ยามรุ่งสางของวันที่สี่ หิมะไม่หยุดตก ทว่าในความหนาวเยือกนั้นกลับมีเสียงฆ้องดังก้องไปทั่วหมู่บ้านอวิ๋นหลิง
“ราชโองการจากวังหลวง! ผู้ใดครอบครองพิณต้องห้าม จงมอบตนออกมา!”
“มิฉะนั้นจะถือว่าคิดกบฏ!”
ลู่จิ่นซานยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม ม่านหิมะเบื้องหน้าไม่ได้บดบังแววตาที่เงียบงันของเขาเลยแม้แต่น้อย
เบื้องล่าง ทหารหลวงกว่าสิบคนกำลังตรวจค้นบ้านเรือนทีละหลัง พวกเขาสวมเกราะเงินดำปักตราดอกเหมยแดงบนบ่า
ตราของ “หน่วยหลิงอิ๋น” หน่วยลับที่ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ ไม่มีใครกล้าขัดขืน ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธ เขากำกล่องพิณแน่น ร่างไม่ไหวติง
คืนนี้ สายพิณเส้นที่หกเริ่มสั่นขึ้นโดยที่เขายังมิได้สัมผัส
“สายหก…รัก”
ก่อนรุ่งสาง ฟ้ายังคล้ำ ลมหนาวตัดผ่านช่องหน้าต่างอย่างไร้ปรานี แต่ในอกเขากลับอบอุ่นร้อนผ่าว ราวเปลวเพลิงแห่งอดีตที่ยังคงลุกไหม้ไม่จาง เขารู้ว่าราชโองการครั้งนี้มิได้มีเป้าหมายแค่ “พิณ” หากแต่เป็น “ผู้ดีด” ต่างหาก ประตูห้องพักถูกเคาะแรงสามครั้ง
“ลู่จิ่นซาน ท่านอยู่หรือไม่? ข้าคือหัวหน้าหน่วยหลิงอิ๋น ได้รับบัญชาให้นำท่านเข้าสู่เมืองหลวง!”
เสียงนั้นเข้มแข็งแต่ไร้ความโกรธ มีเพียงน้ำเสียงของคนที่รู้หน้าที่
ลู่จิ่นซานไม่ตอบ แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเปิดหรือไม่เปิดประตู เสียงหนึ่งก็แว่วมาเบื้องหลัง เสียงของนาง
“เจ้าจะตามข้าไปหรือไม่”
เขาหันขวับไป กลางห้องมีเพียงเงาในม่านขาวปลิวสะบัด และกลิ่นดอกเหมยลอยราง ร่างของอวี้หลานปรากฏขึ้นกลางม่านหมอกอีกครั้ง นางอยู่ในชุดขาว ปราศจากผ้าคลุมหน้า มือนางวางอยู่บนพิณไม่มีสาย ใบหน้านิ่งงัน แต่มุมปากมีรอยยิ้มบาง ราวกับรู้ดีว่าโลกทั้งใบจะตามล่านางอย่างไร
“ข้าจะไปกับเจ้า” เขาตอบทันที “ไม่ว่าจะต้องพบอันใดในวังหลวง”
นางมองเขาเนิ่นนาน ก่อนพยักหน้าเบา ๆ
“เช่นนั้นก็จงเตรียมใจเถิด”
“ฮ่องเต้มิได้กลัวข้าเพราะเสียงพิณ”
“หากแต่เพราะเสียงนั้นเคยเป็นของเขา”
สิ้นคำ นางยื่นมือข้างหนึ่งมาให้เขา มือเรียวยาว สัมผัสเย็นดุจหิมะ แต่นุ่มนวลราวแสงจันทร์ เขาแตะมือนาง ในที่สุด
เมื่อเปิดประตูออกไป เบื้องหน้าของทั้งสองคือทหารหลวงนับสิบที่ชะงักไปชั่วขณะ ทุกสายตาจับจ้องมาที่อวี้หลาน ผู้หญิงในชุดขาวที่ไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครรู้ชื่อ และไม่มีใครรู้ว่านางมาจากแห่งใด ทว่าเพียงก้าวแรกที่นางเหยียบลงบนหิมะ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น
ตึง…
สายพิณที่มองไม่เห็น สะท้อนเสียงในหัวของทหารทุกคน ในชั่วพริบตา ทหารห้าคนทรุดลงกับพื้น มืออุดหู ใบหน้าเผือดซีดราวเห็นวิญญาณ หนึ่งในนั้นร้องเสียงหลง
“เป็นนาง! หญิงในตำนานแห่งเพลงพิณหิมะต้องสาป!”
