Share

บทที่ 5

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-08-15 15:31:08

“ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกนั้นจะยอมง่ายๆ”

เสียงจากอารี เรียกให้ชายร่างสูงท่าทีภูมิฐานในห้องทำงานเรียบหรูดูกว้างขวาง ละความสนใจจากเอกสารบัญชี

เขาวางปากกาหมึกซึมด้ามจับเงางาม เงยหน้ามองชายผิวสีตรงหน้า แล้วขยับริมฝีปากหยัก ดูคมคาย ถามด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งรูปปั้น

“พวกพ่อค้าอัญมณีรายย่อยทั้งหมดตอบรับแล้วใช่ไหม”

“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการ มีสองสามรายลังเลไม่อยากเซ็นชื่อในสัญญาค้าขายกับท่านเพราะระแวงว่าวิธีการที่ท่านกำหนดให้กระจายสินค้าจะทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ แต่พอข้าจะขอตัวกลับเท่านั้น พวกเขาก็รีบตอบรับ ยอมเซ็นสัญญาทันที”

อารีตอบพลางก้าวเข้ามายื่นปึกหนังสือสัญญาให้เขา

“ไม่เปิดม่านรึ?” ชายผิวสีถามพลางเหลียวมองม่านสีดำหนาทึบด้วยความประหลาดใจ “ท่านนี่ก็แปลก ฝั่งตรงข้ามมีหอนางคณิกาเลื่องชื่อ มีสาวๆ สวยๆ อยู่นับไม่ถ้วน กลับไม่ชายตาแลสักนิด พวกนางรึออกจะคอยสอดส่องมองท่านอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะซามีร่า ดูท่านางจะพึงใจท่านไม่น้อย ลือกันว่าถ้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ท่านไม่ชายตาแล นางจะงัดเอายาปลุกกำหนัดที่ช่วงนี้ซื้อขายกันลับๆ ในตลาดมืดมามอมเมาท่านทีเดียว”

“ผู้หญิงมักมาพร้อมเรื่องยุ่งยาก” เจ้าของห้องตัดบทพลางก้มหน้าก้มตาตรวจสอบเอกสารที่เพิ่งรับมา ตั้งแต่ลายมือชื่อไปจนถึงจนความถูกต้องสมบูรณ์ของเนื้อหาในหนังสือสัญญา ไม่มีส่วนใดเลยที่เขาจะคิดมองข้าม

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี คนตรวจงานก็ออกปากชื่นชมคนมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“ดีมาก เอกสารครบถ้วน ถูกต้องทุกอย่าง หลังจากนี้กิจการเราจะเติบโตขึ้นอีกมาก”

“ไซรัส” คนโดนชมเรียกชื่อเจ้าของห้องทำงานหรูหราทว่ามืดทึบด้วยน้ำเสียงเคารพยิ่ง “ข้าคิดว่ากิจการท่านโตเร็วเกินไป”

“ไม่ดีรึ?”

“ท่านจะกลายเป็นจุดสนใจ” อารีตอบเสียงเครียด “ข้าไม่ได้ร่ำเรียนมา อาจไม่ฉลาดนัก แต่ก็พอรู้มาบ้าง ว่าในโลกยุคนี้ สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจใหญ่โตคือสิ่งที่เรียกว่ารากฐาน”

“เราสร้างรากฐานแล้ว อารี” ไซรัสเก็บเอกสารสัญญาระหว่างตนเองกับพ่อค้ารายย่อยใส่ลิ้นชัก แล้วใส่กุญแจไว้แน่นหนา

“ท่านไม่ใช่คนเขลา ท่านก็รู้ ที่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีก็เพราะเราเป็นผู้ค้ารายใหญ่ พวกพ่อค้ารายย่อยกลัวเราปรับลดราคาอัญมณีโดยไม่สนใจใคร แถมยังกลัวว่าเราจะไม่ยอมแบ่งขายอัญมณีดิบคุณภาพสูงกว่าตลาดให้ ก็เลยแข่งกันเอาอกเอาใจท่านให้วุ่น” อารีเดินไปเปิดผ้าม่านด้านหลังคนเป็นนาย ปล่อยให้แสงสว่างลอดเข้ามา

