หลังจากรับประทานมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อย มัลลิกาก็ยกจานชามทั้งหมดไปล้างในครัว ขณะเดียวกันก็คอยแอบมองพ่อเลี้ยงไปด้วยว่าอีกฝ่ายจะขึ้นไปอาบน้ำตอนไหน ครั้นพอเห็นนฤเบศร์เดินขึ้นบันไดไปแล้วจึงรีบไปหามารดาแล้วจับแขนท่านเขย่าเบา ๆ
"คุณแม่ขา ช่วยพูดกับคุณพ่อหน่อยสิคะเรื่องฝึกงานน่ะ หนูไม่อยากไปทำที่กงสุลเลย มีแต่คนแก่หัวโบราณถ้าหนูต้องไปฝึกงานที่นั่นหลายเดือนหนูต้องบ้าตายแน่"
เหตุผลสำคัญอีกอย่างที่หญิงสาวไม่ได้พูดออกไปก็คือหากเธอไปทำงานกับพ่อเลี้ยงก็เท่ากับว่าต้องอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตลอด หนำซ้ำต้องไปกลับพร้อมท่านทุกวัน ชีวิตอิสระที่จะได้ไปเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านไอศกรีมกับเพื่อนก็จะหายวับไปทันที
"ฟังพูดเข้า ที่กงสุลไม่ได้มีแต่คนแก่สักหน่อย หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่เพิ่งเรียนจบแล้วเข้าไปทำงานที่นั่นก็เยอะเหมือนกัน และเด็กฝึกงานก็ไม่ใช่มีแค่หนูคนเดียว มีจากมหา'ลัยอื่นด้วย"
ผู้เป็นมารดาพูดแก้ไขความเข้าใจผิดของบุตรสาว ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวทำหน้าง้ำแล้วเอาแก้มมาถูที่ไหล่ของตนอย่างออดอ้อน
"โธ่ คุณแม่อ้ะ ก็น่าจะรู้ว่าทำไมหนูถึงไม่อยากไปทำงานกับคุณพ่อ...นะคะ ช่วยพูดกับคุณพ่อให้หน่อย"
"หนูก็น่าจะรู้นะว่าที่คุณพ่อเป็นแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงหนู"
มัญชุดาลูบศีรษะบุตรสาวอย่างเอ็นดู มัลลิกาเปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนเอาสะโพกพิงกับเคาน์เตอร์ครัวพลางถอนหายใจแผ่ว
"หนูรู้ค่ะ แต่เราก็ย้ายบ้านมาแล้วนี่นา และที่นี่ก็ไม่มีพวกแก๊งขี้ยาหรือเด็กแว้นบนถนน คุณพ่อยังบอกเองเลยว่าแถวนี้ปลอดภัย หนูก็แค่...อยากมีอิสระเหมือนคนอื่นบ้าง" ประโยคหลังหญิงสาวพูดเสียงอ่อยอย่างน่าสงสารจนคนฟังต้องพยักหน้ารับปากอย่างเสียไม่ได้
"แม่จะลองพูดให้ก็แล้วกันนะ แต่ไม่รับปากว่าจะสำเร็จไหม"
"ขอบคุณค่ะ คุณแม่น่ารักที่สุด" มัลลิกาโผเข้าสวมกอดมารดาด้วยความดีใจ เพราะหากให้ท่านพูดกับคุณพ่อ ไม่มีครั้งไหนที่ไม่สำเร็จ
ขณะเดียวกัน ภาวินในชุดผ้าขนหนูผืนเดียวก็กำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องนอนโดยแง้มผ้าม่านแอบมองไปยังบ้านหลังติดกัน เขาอยากไปเยี่ยมดูอาการของสาวน้อยข้างบ้าน แต่จากการประเมินท่าทีของนฤเบศร์ พ่อเลี้ยงของหญิงสาวแล้วเขาคิดว่าเวลานี้ตนไม่ควรไปอย่างยิ่ง
"จริงด้วย! ลืมไปได้ยังไงวะ"
พลันนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตอนที่ไปโรงพยาบาล มารดาของตนเป็นคนพามัลลิกาเข้าไปทำประวัติคนไข้ส่วนเขาก็เอารถไปจอดบนอาคาร และตอนนั้นเองที่ท่านใช้โทรศัพท์มือถือของหญิงสาวโทร. เข้ามาที่เครื่องของเขาเพราะท่านลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ดังนั้นเบอร์ของเธอจึงอยู่ในเครื่องเขานั่นเอง
นึกได้ดังนั้นเขาจึงรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนเตียงขึ้นมาดูหมายเลขที่โทร. เข้ามาเมื่อวาน ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นตัวเลขสิบตัวพลางกดบันทึกเบอร์โทรศัพท์หมายเลขนั้นเอาไว้ในเครื่องของตนแล้วใส่ชื่อว่า...Kitten
"หนูมะลิ แม่แมวน้อย"
ภาวินรอจนโปรแกรมแชตยอดฮิตอย่างไลน์เพิ่มรายชื่อของมัลลิกาเข้าไปในระบบเพื่อนของตนเสร็จเรียบร้อยจึงเริ่มส่งข้อความเข้าไปทักทายเธอก่อน
Phawin: สวัสดีครับมะลิ พี่วินเองนะ
หลังจากทักไปแล้วเขาก็รอเธอตอบกลับมา แต่หญิงสาวคงไม่ได้อยู่ใกล้โทรศัพท์เพราะระบบแจ้งมาว่าเจ้าของเครื่องยังไม่ได้อ่านเขาจึงเดินไปแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้า ซึ่งหลังจากที่เขาใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วเสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าของโปรแกรมไลน์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งมาเปิดอ่านข้อความ
Jasmine: สวัสดีค่ะ
Phawin: ขาเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม
Jasmine: ดีขึ้นมากแล้วค่ะ แต่ก็ต้องระวังแผลปริ
ภาวินเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่างบานเดิมแล้วมองไปทางบ้านของมัลลิกา ตรงสวนเล็ก ๆ ข้างบ้านของเธอมีหญิงสาวสวมแว่นในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูอ่อนกับกางเกงขาสั้นสีขาวกำลังนั่งพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือ และถ้าเขาตาไม่ฝาด เขาคิดว่าเธอกำลังนั่งยิ้มใส่โทรศัพท์อยู่คนเดียว
Phawin: นั่งอยู่ที่เดิมก่อนนะอย่าเพิ่งลุกไปไหน
Phawin: พี่จะเดินไปหา
เมื่อข้อความสุดท้ายถูกส่งไป เขาก็เห็นมัลลิกาเงยหน้ามองมาทางบ้านของเขาทันที เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงแหวกผ้าม่านให้กว้างขึ้น ซึ่งเธอคงเห็นความเคลื่อนไหวจากบนชั้นสองของตัวบ้าน สายตาของหญิงสาวจึงมองสูงขึ้นมาอีกจนกระทั่งสบตากับเขาเข้าพอดี ภาวินจึงโบกมือให้พร้อมกับทำมือบอกเป็นเชิงว่าจะลงไปหาเธอตรงนั้น
ชายหนุ่มก้าวยาว ๆ ออกจากห้องนอนแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดมาชั้นล่าง เห็นพราวนภากำลังนั่งดูการ์ตูนกับผู้เป็นย่าอยู่อย่างเพลิดเพลินเขาจึงเดินผ่านไปทางหน้าประตู
"คุณพ่อจะไปไหนคะ" เสียงใส ๆ ของบุตรสาวสุดที่รักทำให้เขาหยุดเดินแล้วหันมายิ้มให้
"คือว่าคุณพ่อจะไป...เอ่อ"