อวี้หลานมองพวกเขาด้วยแววตาไร้ความแค้น นางมิได้ดีดพิณ มิได้ยกมือ มีเพียง “พลังเสียง” ที่ยังแฝงอยู่ในร่างวิญญาณที่ยังไม่สมบูรณ์ของนาง
และนั่น คือสิ่งที่ฮ่องเต้เคยหวาดกลัวที่สุด แม้จะไม่มีใครสั่ง ทหารหลวงก็น้อมศีรษะลงพร้อมกันโดยไร้เสียง
ไม่มีผู้ใดกล้าขยับ
ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้าน
ในชั่วอึดใจนั้น ลู่จิ่นซานรู้แน่ชัด ว่าหญิงผู้ยืนเคียงข้างเขามิใช่เพียงผู้ดีดพิณในม่านหิมะ แต่นางคืออาวุธที่เคยเปลี่ยนแผ่นดิน
อวี้หลานหันไปทางหัวหน้าหน่วยหลิงอิ๋น แววตานิ่งสนิท ไม่หยิ่ง ไม่โกรธ ไม่หวาดหวั่น
“จงพาเราเข้าสู่วังหลวง” นางเอ่ย “ก่อนที่สายพิณเส้นที่เจ็ดจะปรากฏ”
หัวหน้าหน่วยหลิงอิ๋นเม้มริมฝีปาก สายตาสั่นไหวเพียงชั่วครู่ ก่อนพยักหน้าแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว
“เชิญ…”
วันถัดมา ขบวนเกวียนสี่คันมุ่งหน้าสู่นครหลวง เส้นทางถูกปิดเพื่อขบวนพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรัชสมัยนี้
ในเกวียนคันกลาง ลู่จิ่นซานนั่งอยู่กับอวี้หลาน ภายในเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหิมะลอดผ่านแผ่นไม้บาง ๆ
“เจ้ารู้หรือไม่” เขาเอ่ย “ในคืนแรกที่ข้าได้ยินเสียงพิณ ข้าแทบหยุดหายใจ”
นางยิ้มนิดหนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าก็ยังหายใจอยู่ดี”
“ใช่” เขาพยักหน้า “แต่ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป”
อวี้หลานหลุบตา ก่อนกล่าวเสียงเบา “เจ้าจะต้องรู้ความจริงในวังหลวง ว่าเสียงพิณนี้เคยเป็นของผู้ใดมาก่อน”
“เจ้าไม่ได้หมายถึงข้าหรือ?”
“ไม่” นางส่ายหน้า “ก่อนนั้นเคยมี อีกผู้หนึ่ง”
ลู่จิ่นซานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใคร?”
อวี้หลานตอบโดยไม่มองหน้าเขา
“ผู้ที่ดีดสายพิณเส้นแรกในราชสำนัก คือฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน”
เกวียนทั้งคันเงียบกริบไปครู่หนึ่ง เสียงล้อกระทบหิมะยังคงดังสม่ำเสมอ แต่ภายในหัวของลู่จิ่นซานกลับสั่นสะเทือนรุนแรง
“ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันหรือ?” เขาทวนเบา ๆ
“ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินนี้น่ะหรือ?”
“ใช่” อวี้หลานเอ่ย “เมื่อครั้งยังมิได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์คือเจ้าชายรัชทายาทที่หมกมุ่นในเสียงพิณ และข้า คือ เสียงสะท้อน ของเขา”
นางหันมาสบตาเขา ดวงตานั้นวาววับแฝงความปวดร้าว
“ข้าเคยเป็นเงาใต้ดวงจันทร์ของเขา เป็นเสียงที่เขาใช้สะกดทุกคนรอบกาย เป็นอาวุธในเงามืด”
“ข้าเคยดีดเพลงปลุกทัพ เพลงหลอกศัตรู เพลงสะกดใจและเพลงสะกดความตายเพื่อเขา”
“แต่เมื่อเสียงของข้าเริ่มไม่เชื่อฟัง เขาก็พยายามทำลายมัน”
ลู่จิ่นซานหลุบตาลง เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าอวี้หลานผู้สงบนิ่งและโอบอ้อม จะเคยเป็นอาวุธในราชสำนักมาก่อน และเขายิ่งไม่อาจจินตนาการ ว่าฮ่องเต้ผู้ทรงเงียบขรึมเยือกเย็น จะเคยรักนางจนสร้างนางขึ้นจากเสียงพิณ
“ข้าถูกสร้างจากเสียงของเขา” อวี้หลานกล่าว
“แต่ข้าจะสูญสลาย จากเสียงของเจ้า”
เขาเงยหน้าขึ้น “หากข้าเลือกไม่ดีดสายสุดท้ายเล่า?”
