Share

บทที่ 5

Author: Karawek House
last update Last Updated: 2025-08-15 15:31:08

“ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกนั้นจะยอมง่ายๆ”

เสียงจากอารี เรียกให้ชายร่างสูงท่าทีภูมิฐานในห้องทำงานเรียบหรูดูกว้างขวาง ละความสนใจจากเอกสารบัญชี

เขาวางปากกาหมึกซึมด้ามจับเงางาม เงยหน้ามองชายผิวสีตรงหน้า แล้วขยับริมฝีปากหยัก ดูคมคาย ถามด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งรูปปั้น

“พวกพ่อค้าอัญมณีรายย่อยทั้งหมดตอบรับแล้วใช่ไหม”

“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการ มีสองสามรายลังเลไม่อยากเซ็นชื่อในสัญญาค้าขายกับท่านเพราะระแวงว่าวิธีการที่ท่านกำหนดให้กระจายสินค้าจะทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ แต่พอข้าจะขอตัวกลับเท่านั้น พวกเขาก็รีบตอบรับ ยอมเซ็นสัญญาทันที”

อารีตอบพลางก้าวเข้ามายื่นปึกหนังสือสัญญาให้เขา

“ไม่เปิดม่านรึ?” ชายผิวสีถามพลางเหลียวมองม่านสีดำหนาทึบด้วยความประหลาดใจ “ท่านนี่ก็แปลก ฝั่งตรงข้ามมีหอนางคณิกาเลื่องชื่อ มีสาวๆ สวยๆ อยู่นับไม่ถ้วน กลับไม่ชายตาแลสักนิด พวกนางรึออกจะคอยสอดส่องมองท่านอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะซามีร่า ดูท่านางจะพึงใจท่านไม่น้อย ลือกันว่าถ้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ท่านไม่ชายตาแล นางจะงัดเอายาปลุกกำหนัดที่ช่วงนี้ซื้อขายกันลับๆ ในตลาดมืดมามอมเมาท่านทีเดียว”

“ผู้หญิงมักมาพร้อมเรื่องยุ่งยาก” เจ้าของห้องตัดบทพลางก้มหน้าก้มตาตรวจสอบเอกสารที่เพิ่งรับมา ตั้งแต่ลายมือชื่อไปจนถึงจนความถูกต้องสมบูรณ์ของเนื้อหาในหนังสือสัญญา ไม่มีส่วนใดเลยที่เขาจะคิดมองข้าม

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี คนตรวจงานก็ออกปากชื่นชมคนมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“ดีมาก เอกสารครบถ้วน ถูกต้องทุกอย่าง หลังจากนี้กิจการเราจะเติบโตขึ้นอีกมาก”

“ไซรัส” คนโดนชมเรียกชื่อเจ้าของห้องทำงานหรูหราทว่ามืดทึบด้วยน้ำเสียงเคารพยิ่ง “ข้าคิดว่ากิจการท่านโตเร็วเกินไป”

“ไม่ดีรึ?”

“ท่านจะกลายเป็นจุดสนใจ” อารีตอบเสียงเครียด “ข้าไม่ได้ร่ำเรียนมา อาจไม่ฉลาดนัก แต่ก็พอรู้มาบ้าง ว่าในโลกยุคนี้ สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจใหญ่โตคือสิ่งที่เรียกว่ารากฐาน”

“เราสร้างรากฐานแล้ว อารี” ไซรัสเก็บเอกสารสัญญาระหว่างตนเองกับพ่อค้ารายย่อยใส่ลิ้นชัก แล้วใส่กุญแจไว้แน่นหนา

“ท่านไม่ใช่คนเขลา ท่านก็รู้ ที่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีก็เพราะเราเป็นผู้ค้ารายใหญ่ พวกพ่อค้ารายย่อยกลัวเราปรับลดราคาอัญมณีโดยไม่สนใจใคร แถมยังกลัวว่าเราจะไม่ยอมแบ่งขายอัญมณีดิบคุณภาพสูงกว่าตลาดให้ ก็เลยแข่งกันเอาอกเอาใจท่านให้วุ่น” อารีเดินไปเปิดผ้าม่านด้านหลังคนเป็นนาย ปล่อยให้แสงสว่างลอดเข้ามา

ชายผิวคล้ำเหลียวมองลงไปด้านล่างอาคารเล็กน้อย

นอกจากด้านล่างจะมีกลุ่มคนยืนฟังนักขับลำนำขับกล่อมนิทานเพลงเรื่อง ‘ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย’ กลุ่มใหญ่แล้ว ที่หน้าประตูทางเข้าโถงด้านล่างซึ่งไซรัสเปิดเป็นร้านขายเครื่องประดับ อัญมณี และแพรพรรณ ยังมีพ่อค้ารายย่อยกับลูกค้าเงินหนาเดินเข้าออกกันขวักไขว่

