Share

บทที่ 6

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-08-15 15:31:40

ไซรัสนึกภาพตามได้ไม่ยาก “แล้วเรื่องนั้นมีมูลความจริงสักกี่มากน้อย?”

                “ไม่มีมูลเลยสักนิด” อารีตอบโดยไม่ต้องคิด “หลังรู้ข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นโดนเผาทั้งเป็น คงเพราะค้างคาใจ ลูคัสถึงได้ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามผู้คนไปทั่ว เจ้านั่นเที่ยวสืบเสาะจนรู้ว่าพยานที่มาให้การล้วนเป็นพวกละโมบโลภมาก ส่วนหลักฐานที่พวกเขาใช้ปรักปรำผู้หญิงโชคร้ายนั่นก็เป็นข้าวของที่ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านรู้เห็นว่าเป็นของผู้หญิงคนนี้...พยานคนหนึ่งยังเคยหลุดปากพูดตอนลูคัสหลอกเลี้ยงเหล้า ว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีลาภลอย เพราะจู่ๆ ก็มีคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครมาจ้างวานให้ไปให้การคดีที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...แค่ยอมไปตอบว่า ‘ใช่ขอรับ’ เท่านั้น ก็ได้ของมีค่ามากมาย”

                “ช่างหยาบช้าดีแท้” ไซรัสออกความเห็นเรียบๆ สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ตอนนี้มนุษย์ประนามว่าสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาเป็นปีศาจร้ายกาจจอมเจ้าเล่ห์ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ ว่าใครกันแน่ที่ชั่วร้ายมากเล่ห์กว่ากัน”

                พูดแล้วไซรัสก็อดนึกถึงสภาพน่าขันของโลกนี้ไม่ได้

ทั้งๆ ที่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกมากมายที่ดูแตกต่างจากมนุษย์ แต่พวกเขากลับเลือกชิงชังสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับ แล้วอุปโลกน์ไปว่า สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากตนชนิดนี้ เป็นสิ่งชั่วร้าย

                ไซรัสคิดว่า ที่มนุษย์ชิงชังสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาอาจเป็นเพราะพวกเขาพบว่าเผ่าพันธุ์ที่ตนไม่รู้จักเหล่านี้มีทั้งพละกำลัง มนตรา มันสมอง และวิทยาการ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่ดูจะเหนือกว่าพวกเขาทุกด้าน และความเหนือกว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ ก็ทำให้มนุษย์ซึ่งหลงคิดว่าตนเองเป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิวัฒนาการและห่วงโซ่อาหารรู้สึกไม่ปลอดภัย

                เมื่อรู้สึกว่าอาจไม่ปลอดภัย ก็หวาดกลัว

                เมื่อหวาดกลัว ก็กล่าวโทษ

ไม่เพียงกล่าวโทษเท่านั้น ทุกวันนี้มนุษย์ยังคิดเอาชนะความกลัวในใจด้วยการทำลายล้างเผ่าพันธุ์โบราณหลังแนวเขาอีกด้วย

                “เป็นสิ่งมีชีวิตจากดินแดนเร้นลับอะไรนั่นมันย่ำแย่นักรึ เมื่อก่อนมนุษย์ยังเคยนับถือบางพวกในดินแดนนั้นว่าเป็นเทพ เทวดา เสียด้วยซ้ำ เท่าที่ฟังมา นอกจากรูปกายภายนอก ข้าไม่เห็นว่าพวกเผ่าพันธุ์โบราณจากดินแดนเร้นลับทั้งหลายกับมนุษย์จะแตกต่างกันตรงไหน”

                อารีจ้องมองไซรัสด้วยแววตาไม่สบายใจ เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่โดนเสียงแปลกแปร่งตามประสาเด็กแตกเนื้อหนุ่มจากโทมัสดังขัดขึ้นเสียก่อน

                “นายท่าน” เด็กหนุ่มผมทองตัดสั้นเอ่ยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ “คนของท่านเจ้ากรมการคลังรอท่านอยู่ข้างล่าง พวกทหารทั้งนั้น มากันเต็มไปหมด!”

