หน้าหลัก / รักโบราณ / เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว / บทที่ 2 พระชายาจะตายไม่ได้

แชร์

บทที่ 2 พระชายาจะตายไม่ได้

ผู้เขียน: หลิ่วเยว่
เจ็บ……

เจ็บเหมือนโดนแทง...

นาง ล่อจี่นซูผู้อำนวยการการแพทย์เทียนจ้าน ได้พัฒนาระบบการแพทย์เลือดสีน้ำเงินของสำนักการแพทย์เทียนจ้าน แต่ถูกกล่าวหาว่าฆ่านักพัฒนาหลายคนและขโมยผลการวิจัยและพัฒนาของพวกเขา

นางถูกจำคุกในคุกทะเลของสำนักเทียนจ้านระยะเวลาห้าปี นั่นเป็นนรกบนโลกที่เต็มไปด้วยคนร้ายและผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง

แม้ว่านางจะถูกทรมานทั้งกลางวันและกลางคืน แต่นางก็มีความยึดมั่นอย่างเดียวในใจคือการหลบหนีและค้นหาความจริงเกี่ยวกับการฆาตกรรมเจ้าหน้าที่พัฒนา

น่าเสียดายที่นางไม่มีโอกาสนั้น หลังจากทนทุกข์ทรมานในเรือนจำทะเลเป็นเวลาห้าปีนางก็ถูกประหารชีวิต

นางเสียชีวิตอย่างไม่ยุติธรรมและข้ามภพมาเป็นลูกสาวกำพร้าของท่านแม่ทัพล่อในราชวงศ์หยาน

ล่อจี่นซูเด็กสาวกำพร้าที่ถูกใส่ร้ายและเกือบถูกข่มขืน

ส่วนเจ้าชายหซู่หยุนจินเฟิงเขาผิดสัญญาเรื่องแต่งงานก่อนและยังกักบริเวรนางอีก ตอนนี้เขายังกล่าวหานางว่านางได้ฆ่าพระชายาและต้องการให้คนเลี้ยวม้าข่มขืนนางจนตาย

ช่างเป็นชายชั่วที่ทำตัวเหมือนว่าตนนั้นเป็นคนที่รักเดียว

รู้สึกเจ็บแสบเล็กน้อยที่ข้อมือ นางยกมือขึ้นและเห็นเครื่องหมายของโล่เลือดสีน้ำเงินค่อย ๆ ปรากฏบนข้อมือที่เปื้อนเลือดของนาง

นางตกใจมาก เป็นไปได้ยังไง?

โล่เลือดสีน้ำเงินเป็นโล่ป้องกันและโจมตีของเทียนจ้าน โล่นั้นเต็มไปด้วยระบบป้องกันในช่วงสงครามชีพจรเลือดสีน้ำเงินและระบบการแพทย์ที่นางพัฒนาขึ้นเอง

โล่เลือดสีน้ำเงินสามารถข้ามเวลาได้จริงหรือ? นี่มันเหลือเชื่อมาก

แต่ตอนนี้นางไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว นางทรมานกับความอยุติธรรมในใจ ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้นางได้แบกรับความไม่ยุติธรรมที่ไม่อาจชำระล้างได้

พระชายาหซู่เหลิ่งจิงจิงตายไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าของเดิมได้ นางยังเป็นคนเดียวในจวนแห่งนี้ที่ดีกับเจ้าของเดิม

นางลุกขึ้นยืนเหยียบเลือดคนเลี้ยวม้าด้วยรองเท้าที่เปียกชุ่ม เปิดประตูและกระโจนเข้าสู่สายฝนที่ตกหนัก

เสียงฝนปกคลุมเสียงร้องไห้ และเมฆมืดครึ้มปกคลุมเรือนหลักทั้งหมดของหอเหยาหยูจู

หมอหลวงได้ถูกเรียกมารักษาพระชายา แต่ให้ทานยานางก็ไม่ทาน ฝังเข็มก็ไม่มีประโยชน์

เหลิ่งซวงซวงน้องสามแท้ ๆ ของพระชายาร้องไห้หนักมากจนทนไม่ไหว นางเอนตัวพิงหยุนจินเฟิงเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความโกรธ " ล่อจี่นซูทำไมโหดร้ายขนาดนี้ ? พี่สาวทำอะไรให้นางถึงได้แค้นท่านพี่ขนาดนี้ นางทำไมถึงทำร้ายจนเป็นพี่สาวแบบนี้?"