“ร้านเรากำลังรุ่งเรือง สินค้าที่มีอยู่มากมายก็ล้วนดีเยี่ยมเป็นที่ต้องการของตลาด ในช่วงที่ทุกอย่างดูราบรื่นแบบนี้ ใครใครอาจเข้าหาท่าน คล้อยตามท่าน แต่สัญญาที่ร่างขึ้นบนผลประโยชน์และความกังวลเช่นนั้น จะคงทนอยู่รึ?” อารีละสายตาจากภาพในกรอบหน้าต่าง แล้วเดินดับตะเกียงให้คนเป็นนายด้วยท่าทีคุ้นชิน “ข้ากังวล ไซรัส พี่น้องข้าโดยเฉพาะลูคัสกับราจีฟเองก็กังวลเหมือนกัน ตอนนี้เรากลัวว่าถ้าวันไหนคนพวกนั้นมีอำนาจเหนือท่าน พวกเขาจะฉีกสัญญาทิ้ง แล้วปล้นชิงทุกอย่างที่ท่านลงทุนลงแรงสร้างมาไปจากท่าน”

“พวกเขาจะไม่มีวันมีอำนาจเหนือเรา”

“ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่านหรอกนะ ข้าแค่ไม่ไว้ใจคนอื่นเท่านั้น”

“ไม่มีอะไรต้องกังวลนักหรอก ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น” ไซรัสก้มหน้าลงตรวจบัญชีต่อ บอกให้อารีรู้กรายๆ ว่าเขาไม่ต้องการคุยเรื่องนี้อีกต่อไป ผู้ติดตามผิวสีที่ตอนนี้เป็นดั่งแขนขาให้เขาจึงได้แต่ทอดถอนใจอยู่อย่างนั้น

ท่ามกลางความเงียบงัน อารีเหลียวมองที่ทับกระดาษลักษณะคล้ายก้อนหินทรงกลม สีแดงก่ำ บนโต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งตัวใหญ่ซึ่งตกแต่งลายแกะสลักตามมุมโต๊ะเอาไว้ด้วยทองคำ แสงสว่างจากกรอบหน้าต่างบานกว้าง ขับให้อัญมณีสีแดงใส เปล่งประกายงดงามราวกับวัตถุล้ำค่าที่เสกสร้างจากสรวงสวรรค์

แม้แต่คนที่ไม่ว่าจะพยายามเรียนรู้วิธีตรวจสอบอย่างไรก็แยกระหว่างก้อนหินไร้ราคากับหินอัญมณีล้ำค่าไม่ออกอย่างอารีก็ยังแน่ใจ ว่าที่ทับกระดาษชิ้นนั้น เป็นทับทิมทั้งแท่ง

“อัญมณีจากดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาสูงที่ครอบครองโดยพวกอสุรกายร้ายกาจ ช่างวิเศษนัก” ชายผิวสีอดชื่นชมไม่ได้ “น้ำงาม เนื้อใส สวยได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน”

“ในเขตแดนของพวกมนุษย์ก็อาจเคยมีของแบบนี้” ไซรัสหยิบก้อนทับทิมขึ้นโยนรับ ราวกับอัญมณีก้อนนั้นเป็นเพียงก้อนหินไร้ค่าก้อนหนึ่ง

“ฟังท่านพูดเรื่องดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาสูงกับเขตแดนของมนุษย์ทีไร ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้” อารีขยายความต่อให้ โดยไม่ต้องรอให้คนเป็นนายถาม “ไม่เหมือนมนุษย์พูดถึงเขตแดนของมนุษย์ ฟังเหมือนอสุรกายกำลังค่อนแคะมนุษย์มากกว่า”

“หมายถึงสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับหลังหุบเขาสลับซับซ้อนทางตอนเหนือของอาณาจักรนี้ ที่ว่ากันว่า เป็นเผ่าพันธุ์โบราณอยู่มานานเท่าๆ กันกับมนุษย์ อะไรนั่นใช่ไหม?”