ชายผิวคล้ำเหลียวมองลงไปด้านล่างอาคารเล็กน้อย

นอกจากด้านล่างจะมีกลุ่มคนยืนฟังนักขับลำนำขับกล่อมนิทานเพลงเรื่อง ‘ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย’ กลุ่มใหญ่แล้ว ที่หน้าประตูทางเข้าโถงด้านล่างซึ่งไซรัสเปิดเป็นร้านขายเครื่องประดับ อัญมณี และแพรพรรณ ยังมีพ่อค้ารายย่อยกับลูกค้าเงินหนาเดินเข้าออกกันขวักไขว่

“ร้านเรากำลังรุ่งเรือง สินค้าที่มีอยู่มากมายก็ล้วนดีเยี่ยมเป็นที่ต้องการของตลาด ในช่วงที่ทุกอย่างดูราบรื่นแบบนี้ ใครใครอาจเข้าหาท่าน คล้อยตามท่าน แต่สัญญาที่ร่างขึ้นบนผลประโยชน์และความกังวลเช่นนั้น จะคงทนอยู่รึ?” อารีละสายตาจากภาพในกรอบหน้าต่าง แล้วเดินดับตะเกียงให้คนเป็นนายด้วยท่าทีคุ้นชิน “ข้ากังวล ไซรัส พี่น้องข้าโดยเฉพาะลูคัสกับราจีฟเองก็กังวลเหมือนกัน ตอนนี้เรากลัวว่าถ้าวันไหนคนพวกนั้นมีอำนาจเหนือท่าน พวกเขาจะฉีกสัญญาทิ้ง แล้วปล้นชิงทุกอย่างที่ท่านลงทุนลงแรงสร้างมาไปจากท่าน”

“พวกเขาจะไม่มีวันมีอำนาจเหนือเรา”

“ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่านหรอกนะ ข้าแค่ไม่ไว้ใจคนอื่นเท่านั้น”

“ไม่มีอะไรต้องกังวลนักหรอก ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น” ไซรัสก้มหน้าลงตรวจบัญชีต่อ บอกให้อารีรู้กรายๆ ว่าเขาไม่ต้องการคุยเรื่องนี้อีกต่อไป ผู้ติดตามผิวสีที่ตอนนี้เป็นดั่งแขนขาให้เขาจึงได้แต่ทอดถอนใจอยู่อย่างนั้น

ท่ามกลางความเงียบงัน อารีเหลียวมองที่ทับกระดาษลักษณะคล้ายก้อนหินทรงกลม สีแดงก่ำ บนโต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งตัวใหญ่ซึ่งตกแต่งลายแกะสลักตามมุมโต๊ะเอาไว้ด้วยทองคำ แสงสว่างจากกรอบหน้าต่างบานกว้าง ขับให้อัญมณีสีแดงใส เปล่งประกายงดงามราวกับวัตถุล้ำค่าที่เสกสร้างจากสรวงสวรรค์

แม้แต่คนที่ไม่ว่าจะพยายามเรียนรู้วิธีตรวจสอบอย่างไรก็แยกระหว่างก้อนหินไร้ราคากับหินอัญมณีล้ำค่าไม่ออกอย่างอารีก็ยังแน่ใจ ว่าที่ทับกระดาษชิ้นนั้น เป็นทับทิมทั้งแท่ง

“อัญมณีจากดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาสูงที่ครอบครองโดยพวกอสุรกายร้ายกาจ ช่างวิเศษนัก” ชายผิวสีอดชื่นชมไม่ได้ “น้ำงาม เนื้อใส สวยได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน”

“ในเขตแดนของพวกมนุษย์ก็อาจเคยมีของแบบนี้” ไซรัสหยิบก้อนทับทิมขึ้นโยนรับ ราวกับอัญมณีก้อนนั้นเป็นเพียงก้อนหินไร้ค่าก้อนหนึ่ง

“ฟังท่านพูดเรื่องดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาสูงกับเขตแดนของมนุษย์ทีไร ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้” อารีขยายความต่อให้ โดยไม่ต้องรอให้คนเป็นนายถาม “ไม่เหมือนมนุษย์พูดถึงเขตแดนของมนุษย์ ฟังเหมือนอสุรกายกำลังค่อนแคะมนุษย์มากกว่า”

“หมายถึงสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับหลังหุบเขาสลับซับซ้อนทางตอนเหนือของอาณาจักรนี้ ที่ว่ากันว่า เป็นเผ่าพันธุ์โบราณอยู่มานานเท่าๆ กันกับมนุษย์ อะไรนั่นใช่ไหม?”