ริมฝีปากของหยุนจินเฟิงสั่นไหว เขากลั้นน้ำตาไว้ใบหน้าของเขาซีดอย่างน่ากลัว และเขาก็ตะโกนใส่หมอหลวง " ฝักเข็มต่อสิ มัวนิ่งอยู่ทำไม"

หมอหลวงไปฝังเข็มต่อ แต่ถอนหายใจ " ท่านอ๋อง เกรงว่ามันจะไม่มีประโยชน์"

หยุนจินเฟิงเตะเก้าอี้ไปและเส้นเลือดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา " ขยะ ไอ่พวกไร้ประโยนช์ !"

หมอหลวงคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า " หากท่านมีอะไรจะพูด โปรดรีบพูดเถอะพะยะค่ะ ข้าเกรงว่าพระชายาจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว "

หยุนจินเฟิงรู้สึกราวกับกำลังหมดแรง เมื่อมองดูใบหน้าของภรรยาสุดที่รักที่เคยมีดวงตาที่สดใส แต่ตอนนี้ไม่มีส่วนไหวที่ดีบนใบหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย หัวใจของเขาก็ปวดร้าวและอยากฟันนังนั่นเป็นชิ้น ๆ ด้วยมีดนับพันเล่ม

“ ออกไป ไสหัวออกไป !” เขาตะคอก

สื่นเหรินยกมือขึ้นและบอกให้ทุกคนออกไป เหลิ่งซวงซวงรีบวิ่งไปกอดหยุนจินเฟิงพร้อมสะอื้น “ พี่เขย ข้าจะอยู่กับท่านที่นี่ เพื่อบอกลาท่านพี่ ”

หยุนจินเฟิงเดินโซเซก้าวหนึ่ง "สื่นเหริน!"

สื่นเหรินสั่งให้สาวใช้พาเหลิ่งซวงซวงออกไป เหลิ่งซวงซวงร้องไห้และตะโกนเรียกพี่เขย แต่หยุนจินเฟิงก็ไม่แยแส นอกจากความเกลียดชังและความเจ็บปวดแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเหลืออยู่ในใจแล้ว

สื่นเหรินสั่งให้ทุกคนรออยู่ในห้องรอง ปล่อยให้เจ้าชายบอกลาพระชายาตามลำพัง

ฟ้าแลบและฟ้าร้องอย่างบ้าคลั่ง

ท่ามกลางเสียงฝนก็ปรากฏเงาบนบันไดหินที่เดินท่ามกลางสายฝน โคมที่ปลิวไปสะท้อนให้เห็นคราบเลือดที่เป็นจุดๆ บนใบหน้าของนาง

มือที่เต็มไปด้วยคราบเลือดผลักประตูไม้แกะสลักออกเบา ๆ และน้ำฝนพร้อมด้วยเลือดก็แทรกซึมเข้าไปในรอยแตกบนพื้นกระเบื้องสีทองของห้องหลัก

หยุนจินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ เพราะเหตุใดอี่ตัวเมียตัวนี้จึงยังปรากฏต่อหน้าเขาขนาดที่ยังเป็นอยู่ ?