“นั่นล่ะ”

ใบหน้านิ่งเฉยดั่งรูปสลักปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อได้ยิน

ชาวเวเนเซีย ตลอดจนอาณาจักรข้างเคียง ล้วนเชื่อถือเรื่องดินแดนเร้นลับหลังแนวเขาสลับซับซ้อน ก่อนหน้านี้ พวกเขาเชื่อกันว่า ที่แห่งนั้น เป็นสถานที่พำนักของเหล่าเทพ เทวดา แต่ช่วงสองสามปีก่อนหน้านี้ มีหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่งใกล้แนวเขาที่ว่านั่นโดนอสุรกายร้ายกาจคุกคาม ชายผู้รอดชีวิตบังเอิญพบทหารลาดตระเวนชายแดนอาณาจักรอาเรนทร์ ก็เลยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ทหารลาดตระเวนไม่อยากล่วงล้ำอาณาเขตเวเนเซีย จึงส่งเรื่องไปยังทหารรักษาการชายแดนเวเนเซีย แล้วร่วมมือกันแกะรอยตาม ‘ตัวอะไรสักอย่าง’ เข้าไปในดินแดนเร้นลับหลังแนวเขา จนค้นพบฝูงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดน่าหวาดหวั่นที่ดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเหล่าปีศาจปีกสีดำ

แล้วหลังจากนั้น ข่าวการค้นพบความจริงชวนใจหายว่า ‘ในดินแดนเร้นลับไม่ได้เป็นที่พำนักของเทพ เทวา หากแต่เป็นที่พักพิงของเหล่าปีศาจร้ายปีกดำมะเมื่อมและอสุรกายใต้อาณัติที่มีเลือดเนื้อ’ ก็แพร่กระจายไปทั่ว ตบหน้าเหล่านักบุญผู้ยึดมั่นในจารึกเกี่ยวกับเทพ เทวดา

เวลานี้ พวกเขาเชื่อว่า แท้จริงแล้ว เทพ เทวดา ในบทขับลำนำหรือจากรึกโบราณ ล้วนเป็นแค่จินตนาการฟุ้งซ่านของคนสมัยก่อนเท่านั้น และพวกเผ่าพันธ์น่าขนลุกในดินแดนลึกลับหลังแนวเขาก็ฉลาดพอจะใช้ความเชื่อเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์มานานนับพันปี

ยิ่งคิดเรื่องเหล่านี้ ไซรัสก็อดขำไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ มนุษย์ก็ล้วนคิดต่อเติมเอาเอง ทั้งๆ ที่ได้รู้ได้เห็นอะไรๆ ในดินแดนเร้นลับหลังแนวเขามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

“บางทีข้าอาจเป็นเผ่าพันธุ์โบราณน่าหวาดหวั่นอะไรนั่นจำแลงมาก็ได้”

                ประโยคสั้นๆ จากริมฝีปากไซรัส ทำให้อารีขมวดคิ้วแน่นทันที

                “นั่นใช่เรื่องควรเอามาล้อเล่นรึ ตามตำนานตามเรื่องเล่าเราอยู่ร่วมโลกกับเผ่าพันธุ์โบราณที่แฝงตัวอยู่ในดินแดนเร้นลับมานับแต่โบราณกาลก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้มนุษย์ทุกผู้ล้วนเกลียดชังเผ่าพันธุ์ที่ว่านี้ เพราะค้นพบว่าพวกมันไม่ใช่เทพ ไม่ใช่เทวดาอะไร แต่เป็นพวกปีศาจร้าย เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดเหี้ยม อำมหิต”

                “งั้นรึ?”

                สีหน้าเหมือนเพิ่งรู้จากไซรัสเรียกเสียงพ่นลมหายใจจากอารีได้เฮือกใหญ่

                “อย่าทำหน้าอย่างนั้น ไซรัส นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” อารียกมือขึ้นกุมเหนือหัวเข็มขัดตามนิสัย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าลืมว่าถึงท่านจะสร้างเครือข่ายค้าขายอัญมณีจนผลักดันตัวเองกับพวกข้าขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว แต่ตัวท่านไม่ใช่ชนชั้นสูงของอาณาจักรนี้ เป็นใครมาจากไหนตัวตนไม่แน่ชัด จู่ๆ ก็เข้าเมืองมาพร้อมอัญมณีจำนวนมาก คนที่ติดใจเรื่องนี้มีไม่น้อย”

                “ข้าก็แค่นักแสวงโชคที่บังเอิญค้นพบช่องย่องขนสมบัติจากดินแดนที่พวกเจ้าเรียกกันว่า ‘ดินแดนเร้นลับหลังแนวเขา’ อะไรนั่น”