“เจ้าก็จะติดอยู่กับเสียงของข้า ไม่มีวันจบสิ้น”
ลู่จิ่นซานยิ้มแผ่ว “ข้ายอม”
ประตูเมืองหลวงเปิดช้า ๆ ท่ามกลางหิมะที่ยังคงตกไม่หยุดเมื่อขบวนเกวียนเข้าสู่ชั้นในสุดของราชสำนัก เสียงฆ้องดังขึ้นหนึ่งระลอก บรรดานายทหารและขันทีต่างล้อมทางเดินอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีผู้ใดกล้เอ่ยวาจา แม้จะเห็นว่าแขกที่มาถึงในวันนี้…ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่ขุนนาง หากเป็นชายหนุ่มหนึ่งคนกับหญิงในชุดขาวผู้มีพิณในเงา
ลู่จิ่นซานก้าวลงจากเกวียนพร้อมกล่องพิณในมือ อวี้หลานก้าวตามหลังเขา แต่เพียงเท้าของนางแตะพื้นหินอ่อน เสียงหิมะร่วงก็ชะงักในอากาศ ผู้คนรอบข้างสะท้านเงียบงัน ราวรับรู้ถึงบางสิ่งเสียงนั้นกำลังตื่นอีกครั้ง...
ภายในตำหนักเหยียนกง ที่ตั้งอยู่เหนือแอ่งน้ำแข็งกลางวังหลวง คือที่ประทับในฤดูหนาวของฮ่องเต้
ลู่จิ่นซานกับอวี้หลานถูกนำเข้าไปยังห้องท้องพระโรงด้านข้าง ซึ่งไม่มีขุนนางร่วมเข้าเฝ้าแม้แต่คนเดียว มีเพียงองค์ฮ่องเต้ที่ประทับบนแท่นบัลลังก์ไม้ดำ ใต้ม่านผ้าไหมโปร่งที่ล้อมรอบด้วยกลิ่นกำยานจาง ๆ องค์ฮ่องเต้ไม่เอ่ยวาจาแม้คำเดียว แม้เมื่อทั้งสองคุกเข่าลงเบื้องหน้า ก็ยังคงเงียบราวกับเฝ้ารอฟังบางสิ่งมากกว่าคำพูด
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนอวี้หลานเป็นผู้เอ่ยก่อน
“ฝ่าบาทยังคงหวง ‘เสียง’ ของตนเองอยู่หรือไม่”
พระเนตรเบื้องหลังม่านผ้าค่อย ๆ เหลือบลงมอง เสียงที่เปล่งออกมา เย็นเฉียบราวน้ำแข็งกลางเหมันต์
“เสียงนั้นมันเคยเป็นของข้า แต่บัดนี้ มันกลับมีเจ้าของใหม่แล้ว”
ลู่จิ่นซานเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาสบกับเงามืดในม่าน
“พระองค์รู้ว่าเสียงนั้นกลับมา แล้วเหตุใดจึงไม่ทำลายพิณนี้เสียแต่ต้น?”