“นั่นล่ะ”

ใบหน้านิ่งเฉยดั่งรูปสลักปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อได้ยิน

ชาวเวเนเซีย ตลอดจนอาณาจักรข้างเคียง ล้วนเชื่อถือเรื่องดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาสลับซับซ้อน ก่อนหน้านี้ พวกเขาเชื่อกันว่า ที่แห่งนั้น เป็นสถานที่พำนักของเหล่าเทพ เทวดา แต่ช่วงสองสามปีก่อนหน้านี้ มีหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่งใกล้แนวเขาที่ว่านั่นโดนอสุรกายร้ายกาจคุกคาม ชายผู้รอดชีวิตบังเอิญพบทหารลาดตระเวนชายแดนอาณาจักรอาเรนทร์ ก็เลยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ทหารลาดตระเวนไม่อยากล่วงล้ำอาณาเขตเวเนเซีย จึงส่งเรื่องไปยังทหารรักษาการชายแดนเวเนเซีย แล้วร่วมมือกันแกะรอยตาม ‘ตัวอะไรสักอย่าง’ เข้าไปในดินแดนเร้นลับหลังแนวเขา จนค้นพบฝูงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดน่าหวาดหวั่นที่ดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเหล่าปีศาจปีกสีดำ

แล้วหลังจากนั้น ข่าวการค้นพบความจริงชวนใจหายว่า ‘ในดินแดนเร้นลับไม่ได้เป็นที่พำนักของเทพ เทวา หากแต่เป็นที่พักพิงของเหล่าปีศาจร้ายปีกดำมะเมื่อมและอสุรกายใต้อาณัติที่มีเลือดเนื้อ’ ก็แพร่กระจายไปทั่ว ตบหน้าเหล่านักบุญผู้ยึดมั่นในจารึกเกี่ยวกับเทพ เทวดา

เวลานี้ พวกเขาเชื่อว่า แท้จริงแล้ว เทพ เทวดา ในบทขับลำนำหรือจากรึกโบราณ ล้วนเป็นแค่จินตนาการฟุ้งซ่านของคนสมัยก่อนเท่านั้น และพวกเผ่าพันธ์น่าขนลุกในดินแดนลึกลับหลังแนวเขาก็ฉลาดพอจะใช้ความเชื่อเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์มานานนับพันปี

ยิ่งคิดเรื่องเหล่านี้ ไซรัสก็อดขำไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ มนุษย์ก็ล้วนคิดต่อเติมเอาเอง ทั้งๆ ที่ได้รู้ได้เห็นอะไรๆ ในดินแดนเร้นลับหลังแนวเขามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

“บางทีข้าอาจเป็นเผ่าพันธุ์โบราณน่าหวาดหวั่นอะไรนั่นจำแลงมาก็ได้”

                ประโยคสั้นๆ จากริมฝีปากไซรัส ทำให้อารีขมวดคิ้วแน่นทันที

                “นั่นใช่เรื่องควรเอามาล้อเล่นรึ ตามตำนานตามเรื่องเล่าเราอยู่ร่วมโลกกับเผ่าพันธุ์โบราณที่แฝงตัวอยู่ในดินแดนเร้นลับมานับแต่โบราณกาลก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้มนุษย์ทุกผู้ล้วนเกลียดชังเผ่าพันธุ์ที่ว่านี้ เพราะค้นพบว่าพวกมันไม่ใช่เทพ ไม่ใช่เทวดาอะไร แต่เป็นพวกปีศาจร้าย เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดเหี้ยม อำมหิต”

                “งั้นรึ?”