                “แต่คนอื่นจะไม่เชื่ออย่างนั้น” อารีนิ่งคิด ก่อนกล่าวแก้ “ไม่สิ พวกเขาอาจเชื่อ แต่อาจมีใครใช้เรื่องนี้เค้นถามที่มาอัญมณีหรือช่วงชิงแหล่งอัญมณีกับผลประโยชน์ที่สั่งสมไว้ไปจากท่าน ถ้ามีขุนนางขี้ฉ้อสักรายทำแบบนั้น แม้แต่ตึกแถวสี่ชั้นหลังนี้ที่ท่านเพิ่งได้มาก็อาจโดนริบไป”

                “นี่ใช่ไหม ที่ทำให้เจ้ากังวลเรื่องที่กิจการเราเติบโตเร็วจนน่าตกใจ” เขาถาม “กล่าวหาว่าข้าเป็นปีศาจจำแลงจากดินแดนเร้นลับ เอาตัวไปกักขัง ประหาร แล้วริบทรัพย์ นั่นรึ สิ่งที่เจ้ากังวล”

                “ใช่” ชายผิวสีตอบตามตรง “เพราะชะตาพวกข้า ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน...พวกข้าไม่อยากกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว ไซรัส เราต้องการอนาคต” อารียังคงกล่าวต่อไป “และข้าก็ขอบังอาจเตือน ว่าท่านก็ควรกังวลเรื่องนี้เช่นกัน” ผู้ติดตามผิวเข้มบอกสีหน้าจริงจัง “อย่าเข้าใจผิด ท่านเก็บพวกข้ามาจากชนชั้นล่างสุดในกลุ่มล่างสุด เป็นทั้งนายเป็นทั้งครูที่คอยชี้แนะสอนสั่งให้พวกข้าเปลี่ยนเป็นคนที่มีตัวตน มีเกียรติ เรื่องที่ท่านช่วยดึงพวกข้าขึ้นจากร่องคูข้างถนน ข้ากับพี่น้องซาบซึ้งและยินดีติดตามท่านไปตลอดชีวิต ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็ไม่รังเกียจ ข้อนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน แต่ถ้าเลือกได้ พวกข้าก็อยากให้อะไรๆ มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไปเรื่อยๆ”

“ข้าเข้าใจความรู้สึกพวกเจ้าดี”

อารีค้อมศีรษะน้อมรับคำพูดนั้น ก่อนเอ่ยต่อไป

“แม้แต่ข้าที่เป็นชนชั้นล่างยังรู้ ว่านับตั้งแต่อาณาจักรอาเรนทร์กับอาณาจักรเราค้นพบความจริงเรื่องสิ่งมีชีวิตในดินแดนเร้นลับหลังแนวภูเขาสลับซับซ้อน ช่วงปีสองปีมานี้ มีผู้คนโดนกลั่นแกล้งด้วยข้อหาที่เกี่ยวพันกับพวกอสุรกายโบราณจากดินแดนเร้นลับมาแล้วตั้งไม่รู้เท่าไหร่

ท่านมาจากต่างเมืองอาจไม่เคยได้ยิน ก่อนหน้านี้มีสตรียากจนแต่โฉมงามยอมตกลงหมั้นหมายกับบุตรชายขุนนางใหญ่ท่ามกลางความไม่ชอบใจของใครหลายๆ คน พวกข้าเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นลักลอบพบบุตรชายขุนนางใหญ่ต้นเรื่องในย่านร้านค้า มองปราดเดียวก็ดูออกว่าหญิงโชคร้ายนั่นช่างอ่อนโยนและเคร่งครัดในศีลธรรมจรรยา แล้วในแววตานางก็มีแต่ความรัก มีแต่ภาพบุตรชายขุนนางตรงหน้าเท่านั้น ตอนนั้นลูคัสประทับใจถึงขั้นไปเที่ยวสอบถามว่านางเป็นใครมาจากไหน หลังสอบถามดู เจ้านั่นก็ยิ่งประทับใจที่ได้รู้ ว่าหญิงสาวคนนั้นน่ะ นางทั้งจิตใจดีและไม่เคยทำตัวเสื่อมเสีย

นางเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง...น่าเสียดายนัก ที่สุดท้ายก็โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดร้าย สมสู่กับอสุรกายจำแลงจากดินแดนเร้นลับ ทำคุณไสยใส่บุตรชายขุนนางเพื่อล้วงความลับเกี่ยวกับการสงครามให้ชู้รัก”

                ไซรัสนึกภาพตามได้ไม่ยาก

                “แล้วเรื่องนั้นมีมูลความจริงสักกี่มากน้อย?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 61

    “ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 60

    “ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 59

    “คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 58

    คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 57

    นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “

  • เล่ห์รักเจ้าชายอสูร   บทที่ 56

    กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status