/ รักโบราณ / เสียงพิณในม่านหิมะ / บทที่ 7 ลมหายใจของสายพิณ

공유

บทที่ 7 ลมหายใจของสายพิณ

작가: Bosskerr
last update 최신 업데이트: 2025-08-07 23:50:25

หิมะยังไม่หยุดตกในคืนที่สาม ชาวบ้านในหมู่บ้านอวิ๋นหลิงเริ่มมีสีหน้าหวาดระแวง ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีการจุดไฟเล่นในลานกลางหมู่บ้านเช่นทุกปีเมื่อหิมะแรกมาเยือน มีแต่แววตาเหลียวมองฟ้าอย่างหวาดกลัว ราวกำลังรอคอยบางสิ่งที่มองไม่เห็น หากใกล้เข้ามา

ภายในห้องพักของโรงเตี๊ยมชั้นบนสุด ลู่จิ่นซานจ้องมองกล่องพิณเบื้องหน้า สามสายปรากฏแล้ว

ลืม...

จำ...

โทษ...

และคืนนี้ เขารู้สึกได้ว่าสายที่สี่กำลังจะตื่นขึ้น!

เขาไม่รู้ว่าการดีดแต่ละสายเกิดขึ้นเพราะฝัน หรือเพราะหัวใจเขาเริ่มยอมรับว่าอดีตคือเรื่องจริง แต่สิ่งที่รู้แน่ คือยิ่งเขาจำได้มากขึ้น เสียงของนางก็ชัดเจนมากขึ้นในหัว

“อวี้หลาน…” เขาพึมพำ “เจ้ารอข้าอยู่ที่ใดกันแน่”

ก่อนรุ่งสาง ลู่จิ่นซานกลับไปยังศาลเจ้าร้างอีกครั้ง เขาเชื่อว่าเสียงลมหายใจของพิณ คือเสียงของวิญญาณที่ยังไม่จากไป เมื่อเขาก้าวเข้าไปในศาลครานี้ กลับไม่พบแค่ความเงียบ

ตรงกลางห้อง มีหญิงสาวในชุดขาวนั่งหันหลังให้ ร่างนางนิ่งงัน แต่กลิ่นของดอกเหมยและเสียงสายพิณที่ไม่ถูกรบกวนยังคงลอยล่องอยู่รอบกาย

“เจ้ามารอข้าใช่หรือไม่” เขาถาม

หญิงสาวไม่ตอบ ลู่จิ่นซานย่อตัวลงเบื้องหลังเงานั้น ห่างเพียงไม่ถึงศอก

“ข้าจำได้มากขึ้นแล้ว” เขากล่าวเบา ๆ “แต่ข้ายังจำไม่ได้ว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องกลายเป็นเงา”

ร่างนั้นขยับเล็กน้อย

“เพราะเจ้าไม่ฟังข้าในวันนั้น” นางกล่าวเสียงนิ่ง “เจ้าสั่งให้ข้าดีดเพลงต้องห้ามทั้งที่เจ้าเองก็รู้ผลลัพธ์ของมันดี”

“ใช่…” จิ่นซานพยักหน้า “ข้าจำได้ ข้าคือผู้เขียนบทเพลงนั้น ข้าสั่งให้เจ้าดีดเพลงนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเจ้าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด”

“แล้วเจ้าก็ยังเลือกให้ข้าเล่น”

เขานิ่ง เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบา แต่ลึกกว่าคำพูดใดนางเอ่ยต่อ

“ข้ากลายเป็นนักพิณไร้เงา วิญญาณที่ผูกติดกับสายพิณทั้งเจ็ด และข้าจะอยู่เช่นนี้ จนกว่าเจ้าจะดีดสายสุดท้าย...”

จิ่นซานเบิกตากว้าง

“แล้วเจ้าจะได้กลับมาหรือไม่?”

