคาย ถามด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งรูปปั้น“พวกพ่อค้าอัญมณีรายย่อยทั้งหมดตอบรับแล้วใช่ไหม”“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการ มีสองสามรายลังเลไม่อยากเซ็นชื่อในสัญญาค้าขายกับท่านเพราะระแวงว่าวิธีการที่ท่านกำหนดให้กระจายสินค้าจะทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ แต่พอข้าจะขอตัวกลับเท่านั้น พวกเขาก็รีบตอบรับ ยอมเซ็นสัญญาทันที”อารีตอบพลางก้าวเข้ามายื่นปึกหนังสือสัญญาให้เขา“ไม่เปิดม่านรึ?” ชายผิวสีถามพลางเหลียวมองม่านสีดำหนาทึบด้วยความประหลาดใจ “ท่านนี่ก็แปลก ฝั่งตรงข้ามมีหอนางคณิกาเลื่องชื่อ มีสาวๆ สวยๆ อยู่นับไม่ถ้วน กลับไม่ชายตาแลสักนิด พวกนางรึออกจะคอยสอดส่องมองท่านอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะซามีร่า ดูท่านางจะพึงใจท่านไม่น้อย ลือกันว่าถ้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ท่านไม่ชายตาแล นางจะงัดเอายาปลุกกำหนัดที่ช่วงนี้ซื้อขายกันลับๆ ในตลาดมืดมามอมเมาท่านทีเดียว”“ผู้หญิงมักมาพร้อมเรื่องยุ่งยาก” เจ้าของห้องต
เสียงพิณหวานปนเศร้าดังขึ้นในวินาทีนั้นเมื่อคนเป็นนักดนตรีบรรเลงเพลงได้สักพัก อัยน์นาก็สังเกตเห็นหยาดเหงื่อเม็ดโตค่อยๆ ผุดพรายบนใบหน้า เธลม่า แกรนเทรนท์ ทั้งๆ ที่ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองคนนี้ มักฉาบเครื่องสำอางเอาไว้อย่างแน่นหนาดูท่า ท่านผู้หญิงเองก็คงเคยได้ยินนิทานเพลงเรื่องนี้มาก่อน‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทราย... มารดานางตายจากแต่ยังเยาว์’“หยุดนะ” เสียงสั่งจากภรรยาเจ้าบ้าน ทำเอานักแสดงทั้งสองหยุดชะงักแต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่การแสดงหยุดลง ขุนนางสูงวัยก็ออกคำสั่งให้รีบแสดงต่อทันที“เอาใหม่ ร้องให้จบ” ท่านเจ้ากรมการเมืองสั่งเสียงเข้ม‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทรายมารดานางชิงตายจากแต่ยังเยาว์บิดามากภาระฝากแม่เลี้ยงเลี้ยงดูเจ้า เรื่องน่าเศร้าจึงเกิดขึ้นกับโฉมตรู’ “นี่มันอะไรกันคะ ริชาร์ด คุณเรียกกวีสกปรกนี่มาทำไม?” ท่านผู้หญิงแกรนเทรนท์กำมือแน่น ท่าทางจะโกรธจัด แต่ยังพยายามรักษาสมบัติผู้ดี “ฟังต่อให้จบ” ขุนนางสูงวัยสั่งเสียงเข้ม สีหน้าเครียด ดูเคร่งขรึม “นิทานเรื่องนี้กำลังเป็นที่นิยมเชียวล่ะ
เธอทำสำเร็จ อัยน์นาแน่ใจว่าอย่างนั้นตั้งแต่วินาทีที่หญิงรับใช้ในคฤหาสน์มาแจ้งว่าท่านเจ้ากรมการเมือง ริชาร์ด แกรนเทรนท์ ประกาศเรียกตัวเธอ กับท่านผู้หญิงเธลมา แกรนเทรนท์ และสองศรีพี่สาวต่างมารดาของเธออย่างท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านหญิงแอนนาเบล ให้ไปรวมตัวกันที่ห้องหนังสือ เพื่อฟังนิทานที่นักขับลำนำคนหนึ่งพกพามายังคฤหาสน์แม่คะ...ดูอยู่ใช่ไหม เธอถามภาพหญิงสาวอ่อนเยาว์ คิ้วเรียวเข้ม ตาคม ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อดูอิ่มสวยเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม ไม่เพียงใบหน้าดูงดงามสมบูรณ์แบบเหมือนภาพวาด สตรีในสายตาเธอมีเส้นผมสีดำสนิทยาวหยักศกทิ้งตัวอย่างเป็นระเบียบจรดบั้นท้าย มองแล้วชวนให้นึกถึงนางพรายผิวขาวผ่องในตำนานของนักเดินเรืออัยน์นาไม่เคยเห็นหน้าแม่ แต่เธอคิดว่าแม่ผู้ให้กำเนิดคงหน้าตาไม่ต่างจากภาพสะท้อนในกระจกเงาตรงหน้าสักเท่าไหร่...“คุณหนูจะแต่งตัวแบบนี้จริงๆ เหรอคะ” หญิงรับใช้ถามเสียงเครียด “คุณท่านกำชับให้ดิฉันจัดหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้คุณหนูสวมก่อนไปพบท่านนะคะ”“ทำไมล่ะคะ”‘คุณหนู’ ลดสายตาลงมองชุดกระโปรงยาวสีขาวประดับลูกไม้ขาดๆ ด้วยแววตาเหมือนกวางน้อย ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นช่างดูซื่อใส เหมือ