                สีหน้าเหมือนเพิ่งรู้จากไซรัสเรียกเสียงพ่นลมหายใจจากอารีได้เฮือกใหญ่

                “อย่าทำหน้าอย่างนั้น ไซรัส นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” อารียกมือขึ้นกุมเหนือหัวเข็มขัดตามนิสัย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าลืมว่าถึงท่านจะสร้างเครือข่ายค้าขายอัญมณีจนผลักดันตัวเองกับพวกข้าขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว แต่ตัวท่านไม่ใช่ชนชั้นสูงของอาณาจักรนี้ เป็นใครมาจากไหนตัวตนไม่แน่ชัด จู่ๆ ก็เข้าเมืองมาพร้อมอัญมณีจำนวนมาก คนที่ติดใจเรื่องนี้มีไม่น้อย”

                “ข้าก็แค่นักแสวงโชคที่บังเอิญค้นพบช่องย่องขนสมบัติจากดินแดนที่พวกเจ้าเรียกกันว่า ‘ดินแดนเร้นลับหลังแนวเขา’ อะไรนั่น”

                “แต่คนอื่นจะไม่เชื่ออย่างนั้น” อารีนิ่งคิด ก่อนกล่าวแก้ “ไม่สิ พวกเขาอาจเชื่อ แต่อาจมีใครใช้เรื่องนี้เค้นถามที่มาอัญมณีหรือช่วงชิงแหล่งอัญมณีกับผลประโยชน์ที่สั่งสมไว้ไปจากท่าน ถ้ามีขุนนางขี้ฉ้อสักรายทำแบบนั้น แม้แต่ตึกแถวสี่ชั้นหลังนี้ที่ท่านเพิ่งได้มาก็อาจโดนริบไป”

                “นี่ใช่ไหม ที่ทำให้เจ้ากังวลเรื่องที่กิจการเราเติบโตเร็วจนน่าตกใจ” เขาถาม “กล่าวหาว่าข้าเป็นปีศาจจำแลงจากดินแดนเร้นลับ เอาตัวไปกักขัง ประหาร แล้วริบทรัพย์ นั่นรึ สิ่งที่เจ้ากังวล”

                “ใช่” ชายผิวสีตอบตามตรง “เพราะชะตาพวกข้า ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน...พวกข้าไม่อยากกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว ไซรัส เราต้องการอนาคต” อารียังคงกล่าวต่อไป “และข้าก็ขอบังอาจเตือน ว่าท่านก็ควรกังวลเรื่องนี้เช่นกัน” ผู้ติดตามผิวเข้มบอกสีหน้าจริงจัง “อย่าเข้าใจผิด ท่านเก็บพวกข้ามาจากชนชั้นล่างสุดในกลุ่มล่างสุด เป็นทั้งนายเป็นทั้งครูที่คอยชี้แนะสอนสั่งให้พวกข้าเปลี่ยนเป็นคนที่มีตัวตน มีเกียรติ เรื่องที่ท่านช่วยดึงพวกข้าขึ้นจากร่องคูข้างถนน ข้ากับพี่น้องซาบซึ้งและยินดีติดตามท่านไปตลอดชีวิต ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็ไม่รังเกียจ ข้อนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน แต่ถ้าเลือกได้ พวกข้าก็อยากให้อะไรๆ มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไปเรื่อยๆ”

“ข้าเข้าใจความรู้สึกพวกเจ้าดี”

อารีค้อมศีรษะน้อมรับคำพูดนั้น ก่อนเอ่ยต่อไป

“แม้แต่ข้าที่เป็นชนชั้นล่างยังรู้ ว่านับตั้งแต่อาณาจักรอาเรนทร์กับอาณาจักรเราค้นพบความจริงเรื่องสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับหลังแนวภูเขาสลับซับซ้อน ช่วงปีสองปีมานี้ มีผู้คนโดนกลั่นแกล้งด้วยข้อหาที่เกี่ยวพันกับพวกอสุรกายโบราณจากดินแดนเร้นลับมาแล้วตั้งไม่รู้เท่าไหร่

ท่านมาจากต่างเมืองอาจไม่เคยได้ยิน ก่อนหน้านี้มีสตรียากจนแต่โฉมงามยอมตกลงหมั้นหมายกับบุตรชายขุนนางใหญ่ท่ามกลางความไม่ชอบใจของใครหลายๆ คน พวกข้าเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นลักลอบพบบุตรชายขุนนางใหญ่ต้นเรื่องในย่านร้านค้า มองปราดเดียวก็ดูออกว่าหญิงโชคร้ายนั่นช่างอ่อนโยนและเคร่งครัดในศีลธรรมจรรยา แล้วในแววตานางก็มีแต่ความรัก มีแต่ภาพบุตรชายขุนนางตรงหน้าเท่านั้น ตอนนั้นลูคัสประทับใจถึงขั้นไปเที่ยวสอบถามว่านางเป็นใครมาจากไหน หลังสอบถามดู เจ้านั่นก็ยิ่งประทับใจที่ได้รู้ ว่าหญิงสาวคนนั้นน่ะ นางทั้งจิตใจดีและไม่เคยทำตัวเสื่อมเสีย

นางเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง...น่าเสียดายนัก ที่สุดท้ายก็โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดร้าย สมสู่กับอสุรกายจำแลงจากดินแดนเร้นลับ ทำคุณไสยใส่บุตรชายขุนนางเพื่อล้วงความลับเกี่ยวกับการสงครามให้ชู้รัก”

                ไซรัสนึกภาพตามได้ไม่ยาก

                “แล้วเรื่องนั้นมีมูลความจริงสักกี่มากน้อย?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 8

    รถม้าสีดำสนิทเทียมม้าขาวลักษณะดีเคลื่อนผ่านประตูรั้วเหล็กดัดแสนกว้างขวาง มุ่งหน้าเข้าหาคฤหาสน์หลังเขื่อง ซึ่งซุกตัวอยู่ท่ามกลางสวนวงกตและพันธุ์ไม้ไร้ดอกอย่างเชื่องช้า ทันทีที่รถม้าเคลื่อนถึงประตูทางเข้าคฤหาสน์ ไซรัสก็พบว่าเจ้าบ้านจัดให้คนรับใช้และทหารในสังกัดออกมายืนเรียงแถวรอต้อนรับแขกที่ได้รับเชิญอย่างเป็นระเบียบ ทันทีที่รถม้าจอดสนิท ลูคัสก็รีบถือกล่องของกำนัลลงจากรถม้า แล้วยืนรอไซรัสด้วยท่าทีเคารพยิ่ง “ไซรัส เจ้าของกิจการอัญมณีและแพรพรรณ” ไซรัสแนะนำตัวสั้นๆ ให้ชายเครางามที่ดูคล้ายจะเป็นหัวหน้าคณะต้อนรับแขก แล้วชายคนนั้น ก็ขานชื่อเขาเสียงดังกังวาน “ไซรัส เจ้าของกิจการอัญมณีและแพรพรรณ ผู้ปราดเปรื่องและกว้างขวาง” ประโยคนั้นดึงความสนใจจากแขกเหรื่อได้ทั้งงาน ไม่ทันที่คนรับใช้ชายจะนำทางไซรัสเดินเข้าข้างใน นายทหารร่างท้วมที่เคยได้รับแหวนเพชรเป็นของกำนัลก็รีบปราดเข้ามาจับมือทักทายเขาอย่างสนิทสนม “มาเสียที” เขาสวมกอดไซรัสราวกับเป็นมิตรสหายที่รักใคร่กันมานาน “ไป ไปพบท่านเจ้ากรมการคลังกับคนอื่นๆ กั

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 7

    ภายในห้องโดยสารบนรถม้า ไซรัสเคาะบัตรเชิญงานเลี้ยงที่คฤหาสน์เจ้ากรมการคลังในมือไป ภายในใจก็จินตนาการภาพงานเลี้ยงระดมทุนไป ยิ่งจินตนาการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสงสัย ว่าคืนนี้ เขากับ ลูคัส ที่วันนี้รับบทผู้ติดตาม จะต้องอดทนเข้าสังคมชั้นสูงของเวเนเซียนานแค่ไหน พ่อค้าหนุ่มเหลียวมองผู้ติดตามที่นั่งตัวเกร็งอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเหยียดยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าแม้แต่ลูคัสที่ดูจะมีท่าทีสงบ คุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้ติดตามทั้งหมด แถมยังเข้ากันกับลูกค้าชั้นสูงได้อย่างดีเยี่ยม ยังรู้สึกอึดอัดกังวลได้ขนาดนี้ คำเล่าลือที่ว่าอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรบ้าพิธีรีตองจนน่าเบื่อ คงเป็นเรื่องจริง“ทำใจให้สบายเถอะ ถ้าอึดอัดก็เดินเข้าไปในงานแค่พอเป็นพิธี ทนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็หลบออกมานั่งรอที่รถม้าก็ได้” ไซรัสบอกผู้ติดตามเรียบๆ เรียกรอยยิ้มโล่งใจให้ผุดพรายบนใบหน้าคนฟังท่ามกลางความเงียบงันในบทสนทนา รถม้าเนื้อไม้สีดำสนิท แกะสลักขอบบนและล่างตัวห้องโดยสารด้วยลวดลายคล้ายน้ำเต้า...ผลไม้จากแดนใต้เรียงซ้อนกันเป็นแถวตามแนวยาว เคลื่อนไปตามถนนปูอิฐอย่างไม่เร่งรีบ ส่งผลให้ผู้โดยสารทันได้ยินเสียงน