“เปล่า” นางกล่าว “ข้าจะหายไปตลอดกาล”

คำพูดนั้นราวกับลมเย็นปะทะกลางอก เขาอยากพูดบางอย่าง แต่นางกลับลุกขึ้นเสียก่อน ร่างนั้นยังเลือนราง แต่เปล่งแสงอ่อนจางจากภายในเหมือนหิมะที่เรืองแสง ก่อนจาก นางกล่าวเพียงว่า

“สายที่สี่…ยอม”

และเมื่อนางหายไปจากศาลเจ้า ลู่จิ่นซานก็รู้ว่า สายพิณเส้นที่สี่ได้ปรากฏขึ้นแล้ว

ในคืนเดียวกันนั้น ลู่จิ่นซานกลับถึงโรงเตี๊ยมพร้อมสายพิณเส้นที่สี่ที่ปรากฏชัดเจนบนกล่องไม้ดำ เรืองรองในความมืดราวแสงจันทร์ต้องสายน้ำแข็ง

สายที่สี่…ยอม

คำนี้ไม่เพียงดังก้องในหัวเขา หากยังฝังลึกอยู่ในอก เหมือนรอให้ใครสักคนเปิดออกมาดู เมื่อเขาหลับตาลง ความทรงจำก็ไม่รอให้เชื้อเชิญ เขากลับไปยังอดีตอีกครั้ง

บัดนี้ เขายืนอยู่กลางทุ่งโล่งที่ถูกเปลวเพลิงล้อมรอบ เสียงระเบิดของอาวุธ เสียงกรีดร้องของผู้บาดเจ็บ และเสียงเกราะที่กระทบกันดังไปทั่ว แต่กลางทุ่งไฟนั้น กลับมีเวทีไม้ขนาดย่อม เวทีเดียวที่ไม่ถูกเผาไหม้ และบนนั้น อวี้หลานนั่งอยู่

มือของนางเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดซึมตามปลายนิ้ว แต่ยังฝืนดีดพิณโดยไม่ลังเล เสียงของนางไพเราะเกินจะบรรยาย มิใช่เพราะท่วงทำนองนั้นประณีต หากเพราะทุกเสียงนั้นมีวิญญาณเป็นตัวขับเคลื่อน

“หยุดเถิด!”

ลู่จิ่นซานในภพก่อนตะโกนขึ้น ทะยานเข้าไปบนเวที อวี้หลานหยุดมือชั่วครู่ ริมฝีปากซีดเซียวเผยรอยยิ้มอ่อน

“เจ้ามาเร็วเกินไป…” นางกล่าวแผ่วเบา

“ข้ามาเพื่อพาเจ้าไปจากตรงนี้!”

“เจ้าลืมหรือ ว่าใครเป็นผู้เขียนท่วงทำนองบทสุดท้ายไว้ให้ข้า?”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง อวี้หลานก้มหน้าลง สัมผัสพิณเบา ๆ ราวกับลูบหัวเด็กน้อย

“ข้าไม่โทษเจ้าเลย เจ้าเพียงแค่เลือกทำเพื่อแคว้น เพื่อผู้คน ไม่ใช่เพื่อข้า”

“แต่ข้ายอมเสียทุกสิ่ง หากเจ้าจะไม่เป็นแบบนี้!” เขาคำราม

นางยิ้ม “ไม่ ข้าต่างหากที่ยอมเสียทุกสิ่ง เพื่อให้เจ้ามีโอกาสไถ่บาปในภพหน้า”

“แม้ข้าจะไม่มีวันได้กลับไปเป็นมนุษย์อีก”

สิ้นคำพูดนั้น เปลวไฟเผาผืนฟ้าจนแดงฉาน และเขาก็ตื่นขึ้นภายในห้องมืดสนิท ลู่จิ่นซานลืมตาในความเงียบ เสียงหัวใจตนเองยังเต้นดังคล้ายกลองรบ เขาเหลียวมองกล่องพิณที่วางอยู่บนโต๊ะ

สายพิณเส้นที่สี่เรืองแสงจาง ๆ จนเหมือนจะละลายหายไป

“เจ้าคือผู้ที่ยอม ส่วนข้าคือผู้ที่ลืม”

“บัดนี้ข้าจะจำ และข้าไม่ยอมอีกแล้ว”

เขากระซิบเสียงแผ่ว ก่อนจะลุกขึ้น ยกกล่องพิณขึ้นแนบอก ราวกับสิ่งนั้นคือวิญญาณของนาง

และเมื่อเขาเดินไปเปิดหน้าต่างแสงจันทร์คืนหิมะแรกก็ส่องต้องใบหน้าของเขาอย่างเงียบงัน