เขารีบวิ่งไปข้างหน้าและยื่นมือออกเพื่อบีบคอนาง ความเกลียดชังของเขาทำให้เขาสูญเสียความีเหตุผล และเขาแค่อยากจะบดขยี้สุนัขตัวเมียตัวนี้จนเป็นเถ้าถ่าน

ล่อจี่นซูมองไปที่หยุนจินเฟิงที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะลงมือ ริมฝีปากที่ไร้เลือดของนางก็เปิดออก และเสียงแหบแห้งของนางก็ถูกเสียงฝนที่ตกกลบไป มีเพียงเสียงเบา ๆ "ข้าสามารถช่วยนางได้"

หยุนจินเฟิงบีบคอนาง ข้อกระดูกนิ้วของเขาดัง และใบหน้าของเขาก็ได้บิดเบี้ยว " นังแพศยา ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้"

นิ้วของล่อจี่นซูแตะที่โล่เลือดสีน้ำเงินบนข้อมือ และกระแสไฟฟ้าสีฟ้าอ่อนก็ถูกปล่อยออกมาจากข้อมือ กระแสไฟฟ้าได้ช็อดหยุนจินเฟิง

ทันใดนั้น หยุนจินเฟิงก็รู้สึกเจ็บปวดในใจราวกับสายฟ้าฟาด และเขาก็ล้มลงกับพื้นทันที

ล่อจี่นซูเดินผ่านเขาไปที่ข้างเตียงแม้ว่านางจะเตรียมจิตใจไว้แล้ว แต่ก็อดตัวสั่นไม่ได้

ใบหน้าของพระชายามีบาดแผลเต็มไปหมด มีเพียงเนื้อและเลือดผสมกัน รอยมีดกีดไปมาและบาดแผลบางแห่งก็สามารถเห็นถึงกระดูก หมอหลวงน่าจะทายาเพื่อห้ามเลือดไป ผงยาซึมเข้าไปในผิวหนังทำให้มันน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

คนที่ฆ่านางคงจะเกลียดนางเข้ากระดูก

แต่นางเป็นคนเดียวที่สามารถคืนความบริสุทธิ์ให้ล่อจี่นซูเดิมได้ และนางจะตายไม่ได้

ล่อจี่นซูเปิดโล่เลือดสีน้ำเงิน ซึ่งปล่อยแสงจาง ๆ และห่อหุ้มพระชายาหซู่ไว้ เพื่อทดสอบชีพจรและการบาดเจ็บของนาง

ชีพจรต่ำมากมีเพียงห้าเปอร์เซ็นต์ แผลแทงที่หน้าอกเป็บาดแผลสาหัสทำให้เลือดออกรุนแรง แต่โชคดีที่อยู่ห่างจากหัวใจหนึ่งนิ้วและเลือดหยุดไหลได้ทันเวลา

จำนวนบาดแผลบนใบหน้าและร่างกายของนางมีทั้งหมดสิบแปดที่ ปกตินางคงจะตายเพราะบาดแผลที่สาหัสเช่นนี้แล้วแต่นางยังคงทนไว้เพราะทารกในครรภ์ของนาง

ทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่

ล่อจี่นซูค่อนข้างซาบซึ้ง บางทีนี่อาจเป็นพลังของคนเป็นแม่

แต่อาการของนางแย่มากและต้องผ่าตัดเพื่อเอาเด็กออกโดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงเย็บแผลและให้เลือด

ไม่สามารถทำที่นี่ หยุนจินเฟินจะตื่นแล้ว ดังนั้นนางต้องออกจากจวนหซู่โดยเร็วที่สุดและหาสถานที่ที่ปลอดภัยใกล้ ๆ เพื่อนำผ่าคลอดเด็กทันที
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 330 คำเยินยอ