                เจ้าของอาคารเดินนำผู้ติดตามผิวสีและเด็กหนุ่มผมทองลงไปยังโถงกว้างด้านล่าง ซึ่งเปิดเป็นร้านซื้อขายเครื่องประดับและแพรพรรณ                

                ทันทีที่ชายเจ้าของกิจการปรากฏตัว นายทหารรูปร่างท้วมก็ลุกจากม้านั่งที่จัดไว้ให้ลูกค้า แล้วปราดเข้าหาชายหนุ่มด้วยท่าทีขึงขัง

                “คุณรึ เจ้าของตึกหลังนี้คนใหม่”

                “ถูกแล้ว” ไซรัสตอบด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งขุนนางใหญ่ ทำเอาหัวคิ้วอีกฝ่ายขมวดมุ่นเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

                “คุณคงมาจากอาณาจักรอัสกันด์” นายทหารร่วงท้วมเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก และไซรัสก็พอใจจะปล่อยให้นายทหารตรงหน้าเลือกเชื่อเอาตามที่คิด

                “คนของผมบอกว่าคุณเป็นคนของท่านเจ้ากรมการคลัง ไม่ทราบว่าท่านเจ้ากรมมีธุระอะไรกับผม ถึงต้องส่งทหารในจวนมามากมายเพียงนี้” เขาจงใจเลือกใช้สำนวนการพูดการจาอย่างชนชั้นสูง

นั่นทำให้รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าอารีและลูคัส ผู้แม้จะเป็นชนชั้นล่างทั้งคู่ แต่ก็สามารถช่วยให้คนที่มีข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวคือเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นคนชนชั้นล่างจากต่างแดนอย่างเขา สามารถเรียนรู้วิถีแห่งชนชั้นสูงของอาณาจักรนี้ได้ในเวลาแค่ไม่ถึงเดือน

 “หามิได้ สายข่าวเรารายงานว่ามีชาวเมืองกลุ่มนึงลักลอบสั่งสมสินค้าอันตราย อาทิ ดินปืน น้ำมันดิน ท่านเจ้ากรมการคลังเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสินค้าและการคลังที่ท่านดูแล ก็เลยส่งผมมาตรวจตรา” นายทหารล้วงมืออวบอูมหยิบซองจดหมายสีขาวออกมายื่นให้เจ้าของอาคาร “ท่านเจ้ากรมการคลังทราบอยู่ก่อนแล้ว ว่ามีพ่อค้าอัญมณีและแพรพรรณจากต่างแดนเพิ่งเปิดร้านรวงใหญ่โตในย่านร้านค้า ท่านใคร่เชิญคุณไปงานเลี้ยงระดมทุนที่คฤหาสน์ แต่ไม่ต้องการใช้บ่าวไพร่สามัญมาเชิญคุณ ครั้นจะเดินทางมาด้วยตัวเองก็ติดเรื่องที่ช่วงนี้ภารกิจมากมายนัก ประเหมาะเคราะห์ดีเห็นว่าผมต้องมาที่นี่พอดี ก็เลยไหว้วานให้ผมถือเทียบมาเชิญคุณด้วยตัวเอง”

                ไซรัสก้มมองตราประทับขุนคลังบนครั่งสีชาดแล้วถาม “ไม่ทราบว่าท่านเจ้ากรมการคลังมีอัญมณีที่พึงใจเป็นพิเศษบ้างหรือไม่?”

                “ช่วงนี้ท่านเจ้ากรมการคลังดูจะสนใจทับทิมเป็นพิเศษ”

คำตอบนี้ทำให้ไซรัสรู้ในทันที ว่าข่าวการค้นพบทัมทิมเม็ดเขื่อง คงแพร่ไปถึงหูขุนคลังรายนี้แล้ว

                “แล้วคุณล่ะ”

คำถามถัดมาทำเอานายทหารร่างท้วมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่

                “ผมชอบอัญมณีทุกชนิด พวกมันสวยงามกันคนละแบบ”

                “ลูคัส” ไซรัสเหลียวมองไปทางชายรูปร่างสูง โปร่ง ผมสีน้ำตาลตัดสั้น ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงขายาว สวมทับเสื้อเชิ้ตด้วยเสื้อกั๊กอย่างพวกศิลปิน

ไม่นานนัก ชายร่างสูงก็ถือหีบไม้สีแดงคล้ำเหมือนเลือดแห้งออกมาหานายทหาร

“ในนี้มีแหวนประดับอัญมณีน้ำงามสำหรับสุภาพบุรุษอยู่หลายวง” ไม่ต้องรอให้ไซรัสพูดจบประโยคดี ลูคัสก็เปิดหีบต่อหน้านายทหารร่างท่วมอย่างรู้งาน “คุณเป็นทหารที่ทำงานหนักเพื่อผู้คนในอาณาจักร นี่เป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจเล็กน้อยจากผม เชิญคุณเลือกหยิบไปหนึ่งวงได้ตามใจ จะหยิบเผื่อภรรยาด้วยอีกวงก็ได้”

“คุณนี่ช่างเป็นสุภาพบุรุษที่ใจกว้างสมคำร่ำลือ” คนได้ของกำนัลรีบเลือกหยิบแหวนจากในหีบด้วยท่าทีที่ดูกระตือรือร้น คล่องแคล่ว ไม่มีอาการกระดากอายหรือตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด

ทหารในจวนเจ้ากรมการคลังช่างรับของกำนัลคล่องแคล่วนัก...เขาประเมินจากผลการทดสอบตรงหน้า

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไซรัสพบว่า แม้แต่พ่อค้าที่ล้วนรู้ราคาของและมุ่งหวังทรัพย์สินเงินทองกว่าสิ่งใด ก็ยังรู้จักเกรงใจและลังเลเมื่อมีใครใคร่มอบของกำนัล

การที่นายทหารจากจวนขุนคลังคุ้นชินกับการรับของกำนัล ก็คิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ตาถึงนัก” ไซรัสเอ่ยชมแกมประชด เมื่อเห็นชายร่างท้วมสวมแหวนเนื้อเงินรมดำประดับอัญมณีสีใสบนนิ้วชี้ “วงที่ท่านถืออยู่ ถึงหัวแหวนจะดูเล็กกว่าเพื่อน แต่วงนั้นแพงที่สุดในหีบ มันเป็นแหวนประดับเพชร น้ำงามมากทีเดียว”

“เพชรรึ!”

“วงนี้มีวงที่เข้ากันอยู่อีกวง” เจ้าของกิจการค้าเครื่องประดับและแพรพรรณหยิบแหวนสีเงินเกลี้ยงเกลาประดับเพชรเม็ดสวยส่งให้นายทหาร “เรือนแหวนเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับสุภาพสตรี ภรรยาคุณน่าจะชอบ”

นายทหารมองแหวนทั้งสองวงด้วยแววตาเป็นประกาย

“คุณช่างใจกว้างเหลือเกิน ทำการค้าแบบนี้สิดี ไม่นานนักคุณต้องกลายเป็นที่รักของคนทั้งเมือง ทุกคนจะรักคุณ เชื่อผมสิ!” ว่าจบ ชายร่างท้วมก็หัวเราะร่าแล้วเดินเข้าจับมือเจ้าของอาคารดั่งมิตรชิดใกล้ “ช่วงนี้ผมมีธุระต้องออกนอกเมือง เราอาจไม่ได้พบกันอีกสักพัก” ไม่ทันทีที่ไซรัสจะได้ตอบอะไร ชายร่างท่วมก็ตบต้นแขนเขาเบาๆ เหมือนสนิทสนมกันมาแรมปี “พบกันในงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ท่านเจ้ากรมการคลัง สหาย ไปให้ได้ อย่าให้ผมกับท่านเจ้ากรมผิดหวังล่ะ ผมล่ะอยากแนะนำคุณให้คนอื่นๆ รู้จักนัก เมืองนี้สมควรได้รู้จักพ่อค้าใหญ่ใจกว้างเช่นนี้ ท่านเจ้ากรมการคลังเองก็คงคิดไม่ต่างกัน”