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 6

    ไซรัสนึกภาพตามได้ไม่ยาก “แล้วเรื่องนั้นมีมูลความจริงสักกี่มากน้อย?” “ไม่มีมูลเลยสักนิด” อารีตอบโดยไม่ต้องคิด “หลังรู้ข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นโดนเผาทั้งเป็น คงเพราะค้างคาใจ ลูคัสถึงได้ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามผู้คนไปทั่ว เจ้านั่นเที่ยวสืบเสาะจนรู้ว่าพยานที่มาให้การล้วนเป็นพวกละโมบโลภมาก ส่วนหลักฐานที่พวกเขาใช้ปรักปรำผู้หญิงโชคร้ายนั่นก็เป็นข้าวของที่ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านรู้เห็นว่าเป็นของผู้หญิงคนนี้...พยานคนหนึ่งยังเคยหลุดปากพูดตอนลูคัสหลอกเลี้ยงเหล้า ว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีลาภลอย เพราะจู่ๆ ก็มีคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครมาจ้างวานให้ไปให้การคดีที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...แค่ยอมไปตอบว่า ‘ใช่ขอรับ’ เท่านั้น ก็ได้ของมีค่ามากมาย” “ช่างหยาบช้าดีแท้” ไซรัสออกความเห็นเรียบๆ สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ตอนนี้มนุษย์ประนามว่าสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาเป็นปีศาจร้ายกาจจอมเจ้าเล่ห์ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้ว ก็อดคิดไม่ได้ ว่าใครกันแน่ที่ชั่วร้ายมากเล่ห์กว่ากัน” พูดแล้วไซรัสก็อดนึกถึงสภาพน่าขันของโลกนี้ไม่ได้ทั้งๆ ที่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอี

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 5

    “ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกนั้นจะยอมง่ายๆ” เสียงจากอารี เรียกให้ชายร่างสูงท่าทีภูมิฐานในห้องทำงานเรียบหรูดูกว้างขวาง ละความสนใจจากเอกสารบัญชีเขาวางปากกาหมึกซึมด้ามจับเงางาม เงยหน้ามองชายผิวสีตรงหน้า แล้วขยับริมฝีปากหยัก ดูคมคาย ถามด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งรูปปั้น“พวกพ่อค้าอัญมณีรายย่อยทั้งหมดตอบรับแล้วใช่ไหม”“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการ มีสองสามรายลังเลไม่อยากเซ็นชื่อในสัญญาค้าขายกับท่านเพราะระแวงว่าวิธีการที่ท่านกำหนดให้กระจายสินค้าจะทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ แต่พอข้าจะขอตัวกลับเท่านั้น พวกเขาก็รีบตอบรับ ยอมเซ็นสัญญาทันที”อารีตอบพลางก้าวเข้ามายื่นปึกหนังสือสัญญาให้เขา“ไม่เปิดม่านรึ?” ชายผิวสีถามพลางเหลียวมองม่านสีดำหนาทึบด้วยความประหลาดใจ “ท่านนี่ก็แปลก ฝั่งตรงข้ามมีหอนางคณิกาเลื่องชื่อ มีสาวๆ สวยๆ อยู่นับไม่ถ้วน กลับไม่ชายตาแลสักนิด พวกนางรึออกจะคอยสอดส่องมองท่านอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะซามีร่า ดูท่านางจะพึงใจท่านไม่น้อย ลือกันว่าถ้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ท่านไม่ชายตาแล นางจะงัดเอายาปลุกกำหนัดที่ช่วงนี้ซื้อขายกันลับๆ ในตลาดมืดมามอมเมาท่านทีเดียว”“ผู้หญิงมักมาพร้อมเรื่องยุ่งยาก” เจ้าของห้องต

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 4

    เสียงพิณหวานปนเศร้าดังขึ้นในวินาทีนั้นเมื่อคนเป็นนักดนตรีบรรเลงเพลงได้สักพัก อัยน์นาก็สังเกตเห็นหยาดเหงื่อเม็ดโตค่อยๆ ผุดพรายบนใบหน้า เธลม่า แกรนเทรนท์ ทั้งๆ ที่ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองคนนี้ มักฉาบเครื่องสำอางเอาไว้อย่างแน่นหนาดูท่า ท่านผู้หญิงเองก็คงเคยได้ยินนิทานเพลงเรื่องนี้มาก่อน‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทราย... มารดานางตายจากแต่ยังเยาว์’“หยุดนะ” เสียงสั่งจากภรรยาเจ้าบ้าน ทำเอานักแสดงทั้งสองหยุดชะงักแต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่การแสดงหยุดลง ขุนนางสูงวัยก็ออกคำสั่งให้รีบแสดงต่อทันที“เอาใหม่ ร้องให้จบ” ท่านเจ้ากรมการเมืองสั่งเสียงเข้ม‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทรายมารดานางชิงตายจากแต่ยังเยาว์บิดามากภาระฝากแม่เลี้ยงเลี้ยงดูเจ้า เรื่องน่าเศร้าจึงเกิดขึ้นกับโฉมตรู’ “นี่มันอะไรกันคะ ริชาร์ด คุณเรียกกวีสกปรกนี่มาทำไม?” ท่านผู้หญิงแกรนเทรนท์กำมือแน่น ท่าทางจะโกรธจัด แต่ยังพยายามรักษาสมบัติผู้ดี “ฟังต่อให้จบ” ขุนนางสูงวัยสั่งเสียงเข้ม สีหน้าเครียด ดูเคร่งขรึม “นิทานเรื่องนี้กำลังเป็นที่นิยมเชียวล่ะ

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 3

    เธอทำสำเร็จ อัยน์นาแน่ใจว่าอย่างนั้นตั้งแต่วินาทีที่หญิงรับใช้ในคฤหาสน์มาแจ้งว่าท่านเจ้ากรมการเมือง ริชาร์ด แกรนเทรนท์ ประกาศเรียกตัวเธอ กับท่านผู้หญิงเธลมา แกรนเทรนท์ และสองศรีพี่สาวต่างมารดาของเธออย่างท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านหญิงแอนนาเบล ให้ไปรวมตัวกันที่ห้องหนังสือ เพื่อฟังนิทานที่นักขับลำนำคนหนึ่งพกพามายังคฤหาสน์แม่คะ...ดูอยู่ใช่ไหม เธอถามภาพหญิงสาวอ่อนเยาว์ คิ้วเรียวเข้ม ตาคม ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อดูอิ่มสวยเหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้ม ไม่เพียงใบหน้าดูงดงามสมบูรณ์แบบเหมือนภาพวาด สตรีในสายตาเธอมีเส้นผมสีดำสนิทยาวหยักศกทิ้งตัวอย่างเป็นระเบียบจรดบั้นท้าย มองแล้วชวนให้นึกถึงนางพรายผิวขาวผ่องในตำนานของนักเดินเรืออัยน์นาไม่เคยเห็นหน้าแม่ แต่เธอคิดว่าแม่ผู้ให้กำเนิดคงหน้าตาไม่ต่างจากภาพสะท้อนในกระจกเงาตรงหน้าสักเท่าไหร่...“คุณหนูจะแต่งตัวแบบนี้จริงๆ เหรอคะ” หญิงรับใช้ถามเสียงเครียด “คุณท่านกำชับให้ดิฉันจัดหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้คุณหนูสวมก่อนไปพบท่านนะคะ”“ทำไมล่ะคะ”‘คุณหนู’ ลดสายตาลงมองชุดกระโปรงยาวสีขาวประดับลูกไม้ขาดๆ ด้วยแววตาเหมือนกวางน้อย ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นช่างดูซื่อใส เหมือ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status