    หลังจากที่พวกเขาดื่มเกือบเสร็จแล้ว เชาหยวนก็ชื่นชมพวกเขาอีกครั้งและบอกว่าวันนี้พวกเขาทำได้ดีมากและควรทำหน้าที่นี้ให้ดีต่อไปยังไม่เมา แต่ก็เมาแล้ว หลังจากได้ยินคำพูดขอบคุณ ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าขณะที่พวกเขากล่าวคำอำลาทีละคน ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจเมื่อพวกเขานั่งที่โต๊ะเจรจาในวันรุ่งขึ้น การแสดงออกของพวกเขาค่อนข้างผ่อนคลายเมื่อวานมีเชือกผูกไว้และดูประหม่ามาก วันนี้ทัศนคติทางใจเปลี่ยนไป ผู้คนจากรัฐฮุ่ยมองดูแล้วก็รู้สึกประหม่าครึ่งชั่วโมงผ่านไปหนึ่งชั่วโมงผ่านไปสองชั่วโมงผ่านไปการเจรจาที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียและการต่อสู้ระหว่างคุณและฉัน ไม่พบดินปืน แต่ก็รู้สึกว่ามีดินปืนเต็มไปหมดคิ้วด้านนี้ขมวดคิ้วด้านนั้นก็คลายออกคิ้วด้านนี้ยกขึ้นคิ้วด้านนี้ย่นลงการชักเย่อดังกล่าวดำเนินต่อไปจนถึงตอนเย็นต่างฝ่ายต่างเหนื่อยและแทบจะไม่มีมุมมองใหม่ๆให้พูดมากนักทั้งสองฝ่ายกำลังรอให้ใครก็ตามพูดก่อนเพื่อลดเงื่อนไของค์ชายหลู่มองดูหยุนฉินเฟิงในมุมที่ต่างออกไป คิดว่าเขาไม่สามารถทำเรื่องอะไรได้เลย และคิดว่าไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 329 องค์ชายสี่ยังคงมั่นคงมาก

    การเจรจาหยุดชะงักและบรรยากาศหยุดนิ่งเมื่อเห็นว่าหยุนฉินเฟิงปฏิเสธที่จะยอมแพ้ กษัตริย์หลู่ก็ทิ้งคำพูดที่รุนแรงและหยุดพูด หยุนฉินเฟิงก็ไม่ได้พยายามโน้มน้าวให้เขาอยู่ต่อคำพูดที่รุนแรงไม่มีประโยชน์กับเจ้าชายที่อยู่ในสนามรบคนนี้เขาได้ยินคำพูดที่รุนแรงมากที่สุดในชีวิตนี้แล้วอ่อนไหว มั่นคง สงบ และสง่างาม เหมือนคนเฝ้าประตูที่สามารถปิดกั้นคนได้เพียงหมื่นคน ปิดกั้นแผนการทั้งหมดของเจ้าชายหลู่และเหล่าคณะทูตยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมแม้แต่คำเดียวจริงๆ และสิ่งที่เขาพูดก็ได้รับการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วคนนี้ รับมือยาก รับมือยากจริงๆที่ยากยิ่งกว่าในการจัดการคือสุภาพบุรุษสองคนในชิงอี้นั่งอยู่ที่โต๊ะเจรจา หยุนฉินเฟิงจะใช้สายตาในการถามพวกเขาและพวกเขาจะมีการแสดงออกทางสีหน้าที่ละเอียดอ่อนเพื่อเตือนหยุนฉินเฟิงทำให้เหล่าทูตเชื่อว่าทั้งสองคนเป็นผู้เจรจาที่แท้จริงแต่หยุนฉินเฟิงยังคงรับมือได้ยากมาก และจิตใจของเขาก็มั่นคงเกินไปการเจรจาถูกระงับ และแต่ละคนก็ไปที่ห้องปิดเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวคณะทูตรัฐหยานหงหลู่ซือชิงกังวลเล็กน้อยและถามหยุน ฉินเฟิงว่า"ฝ่าบาท จะเป็นอย่างไรหากพ