ไซรัสยิ้มน้อยๆ เป็นการตอบรับ

                “วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน” ชายร่างท้วมเหลียวมองลูกค้าทุกรายในร้านแล้วค้อมหัวให้ทุกคนเล็กน้อย ราวกับต้องการขอโทษขอโพยที่พาทหารมากมายเข้ามาเดินเกะกะ ก่อนจะพาทหารชั้นผู้น้อยทั้งหมดเดินออกจากอาคารไปด้วยรอยยิ้ม

                รีบร้อนกลับ ทำเหมือนกลัวคนให้ของจะเปลี่ยนใจ

                “เหอะ...หมูสกปรก” โทมัสพึมพำทันทีที่พวกทหารคล้อยหลัง “นายท่านไม่น่าให้แหวนราคาแพงสองวงนั่น” เด็กหนุ่มบ่นอย่างอดไม่ได้ “ข้ารู้จักเจ้านั่น มันเป็นลูกพี่ลูกน้องของภรรยาท่านเจ้ากรมการคลัง ไม่มีความสามารถอะไร ไม่เคยออกรบ ว่ากันว่าได้เป็นทหารยศใหญ่โตเพราะเส้นสาย วันๆ ไม่ทำอะไร นอกจากคอยรีดไถ คอยทำงานสกปรกๆ ให้เจ้ากรมการคลัง”

                อารีทำท่าจะออกปากดุ แต่ไซรัสส่งสัญญาณมือห้ามไว้

                “เจ้าควรเรียนรู้ที่จะเก็บอารมณ์เสียบ้าง” เจ้าของกิจการหนุ่มเหลียวมองรอบตัว เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนอยู่ห่างไกล ทั้งยังกำลังง่วนอยู่กับการซื้อขายไม่มีใครใส่ใจมองมาทางนี้เลยสักคน เขาก็ย่อตัวลงในระดับสายตาเด็กหนุ่ม แล้วสอนสั่ง “จำไว้ให้ดี โทมัส การผูกมิตรไม่ใช่เรื่องเสียหาย คนเราไม่ว่าจะทำการค้าหรือทำงานใด ผูกมิตรไว้ก่อนเป็นดี ดูแต่นกบนฟ้าสิ ไม่ว่าจะตัวใหญ่หรือเล็กก็ล้วนแต่มีขน เพราะอะไร เจ้ารู้ไหม?”

                “เพราะนั่นเป็นธรรมชาติของมัน”

                “ผิดแล้ว ที่มันต้องมีขน เป็นเพราะมันจำเป็นต้องมีขน” เขาลุกขึ้นยืน แล้วจูงมือเด็กหนุ่มเดินกลับขึ้นบันได ปากก็พร่ำสอนต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แม้จะราบเรียบ แต่กลับฟังดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด “ขนทุกส่วน โดยเฉพาะขนปีกช่วยให้มันบินได้” เขายังคงกล่าวต่อไป “ไม่เพียงเท่านั้น ขนยังช่วยปกป้องมันจากสภาพแวดล้อม นกตัวไหนไม่มีขน ยามเจอลมพายุก็หนาวสั่น ยามเผชิญอากาศร้อนก็แสบเนื้อแสบตัว”

                “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างรากฐานที่ท่านเคยพูดถึงใช่ไหม?” เด็กหนุ่มถาม

                “ใช่” เขาหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองภาพลูกค้ามากมายเดินขวักไขว่อยู่ในโถงด้านล่าง “ลูกค้าเหล่านี้เองก็เป็นขน เครือข่ายผู้ค้ารายย่อยที่ข้าเพิ่งรวบรวมได้ก็เป็นขน”

                “แล้วท่านก็จะได้ขนปีกเส้นใหม่ๆ อีกมากจากงานเลี้ยงของ ‘ท่านเจ้ากรมการคลัง’ ”

                “ถูกต้อง” ไซรัสมองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตามาดหมาย “เพื่อการใหญ่ เราอาจต้องฝืนใจบ้าง อาจต้องสวมหน้ากากบ้าง...แต่เชื่อเถอะ ผลประโยชน์ที่ตามมา มันจะคุ้มค่าแน่นอน”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 61

    “ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 60

    “ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 59

    “คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 58

    คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 57

    นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 56

    กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status