ขาว เยือกเย็น งดงาม

และตรงใต้ต้นเหมยนอกโรงเตี๊ยม มีเงาร่างหนึ่งนั่งดีดพิณเงียบ ๆ อยู่ก่อนแล้ว

แสงจันทร์ทอดผ่านม่านหิมะลงมายังลานโล่งข้างโรงเตี๊ยม ใต้ต้นเหมยเก่าแก่ที่เพิ่งเริ่มผลิดอก กลีบขาวร่วงลงราวหิมะอ่อน

ลู่จิ่นซานก้าวออกมาเงียบ ๆ ในอ้อมอกมีเพียงกล่องพิณที่อวี้หลานมอบไว้ ราวกับของสิ่งนี้คือเส้นโยงระหว่างเขากับนาง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และเงาที่ลอยค้างในห้วงฟ้า

ใต้ต้นเหมย เขาเห็นนางอีกครั้ง อวี้หลานนั่งหันหลังให้ มือวางลงบนพิณเงาที่ไม่มีสายจริง เสียงพิณไม่ได้ดังจากไม้หรือสาย แต่จากปลายนิ้วที่แตะอากาศ เสียงนั้นคือเสียงในหัวใจเขาเอง เขาเดินเข้าไปเงียบ ๆ จนหยุดอยู่เบื้องหลังนาง

“เหตุใดเจ้ายังดีดพิณอยู่ ในเมื่อมันไม่อาจมีเสียงแล้ว?” เขาถาม

อวี้หลานมิได้หันกลับมา นางเพียงเอ่ยว่า “เพราะข้าเคยเป็นผู้ไม่มีเสียงมาก่อน การดีดพิณ คือสิ่งเดียวที่ทำให้ข้ามีอยู่”

ลู่จิ่นซานย่อตัวลงนั่งข้างนาง มองมือนั้นที่ยังขยับแม้ไร้สาย

“ข้าจำได้แล้วว่าเจ้าคือผู้ที่ ยอม ยอมเสียเสียง ยอมเสียชีวิต ยอมสูญเสียความเป็นมนุษย์เพื่อให้ข้ามีโอกาสไถ่คืนในภพหน้า”

อวี้หลานนิ่งไปชั่วขณะ

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้ายังจำทุกสิ่ง?”

ลู่จิ่นซานหันไปมอง ดวงตาของนางฉายแววเศร้าลึก

“แม้ข้าจะไร้ร่าง แม้ข้าจะไม่มีเงา แม้เจ้าจะไม่จำข้าเลยสักนิดในภพนี้ แต่ข้าจำเจ้าทุกภพ ทุกชาติ ทุกครั้งที่เจ้าลืมข้า”

คำพูดนั้นแทงลึกลงกลางใจเขา จิ่นซานวางกล่องพิณลงข้างตัว แล้วเอื้อมมือแตะหลังมือของนางเบา ๆ สัมผัสนั้นเย็นเหมือนหิมะ แต่ไม่หายไป

“ข้าจำเจ้าแล้ว อวี้หลาน...”

“ส่วนข้ายังจำเจ้าในวันสุดท้าย ได้เสมอ” นางกล่าวเสียงแผ่ว

“เจ้าหันหลังเดินจากไป ขณะที่ข้ากำลังดีดสายสุดท้าย”

เขาหลุบตาลง เสียงในหัวกึกก้องด้วยความเสียใจที่ไม่มีคำใดพอจะชดใช้

“หากข้าจะจบเพลงนี้ในภพนี้ เจ้าจะยอมหายไปตลอดกาลหรือไม่?”

นางหันมาช้า ๆ ครานี้ใบหน้าชัดเจนขึ้นในแสงจันทร์ มันงดงาม ละเมียดละไม และเปี่ยมด้วยความอาดูรในแววตา

“หากข้าจะต้องหายไปเพื่อให้เจ้าได้เป็นอิสระ ข้ายินดี”

“แต่หากเจ้าจะดีดจนจบเพื่อให้เรากลับมาผูกกันอีกครั้ง เจ้าต้องยอมรับว่าเส้นทางนั้นอาจไม่มีแม้แต่ความเป็นมนุษย์ให้เราเหลือ”

ลู่จิ่นซานจับมือนางแน่นขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าจะยอมอยู่กับข้า แม้ข้าจะเป็นเพียงเงางั้นหรือ?”

อวี้หลานพยักหน้าช้า ๆ “ข้ายอม หากเจ้าจำได้จนสุดเสียง”

กลีบเหมยร่วงลงบนกล่องพิณเงียบ ๆ แล้วสายที่ห้าก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา

สายห้า…สิ้น

และแสงจากกล่องพิณนั้น สะท้อนน้ำตาในดวงตาของเขาเสียงเงียบงันปกคลุมทั่วทั้งลานใต้ต้นเหมย

ท่ามกลางกลีบขาวที่ร่วงโรย ไม่มีเสียงพิณ ไม่มีบทสนทนา ไม่มีแม้แต่เสียงลม มีเพียงกล่องพิณไม้ดำ ที่บัดนี้มีสายห้าเส้นเรียงตัวอย่างสมบูรณ์

ลืม...

จำ...

โทษ...

ยอม...

สิ้น...

ทันทีที่สายที่ห้า “สิ้น” ปรากฏ ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็เกิดขึ้น ลมในหุบเขาเงียบลงโดยสิ้นเชิง หิมะที่ตกไม่หยุดมาตลอดสามคืนก็ชะงักกลางอากาศ

เกล็ดหิมะพันพันเม็ดแขวนลอยนิ่งในอากาศ ราวถูกหยุดกาลเวลา กลีบเหมยบางเบาหยุดนิ่งกลางการร่วงโรย ขณะที่ลู่จิ่นซานกับอวี้หลานยังนั่งแนบชิดใต้ต้นไม้ ไม่มีสิ่งใดขยับ มีเพียงสองหัวใจที่เต้นในห้วงจังหวะเดียวกัน

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า มันมืดกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ดวงจันทร์ที่เคยขาวเจิดจ้ากลับกลายเป็นสีน้ำเงินเทา เหมือนกำลังหลอมรวมเข้ากับหมอกบางที่ไม่มีที่มา และในเงาสะท้อนจากหิมะ เขาเห็นบางสิ่ง

ภาพเงาผู้หญิงในชุดคลุมหลวงยืนอยู่กลางสระน้ำแข็ง ด้านหลังคือตำหนักวังหลวงที่ลุกโชนด้วยไฟไม่มีเปลว นางมีใบหน้าคล้ายอวี้หลาน แต่ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำแข็ง น้ำตาที่ไม่อาจละลาย

นางเงยหน้าขึ้น ชี้นิ้วมาที่เขา “เจ้าทำให้ข้าไม่มีแม้แต่เงาของตนเอง”

แล้วภาพนั้นก็แตกละเอียด กลับกลายเป็นหิมะร่วงอีกครา ลู่จิ่นซานหอบหายใจแรง อวี้หลานข้างกายเขาแตะมือเขาเบา ๆ

“เจ้าพบเงาของข้าแล้วใช่หรือไม่”

“ใช่ แต่นางไม่มีวิญญาณ”

“เพราะนั่นคือสิ่งที่ข้าแลกให้เจ้าในภพนั้น”

เขาหลับตาลง น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากหางตาอย่างเงียบงันจากความ จำ เขามาถึง สิ้น และเขารู้ว่า อีกเพียงสองสาย ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป

ไม่เพียงเขา ไม่เพียงนาง แต่โลกทั้งใบที่เคยเงียบงัน จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ทันใดนั้น เสียงฆ้องหลวงก็ดังขึ้นจากเบื้องล่างหมู่บ้าน เสียงนั้นมาพร้อมคำสั่งราชโองการจากเมืองหลวง

“ราชสำนักมีรับสั่งด่วน! ให้จับกุมผู้ครอบครองพิณต้องห้ามส่งตัวขึ้นวังหลวงโดยพลัน!”

ในเวลานั้น สายพิณสายที่หก ก็เริ่มเรืองแสง...

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 3 เด็กสาวกับพิณสายสุดท้าย

    กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 2 คำสัญญาใต้ต้นเหมย

    หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   ตอนพิเศษ 1 หิมะสุดท้ายในดินแดนไร้ชื่อ

    บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 23 ท่วงทำนองที่ไม่มีจุดจบ

    ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 22 เด็กสาวกับกล่องพิณเก่าเก็บ

    เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม

  • เสียงพิณในม่านหิมะ   บทที่ 21 ความเงียบของพิณที่ไม่มีสาย

    ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status