ฮ่องเต้ยิ้มน้อย ๆ เสียงหัวเราะไม่มีเสียง ดวงหน้าใต้เงาเงียบงัน
“เพราะข้าต้องการรู้ ว่าผู้ใดสามารถดีดสายที่เจ็ดได้โดยไม่สูญเสียตนเอง”
“หากเจ้าทำได้ ข้าจะยก ‘เสียง’ คืนให้เจ้าทั้งหมด หากเจ้าทำไม่ได้ ก็จงจมไปพร้อมนาง เช่นเดียวกับที่ข้าเคยปล่อยให้นางจมไปแล้วครั้งหนึ่ง”
อวี้หลานยืนขึ้นช้า ๆ พิณไม่มีสายลอยปรากฏในเงามือของนางโดยไม่ต้องสัมผัส นางกล่าวเสียงราบเรียบ
“ท่านไม่เคยรักข้า”
“ท่านเพียงอยากครอบครอง ‘เสียงของข้า’ เพื่อสะท้อนตนเองเท่านั้น”
“แต่เขา…” นางเหลือบมองลู่จิ่นซาน “แม้จะไม่มีเสียง แต่กลับจำท่วงทำนองของข้าได้ทั้งหมด แม้ไม่มีบทเพลงใดเป็นลายลักษณ์”
ฮ่องเต้เงียบไปนาน ก่อนจะกล่าวเพียงคำเดียว
“ข้าจะรอ…สายที่เจ็ด”
แล้วม่านผ้าก็ปลิวลง ปิดบังพระวรกายไว้เบื้องหลังอีกครา
และในชั่วขณะที่ประตูตำหนักถูกเปิดออก ลู่จิ่นซานกับอวี้หลานก็ถูกนำไปยังตำหนักรองไป๋อวี้กง ตำหนักที่ไม่มีใครใช้อาศัยมานานหลายปี
ในยามเที่ยงคืนของวันนั้นเอง กล่องพิณไม้ดำเรืองแสงขึ้นอีกครั้ง
สายที่หก...รัก ได้ปรากฏอย่างสมบูรณ์
และเมื่อลู่จิ่นซานแตะปลายนิ้วลงบนสายที่หก เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งในหัว ดังแผ่วเบาดังลมหายใจสุดท้ายของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ข้ายอมถูกสร้างขึ้นใหม่ ในทุกภพชาติ เพียงเพื่อจะได้ดีดเพลงนั้นให้เจ้าอีกครั้ง”
กาลเวลาผันผ่าน โลกหมุนเวียนสู่ยุคใหม่ กลิ่นหอมของดอกเหมยยังไม่จาง แต่ผู้คนมิรู้จักตำนานเดิมอีกต่อไปบนเส้นทางสายหิมะที่ไร้ชื่ออยู่บนแผนที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งแบกกล่องพิณเก่าเดินต้านลม นางมิใช่นักเดินทาง มิใช่นักดนตรี แต่เป็นเพียงเด็กสาวจากหมู่บ้านตีนเขาที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงหญิงชุดขาวกับชายผู้เงียบงันเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในหิมะที่ไม่ละลาย และหญิงผู้นั้นดีดเพลงทั้งที่ไม่มีพิณอยู่ในมือนางตื่นทุกเช้าแล้วจดโน้ตเพลงจากในฝันลงบนกระดาษเก่า ใครก็ว่าเป็นความเพ้อฝัน เป็นเด็กสาวเพี้ยน ๆ ที่พูดคนเดียวกับหิมะ แต่ในใจนางรู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดาในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกช้า ๆ เด็กสาวจึงตัดสินใจ เดินขึ้นเขาตามเสียงในหัวใจ กล่องพิณในมือเป็นกล่องที่เก่าเก็บมาตั้งแต่รุ่นยาย ไม่มีใครรู้ที่มา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมในกล่องถึงมีพิณที่ขาดไปหนึ่งสายนางปีนขึ้นเขา ฝ่าหิมะและพายุด้วยแรงใจจากเพลงที่ไม่มีผู้ใดสอน เมื่อถึงยอดเขามีเพียงเงาไม้หนึ่งต้น และร่างเงียบงันของชายชรา เขานั่งหลับตา มือวางบนตัก หิมะเกาะบนไหล่ของเขาแต่ใบหน้ากลับสงบ ราวกับรอฟังบางสิ่ง“ท่านรอฟังข้าใช่หรือไม่” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาเงียบ..
หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของพันธะกรรมทั้งปวงเราต้องก้าวข้ามกาลเวลา และเดินทางย้อนเข้าสู่ชาติภพแรกในยุคสมัยที่ดินแดนยังไม่มีชื่อ แม่น้ำยังไม่มีสะพานภูเขายังไม่ถูกสลักชื่อโดยนักปราชญ์ มีหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งกลางหุบเขาเหมยซึ่งทุกต้นไม้ผลิดอกตลอดปีแม้ฤดูเหมันต์จะเข้ามาเยือนหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย อบอุ่น และไม่มีสงคราม ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามจังหวะของฟ้า และในหมู่บ้านนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ดอกเหมยร่วงเพียงแค่ดีดพิณหนึ่งสาย“นางคือเทพธิดาแห่งเสียงพิณ” ผู้เฒ่าเล่าขาน“หรืออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ฟ้าส่งมาเพื่อปลอบใจมนุษย์”นางมีชื่อว่า “หลานเอ๋อร์” ชื่อที่เรียบง่ายเหมือนน้ำใสไหลผ่านก้อนหิน นางเติบโตมากับเสียงสายลมและพิณไม้เก่า นางมิได้ร่ำเรียนวิชาใดจากผู้ใดหากแต่สามารถสร้างท่วงทำนองจากเสียงหัวใจตนเองทุกเย็นหลังเสร็จจากงานในไร่นา นางจะนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่กลางหมู่บ้าน ดีดเพลงเพียงเบา ๆ ผู้คนฟังแล้วใจสงบ เด็กน้อยหลับสบาย และชายคนหนึ่งกลับมาตรงเวลาในทุกวันเพื่อฟังเสียงนั้นชายผู้นั้นชื่อ “จิ่นซาน” เขาไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นนักเดินทางผู้หลงทางจากแดนไกลครั้งแรกที่พบหลานเอ๋อร์ เขาเปรอ
บนโลกนี้มีดินแดนหนึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกในแผนที่ ไม่มีชื่อในราชโองการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเคยมีอยู่จริงดินแดนนั้น อยู่เหนือปลายเขาสูงซึ่งหิมะตกตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีร้อน ไม่มีฝน มีเพียงเกล็ดขาวโปรยปราย ราวม่านบางที่ซ่อนโลกทั้งใบไว้เบื้องหลังว่ากันว่า หากใครเดินลึกเข้าไปจนถึงใจกลางหุบหิมะจะได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงที่ไม่ใช่ลม ไม่ใช่น้ำตก หากแต่คือเสียงพิณที่ไม่มีสาย เสียงดั่งถ้อยคำของผู้จากไป เสียงของแม่นางคนหนึ่ง แม่นางผู้ที่ไม่มีนามสกุล ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบรรพบุรุษ ไม่มีอนาคต มีเพียงชื่อหนึ่งซึ่งเหลืออยู่แต่ในตำนาน“อวี้หลาน...”ในยามที่โลกยังไม่ลืมนาง อวี้หลานเคยเป็นหญิงสาวจากสำนักดนตรีหลวง ผู้มีมือขวาที่สามารถแต่งเพลง และมือซ้ายที่ดีดพิณได้โดยไม่ต้องมองสาย“แม้มิได้กล่าวคำใด ข้าก็สามารถดีดหัวใจของผู้ฟังให้สั่นสะท้านได้” นางเคยกล่าวไว้แก่ศิษย์ร่วมสำนักอวี้หลานมิใช่นางสนม มิใช่นักรบ มิใช่นักพรต แต่นางคือเสียงในสนามรบ คือเสียงกล่อมทหารผู้ที่จะสละชีพคือเสียงสุดท้ายของวีรบุรุษที่ถูกลืมนางรับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปยังชายแดนทางใต้เพื่อดีดเพลงสงบจิตให้เหล่าทหารได้หลับตาอย่างไร้ความหว
ห้องเล็ก ๆ ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเงียบสงัด แสงโคมตะเกียงวูบไหวราวกับเต้นตามจังหวะลมหายใจของคืนหนาว เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามชายชรา วางกล่องพิณเก่าไว้เบื้องหน้าไม้เก่าลอกลาย รอยลวดลายบางส่วนเลือนรางแต่ความรู้สึกกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด“ท่านเคยอยู่ในวังหลวงหรือไม่”นางถามเสียงเบาดวงตาจับจ้องผู้สูงวัยตรงหน้าผู้มีแววตาราวกับผ่านหลายภพชาติชายชราพยักหน้า น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยราวกับบรรเลงผ่านกาลเวลา“ข้าเคยเป็นขุนนางของหอดนตรีฝ่ายพิณ รับใช้ในรัชสมัยก่อน