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 328 เจรจาอีกรอบ

    จินซูขยับเก้าอี้ออกไป นั่งอยู่หน้าระเบียง มองดูสายฝนฤดูใบไม้ผลิที่โปรยลงมาบนใบไม้ใหม่ใบไม้อ่อนกำลังเติบโตเป็นสีเขียวใหม่ และก่อนที่ดอกพีชจะเหี่ยวเฉา ใบไม้ก็ผลิออกมา แข่งขันกับดอกไม้เพื่อความสวยงามและความสดชื่นฝุ่นบนพื้นกระเบื้องหินสีฟ้าเปียกและมีสีเทาแกมเขียวเด็กๆที่เล่นกันกลับไปซ่อนตัวจากสายฝน จื่ออี๋เดินออกจากซุ้มโดยไม่มีร่มแล้วเดินเข้าไปอีกครั้งโดยสงสัยว่าเขายุ่งอยู่กับอะไรจินชูสูดอากาศบริสุทธิ์และหนาวเย็นเข้าลึกๆ รู้สึกว่าชีวิตของเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปหลิวต้าอันถือร่มและเดินผ่านอาคารเล็กๆ เพื่อไปที่วอร์ด จินชูทักทายเขาว่า"สวัสดี แอนดี้!"หลิวต้าอันเหลือบมอง เขย่าร่มในมือ และหยาดฝนที่ตกลงมาก็ตกลงบนหัวของเขา เขารีบยกมันขึ้นแล้วถามว่า"เกิดอะไรขึ้น"จินยี่ยิ้มสดใสโชว์ฟันขาวเล็กๆ ของเธอ"แค่เรียกนายเฉยๆ"หลินต้าอันตัวสั่นอีกครั้ง ป่วยเหรอ สามารถรักษาได้รึเปล่านะเขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรเมื่อเช่าหยวนกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นเธอนั่งอยู่บนระเบียงสวมเสื้อคลุมและมองดูสายฝน“อะไรคือเสน่ห์ของฝนนี้กัน ทำให้ภรรยาของฉันหลงใหลได้ขนาดนี้”เช่าหยวนก้าวขึ้นไ

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 327 ดูรายงานเสร็จแล้ว

    ในตอนเย็นเชาหยวนพาจินซูไปที่บ้านของตระกูลหวู่บัณฑิตอดอาหารประท้วงมาหลายวัน ร่างกายก็อ่อนล้า ล้มป่วยลุกไม่ขึ้นนานแล้วตั้งแต่กลับมาจากวังวันนี้ และกินข้าวต้มไปครึ่งชามแล้วดังนั้นเมื่อเชาหยวนและจินซูมาถึง เขาไม่สามารถลุกจากเตียงได้ เขาทำได้เพียงให้คนอุ้มเขาไปที่เก้าอี้นางสนมในห้องโถงหลักเพื่อนอนลงครึ่งหนึ่งใบหน้าของเขาแดงก่ำมาก และเขาเอาแต่พูดว่า"ฉันเสียมารยาทแล้ว ฉันเสียมารยาทมากจริงๆ"เชาหยวนกดมือของเขาแล้วพูดว่า"คุณไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้ บัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ คุณเข้าพบกับฝ่าบาทในวังแล้วเหรอ"“ข้าไม่เห็น ฝ่าพระบาทตรัสว่าจะทรงกักตัวไว้สามวัน ไม่ยอมออกจากห้องจำศีล ทรงตรัสกับเหล่าขุนนางผ่านประตูเพียงไม่กี่คำก็สมานฉันท์กันมาก”คำพูดของบัณฑิตนั้นอ่อนแอ และสุดท้ายเขาก็พูดว่า "สามัคคี" ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้างจินชูหยิบสารละลายสารอาหารออกมาและสั่งให้ใครสักคนป้อนให้เขาดื่ม จากนั้น เขาจึงรู้สึกเข้มแข็งขึ้นเล็กน้อยที่จะพูดเขาถอนหายใจลึก ๆ"ต่อจากนี้ไป ชะตากรรมของตระกูลหวู่ น่ากังวลแล้วล่ะ"ไม่ว่าจะยุติธรรมหรือไม่ก็ตาม ตระกูลหวู่ก็ล้มเหลวอย่างน่าสังเวชถ้าฝ่าพระบาททรงเป็นกษัตริย์ท