สมองของภาวินแล่นฉิวเพื่อคิดหาคำตอบ เพราะหากบอกว่าจะไปคุยกับมัลลิกาข้างบ้าน บุตรสาวของเขาจะต้องขอตามไปด้วยอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาไม่บอกไปตามความจริงแล้วเจ้าตัวเล็กรู้ขึ้นมาก็คงจะงอนใส่เขาตะพึดตะพืออีก
"คุณพ่อจะไปคุยกับพี่มะลิข้างบ้านนี่เองค่ะ หนูพราวไปกับคุณพ่อไหมคะ"
"ไปค่ะ หนูพราวไปด้วย" เด็กน้อยลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาหาบิดาทันที ภาวินจึงยื่นมือไปเพื่อจะจับจูงบุตรสาวพลางมองเลยไปที่มารดาของตนซึ่งท่านก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
"ไปเกาะรั้วแอบคุยกับลูกสาวบ้านเขา ทำอย่างกับไอ้ขวัญอีเรียม"
ภคินีพูดกลั้วหัวเราะ ภาวินจึงอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
"ผิดแล้วคุณแม่ คู่นั้นเขาแอบคุยกันในคลองไม่ใช่หรือครับ และผมก็ไม่ได้แอบด้วย ออกจะเปิดเผยจริงใจ เนอะหนูพราว" ประโยคหลังเขาก้มลงไปพยักพเยิดกับพราวนภาอย่างหาพวก
"แน่จริงก็ไปกดออดแล้วเดินเข้าไปนั่งคุยในบ้านเขาเลยสิยะ" ผู้เป็นมารดาพูดไปยิ้มไปเพราะมั่นใจว่าบุตรชายคงยังไม่มีความกล้าพอที่จะทำแบบนั้น
ภาวินทำท่าครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
"อย่าเพิ่งดีกว่าครับ นั่นเอาไว้เป็นเลเวลต่อไป ตอนนี้ขอหยั่งเชิงก่อนว่าจะเดินหน้าต่อ หรือจะจบเกม"
ความจริงแล้วเขาไม่กลัวหากต้องเดินไปบ้านของมัลลิกาแล้วเข้าไปนั่งพูดคุยข้างใน แต่เป็นเพราะหากเขาทำอย่างนั้น บิดามารดาของเธอก็จะต้องมานั่งคุยด้วยเป็นแน่ ซึ่งเขาไม่ต้องการ เขาแค่อยากคุยกับเธอตามลำพังเพื่อสร้างความคุ้นเคยกันก่อน และที่เขาพาพราวนภาไปด้วยก็เพื่อไม่ให้การพบปะกันครั้งนี้ดูน่าเกลียดเกินไป เขาไม่อยากให้เกิดข้อครหาในทางไม่ดีหากมีบ้านอื่นมองมาแล้วเห็นว่าหญิงสาวกำลังยืนคุยกับเขาเพียงลำพัง
ใครจะเชื่อว่าคนอย่างเขาจะใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร แต่หลังจากที่มีพราวนภาเข้ามาในชีวิต ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขามีลูกสาว เขาย่อมต้องการให้คนอื่นปฏิบัติกับลูกสาวของเขาอย่างให้เกียรติ ฉะนั้นเขาเองก็ต้องปฏิบัติกับลูกสาวของคนอื่นอย่างให้เกียรติด้วยเช่นกัน
ขณะที่กำลังเดินพ้นประตูบ้าน ภาวินมองไปทางรั้วบ้านที่อยู่ติดกันก็เห็นมัลลิกากำลังยืนเกาะรั้วเหล็กที่สูงเพียงระดับอกของเธออยู่พอดี
"หนูพราวคิดว่าพี่มะลิน่ารักไหม" เขาก้มลงไปถามบุตรสาวระหว่างที่เจ้าตัวกำลังใส่รองเท้าคู่โปรด
"น่ารักค่ะ หนูพราวชอบพี่มะลิ" คำตอบของเจ้าตัวเล็กทำให้รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นกว่าเดิม
"อืม พ่อก็ชอบ"