จวบจนค่ำคืนที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไป”เด็กสาวเงียบฟังโดยไม่ขัด เมื่อได้ยินคำว่า ค่ำคืนที่โลกเปลี่ยนไป เสียงพิณในหัวใจก็ดังขึ้นอีกวูบคล้ายทำนองที่ถูกกลืนหายไปเริ่มกลับคืน“วันนั้น…” ชายชรากล่าว “ฮ่องเต้รับสั่งให้หญิงนางหนึ่งเข้าไปบรรเลงในท้องพระโรง นางผู้นั้นผิวซีด ดวงตาเรียบสงบ ราวกับมิใช่คนในโลกนี้”เขาหลับตามองย้อนในห้วงเวลา เสียงสายพิณไร้นามยังคงฝังใจเขาแม้ผ่านกว่าครึ่งศตวรรษ“เสียงพิณของนางไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ แต่คือบทอำลา นางดีดเพียงหกสาย ก่อนหยุดลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด”เด็กสาวเผลอยกมือแตะกล่องพิณ ความหนาวเย็นลอดผ่านไม้แต่ใจกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด“ห
เมืองเล็ก ๆ ริมชายแดน ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกว่าที่เคย ทว่าท้องฟ้ากลับยังคงโรยด้วยหมอกบาง ราวกับหิมะที่ยังหลงเหลือในความทรงจำของแผ่นดินเสียงระฆังในวัดเก่าดังขึ้นสามครั้ง นักเดินทางผู้หนึ่งปรากฏตัวที่เชิงเขา นางคือเด็กสาววัยสิบห้าปี ผิวขาวซีดจากการเดินทางไกล นัยน์ตาเศร้าเจือความเฉยชา ในอ้อมแขนของนางคือกล่องพิณเก่าเก็บคร่ำคร่า ไม้แห้งแตกตามอายุของมัน แต่หัวใจของกล่องพิณนั้นยังสั่นไหว“ท่านตาเคยบอกข้าว่า กล่องนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เสียงของมันอยู่ในตัวข้ามาตลอด”ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไรและไม่มีใครถาม เพราะในเมืองนี้เสียงพิณเคยเป็นเรื่องต้องห้ามนางเดินไปยังลานกว้างหน้าศาลเจ้าร้าง กวาดตาผ่านคนเฒ่าคนแก่ที่มุงดูเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ วางกล่องพิณลงบนแท่นหิน“ข้าอยากลองเล่น แม้มันจะไม่มีสาย แต่ข้าอยากรู้ว่า ข้าเคยได้ยินมันจากที่ใด”มือเรียวบางไล้ผ่านกล่องไม้ นิ้วทั้งสิบวางลงบนร่องเดิมของสายพิณที่ไม่หลงเหลือ ไม่มีเสียงใดเปล่งออก แต่นางหลับตาและเงียบ กระทั่งลมแรกของเช้า พัดปลายผมของนางให้ลอยไหว ใบหน้าขาวซีดนั้นสงบเยือกเย็นเหมือนคนที่ฟังเสียงจากอดีตอันไกลโพ้น“เจ้าได้ยินหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งถาม
ฤดูเปลี่ยนผ่านอีกครา ต้นเหมยยังผลิบานทุกปี พิณเก่ายังคงวางอยู่ ณ ที่เดิม แต่มือที่เคยดีดมันไม่มีอีกแล้วไม่มีผู้ใดเห็นลู่จิ่นซานอีกเลย ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเขาเคยจากไปอย่างไรหรือไปที่ใด ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่าเขาสิ้นใจใต้ต้นเหมยในวันนั้น บางคนบอกว่าร่างเขากลายเป็นลมที่พัดผ่านสายพิณ แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันสิ่งใดได้กระท่อมหลังเล็กในหุบเขาตะวันตกมีชายชราไร้นามอาศัยอยู่เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่หัวเราะ ไม่เล่นพิณ แต่ทุกวันเขาจะนั่งอยู่หน้าประตูมองไปยังผืนฟ้าราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่าง“ท่านปู่ ข้าดีดเพลงนี้ได้ไหมเจ้าคะ?”เด็กน้อยคนหนึ่งยื่นพิณมาให้ ชายชราเพียงยิ้มและเอื้อมมือไล้ผ่านสายอย่างนุ่มนวลโดยไม่ดีดเสียงใด แม่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นแต่เด็กน้อยกลับนิ่งงันและน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังพูดกับข้า…”พิณนั้นไม่มีสาย แต่มือเขายังจำท่วงทำนองได้ แม้เขาจะเป็นใบ้ แม้เสียงมิได้เปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ แต่ภายในความเงียบนั้นกลับดังก้องกว่าเสียงใดในโลกในคืนเดือนมืดเด็กน้อยผู้นั้นกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง ในมือมีเพียงกล่องพิณเก่าที่ไม่มีสายใดเหลื