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 326 ขอโทษแล้ว

    หลังจากระบายความโกรธจักรพรรดิจิงชางก็ล้มลงบนเก้าอี้ไม้จันทน์แกะสลัก พร้อมด้วยเบาะนุ่มๆที่พยุงร่างกายที่สั่นเทาของเขา"ทำไมกันล่ะ?"เขาเป็นจักรพรรดิแล้ว!เขาเคยเห็นจักรพรรดิ์ผู้สูงสุดอารมณ์เสียในห้องโถงราชวัง ไม่ต้องพูดถึงการทุบจี้มังกร เขายังฆ่าขุนนางในห้องโถงด้วยดาบของเขาเอง ทำให้เลือดกระเซ็นในห้องโถงอันศักดิ์สิทธิ์ทุกคนได้แต่คุกเข่าตัวสั่น ตะโกนขอให้พระองค์สงบลง และไม่มีใครตำหนิเขาจักรพรรดิสูงสุดเคยขอโทษขุนนางของเขา แต่นั่นเป็นการปรากฏตัวของคนขี้โกง ขอโทษที่ไหนกันล่ะ มันเหมือนกับการออดอ้อนเขาลงโทษตัวเองด้วยการไม่รับประทานอาหารเป็นเวลาสามวัน แต่มีขุนนางกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่นอกห้องหนังสือของจักรวรรดิและขอร้องให้เขารับประทานอาหารทำไมคนทั้งสองที่เป็นจักรพรรดิเหมือนกัน แต่ทำไมเขาและจักรพรรดิสูงสุดถึงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันมากขันทีเหวิงเป่ามาพร้อมกับเข็มขัดหยก คุกเข่าลงกับพื้นและยื่นเข็มขัดหยกด้วยมือทั้งสองข้าง“ฝ่าบาทถึงเวลาขึ้นราชวังแล้ว”“ฉันไม่ไป!”จักรพรรดิจิงชางพูดอย่างเย็นยะเยือก“ฝ่าบาท พระองค์ควรไปและต้องไป มันไม่นับว่าเป็นเรื่องอะไรเลย”เหวิงเป่าเงยหน้าขึ้นและรู

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 325 ฝ่าบาทโปรดสงบสติอารมณ์ด้วย

    จักรพรรดิสูงสุดตรัสถามเขาว่า “ปลาชนิดนี้ไม่อร่อยใช่ไหม”ขนตาของเขาไม่ขยับ รู้สึกว่าการจ้องมองของจักรพรรดิสูงสุดแทบจะเผาจนเป็นหลุมบนใบหน้าของเขา"รสชาติแย่ลงกว่าเดิม"สมเด็จพระจักรพรรดิทรงกัดแล้วตรัสว่า“คราวนี้รสชาติไม่ดีเพราะไม่ได้เอาหัว เหงือก และลำไส้ออก ปลาจึงมีกลิ่นแรง นอกจากนี้ หลังจับไม่ได้แช่ในน้ำสะอาดสองสามวัน ดังนั้นรสชาติของโคลนจึงเข้มยิ่งขึ้น”"เป็นแบบนั้นเองสินะ"จักรพรรดิจิงชางยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ได้ฟังเสียงของเขา ก็หายใจไม่ออก ทำไมเขาถึงยังเต็มไปด้วยความสง่างามและความรู้สึกกดขี่ล่ะในความเลือนลาง ได้ย้อนกลับไปในเจตนาฆ่าของคืนั้นร่างกายก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว“แล้วองค์จักรพรรดิคิดว่าเป็นความผิดของปลาหรือเป็นความผิดของแม่ครัวกันแน่ หรือว่าคนกินปลาสูญเสียความตั้งใจเดิมที่จะชอบปลาและไม่สามารถทนต่อข้อบกพร่องใดๆได้กันล่ะ”จักรพรรดิจิงชางหน้าซีดจักรพรรดิสูงสุดจ้องมองเขาอยู่นาน จากนั้นยกมือขึ้นแล้วพูดว่า:"ยกขึ้นมาอีกครั้ง"ขันทีเป่าตอบรับแล้วหยิบปลากรอบเล็กๆ ขึ้นมาอีกจาน มีสีทองและมีกลิ่นหอมจักรพรรดิสูงสุดใส่อันหนึ่งลงในชามของเขาเป็นการส่วนตัวแล้วพูดว่า"ลองอีกครั้งสิ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status