จากนั้นเขาก็จูงมือพราวนภาเดินไปที่รั้ว เมื่อเดินไปถึงมัลลิกาก็ยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม ทำให้เขาต้องยกมือรับไหว้แล้วพูดว่า
"คราวหน้าไม่ต้องไหว้พี่หรอก พี่ไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของหนูสักหน่อย"
"แต่พี่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่ดี" หญิงสาวตอบกลับมาพลางโบกมือทักทายเพื่อนตัวน้อยที่ยืนข้างชายหนุ่ม
"แค่สิบกว่าปีเอง สมัยนี้แล้วไม่ถือว่าห่างกันเยอะหรอก อายุเป็นเพียงตัวเลข" เขาจงใจพูดจากำกวมพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมุมปากเพราะมั่นใจว่าคนฟังรู้ดีว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไร และก็เป็นตามคาด หญิงสาวเข้าใจคำพูดของเขาเนื่องจากหน้าใส ๆ ของเธอนั้นเริ่มขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู
"แล้วตกลงเรื่องฝึกงานว่ายังไงบ้าง คุณพ่ออนุญาตไหม"
เพราะประสบการณ์ที่มากกว่าจึงทำให้ภาวินรู้จักการยับยั้งชั่งใจ รู้ว่าเวลาไหนควรรุกและเวลาไหนควรถอย เมื่อครู่เขาหยอดสาวน้อยตรงหน้าไปแล้วจึงไม่คิดจะทำให้เธอขัดเขินจนลำบากใจอีก เขาจงใจเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่นแทนเพื่อให้หญิงสาวได้มีเวลาตั้งตัว เพราะหากทำให้เธอหวาดกลัวจนลังเลใจขึ้นมา แผนกระทิงเปลี่ยวเคี้ยวหญ้าอ่อนของเขาคงพังครืน
มัลลิกาพยักหน้าด้วยแววตาสดใสก่อนพูด
"อนุญาตแล้วค่ะ ตอนแรกคุณพ่อจะให้ไปทำที่กงสุลแต่หนูขอร้องให้คุณแม่ช่วยพูด สุดท้ายก็เลยใจอ่อนยอมให้หนูไปทำที่บริษัทพี่"
ได้ยินคำตอบที่พึงพอใจแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างอวดลักยิ้มบนแก้มแล้วพูดว่า "งั้นก็ดี พร้อมจะเริ่มงานเมื่อไรก็บอกพี่ได้เลยนะ หรือพรุ่งนี้เอาเอกสารมาให้พี่ที่บ้านก็ได้ พี่รับรองเลยว่าถ้าหนูมาอยู่กับพี่ หนูจะได้อะไรดี ๆ กลับไปแน่นอน"
ครั้นพอพูดจบเขาถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าประโยคก่อนหน้านี้ฟังดูแปร่ง ๆ พิกล ราวกับเสี่ยตัณหากลับคนหนึ่งกำลังหลอกล่อเด็กสาวให้เข้าฮาเร็ม
...ถ้าหนูมาอยู่กับพี่ หนูจะได้อะไรดี ๆ กลับไปแน่นอน...
โอ้โห! โคตรป๋าเลยว่ะกู
มัลลิกาเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าประดักประเดิดของเขาจึงก้มหน้าลงไปคุยกับพราวนภาแทน
"หนูพราวกลับบ้านวันนี้ใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะ ตอนเย็นแม่จันทร์กับลุงชินจะมารับ แต่ตอนนี้หนูพราวไม่มีเพื่อนเล่นเลยค่ะ คุณย่าบอกว่าพี่มะลิเจ็บขาอยู่ก็เลยมาเล่นกับหนูพราวไม่ได้"
เด็กน้อยทำสายตาเว้าวอนกับเพื่อนเล่นต่างวัย น้ำเสียงเศร้าสร้อยนั้นทำให้คนฟังอย่างมัลลิกาใจอ่อนยวบขึ้นมาทันที
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก