“สวัสดีครับเสี่ย วันนี้หน้าตาสดชื่นจังเลยนะครับ”
เสียงของพนักงานในร้ายเอ่ยทักทาย ทำให้ธีร์ธวัชรีบใช้มือจับดูหน้าตัวเอง แปลกตรงไหน ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
“แปลกเหรอ” เขาย้อนถามพนักงาน
“ครับ แปลกมาก”
“แปลกยังไง”
“ก็วันนี้เสี่ยเดินยิ้มตั้งแต่หน้าร้านจนถึงตอนนี้ ยังไม่หุบเลยนะครับ”
ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มอยู่อย่างไม่รู้ตัวรีบหุบลงทันที พร้อมเม้มเข้าหากันแน่นกว่าเก่า
“เอาเหล้าขึ้นไปให้ด้วย เหมือนเดิม”
“ครับ ๆ ผมจะรีบเอาขึ้นไปให้นะครับ”
เสียงเข้ม ๆ เอ่ยสั่งเครื่องดื่มแก้เขิน ก่อนที่จะรีบก้าวขายาว ๆ จ้ำอ้าวไปยังชั้นสองที่เป็นห้องทำงาน แต่รอยยิ้มที่หุบเอาไว้เมื่อครู่ดันคลี่ออกมาอีกแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ธีร์ธวัชหย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ทำงานเมื่อเข้ามาในห้อง แผ่นหลังเอนพิงพนัก นิ้วมือก็เคาะลงบนโต๊ะ ในหัวกำลังฉายภาพเมื่อเช้าที่เขากำลังจูบยัยตัวแสบ ริมฝีปากเธอนุ่มมาก แถมหวานอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลิปสติกหรือเปล่าที่ทำให้เขารู้สึกว่าปากของเด็กดื้อนั้นหวานกว่าทุกคนที่เคยจูบมา
‘ฟุ้งซ่าน’ พอเริ่มรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ใบหน้าหล่อ ๆ ก็รีบส่ายไปมาเพื่อขจัดภาพของสายขิมที่หลับตาพริ้มให้เขาจูบเมื่อเช้า แต่ทำไมยิ่งพยายามสลัดออกไปเท่าไหร่ ภาพยัยตัวเล็กก็ยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น
‘น่ารัก’ แก้มที่แดงเรื่อขึ้นมาตัดกับผิวสีน้ำผึ้งสุขภาพดี มันยิ่งทำให้เธอดูน่ารักมากขึ้นแบบมาก ๆ
“เหล้ามาแล้วครับเสี่ย”
พนักงานชายใช้แผ่นหลังดันประตูให้เปิดเข้ามา เพราะมือทั้งสองข้างนั้นถือถาดเครื่องดื่มที่เขาสั่งเอาไว้ จากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะตรงโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเขา
“ให้เรียกเด็กไหมครับเสี่ย” พนักงานคนเดิมเอ่ยถามอย่างรู้ใจ
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันจะตรวจรายงานสักหน่อย ไม่อยากให้ใครมารบกวน”
“รับทราบครับ”
เมื่อพนักงานกลับออกไปแล้ว สายตาคมก็กลับมาจดจ้องกับเอกสารรายงานรายได้ของร้านต่อ ดูเหมือนว่าเดือนนี้ยอดขายจะพุ่งมากกว่าทุกเดือน แบบนี้คนเป็นเจ้าของร้านแบบเขาค่อยหายเหนื่อยหน่อย
“มีอะไรอีก ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากให้ใครมารบกวน”
ผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่าใครเปิดประตูเข้ามา
“เดี๋ยวนี้กับกิ๊บซี่ เสี่ยใช้คำว่ารบกวนแล้วเหรอคะ”
ร่างระหงในชุดสีแดงสดทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสองแขนกอดอกแล้วยกขาขึ้นไขว่าห้าง ทำให้กระโปรงที่เธอสวมอยู่ร่นขึ้นจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน แต่กิ๊บซี่ก็ไม่ได้สนใจจะดึงลงหรือปกปิด เพราะระหว่างเขากับเธอนั้นเคยเห็นกันมามากยิ่งกว่านี้เสียอีก
“ขึ้นมาได้ยังไง ฉันไม่ได้เรียก”
“ห่างเหินจังเลยนะคะเสี่ย กิ๊บซี่มาเที่ยวก็เลยถามพนักงานว่าเสี่ยมาหรือยัง ก็เลยขึ้นมาทักทายค่ะ”
ขาเรียวยกลงวางบนพื้นทั้งสองข้าง แล้วหยัดตัวลุกขึ้นเดินไปหาอีกฝ่ายที่โต๊ะทำงาน วงแขนโอบรั้งลำคอเขาเอาไว้ก่อนที่จะถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่งบนตักของธีร์ธวัช
“เสี่ยไม่คิดถึงกิ๊บซี่บ้างเหรอคะ เราไม่ได้ทำอะไร ๆ กันนานแล้วนะ”
นิ้วเรียวสวยที่ปลายเล็บแต่งแต้มสีสันสะดุดตาค่อย ๆ เกลี่ยไล้ไปตามกรอบหน้าคมอย่างยั่วยวน
“ช่วงนี้ฉันไม่ว่างน่ะ งานยุ่ง”
ธีร์ธวัชตอบกลับพร้อมกับใช้สองมือยกร่างที่นั่งอยู่ลงจากตักของเขา แล้วก็หันมาสนใจกับเอกสารตรงหน้าต่อ
“แต่เสี่ยทำแบบนี้กิ๊บซี่ก็เฉาตายพอดีสิคะ” หญิงสาวเริ่มทำเสียงเง้างอน “เสี่ยบอกไม่ให้กิ๊บซี่รับงานคนอื่นแล้วเสี่ยจะดูแลกิ๊บซี่เอง แต่นี่อะไร โอนแค่เงินแต่ไม่มาหากันบ้างเลย”
“ดูเหมือนว่าฉันให้เธออยู่สบาย ๆ แล้วจะไม่ชอบสินะ”
คราวนี้ธีร์ธวัชวางปากกาที่จับอยู่ลงบนโต๊ะแล้วเงยหน้ามองคนที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ น้ำเสียงนิ่ง ๆ นั้นทำให้หญิงสาวเริ่มประหม่าขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็กลับไปรับงานตามเดิมได้เลย เดือนหน้าฉันจะจ่ายค่าเสียเวลาให้อีกเดือนก็แล้วกัน”
“เสี่ยคะ!”
“ลงไปข้างล่างได้แล้ว ฉันงานยุ่ง”
ปกติเขาเองก็ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียง่าย ออกจะใจดีกับสตรีเป็นพิเศษ แต่เธอดันมาถูกจังหวะที่กำลังยุ่งกับงานอยู่พอดี
เสียงเดินกระทืบเท้าปึงปังแล้วก็ตามมาด้วยเสียงของประตูที่ถูกปิดด้วยความแรงของคนที่ไม่พอใจ ธีร์ธวัชผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จริง ๆ แล้วเธอก็เป็นคนน่ารักดี แต่ช่วงนี้ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาเกินไป จนบางครั้งน่าเบื่อจนรู้สึกรำคาญ
ระหว่างที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเซ็นเอกสาร สายตาก็เหลือบไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วกดโทรหาใครบางคนที่...ไม่น่ารำคาญ
//ค่ะ เฮียธีร์//
เสียงหวานใสแจ๋วดังมาตาสายเมื่อเด็กดื้อรับโทรศัพท์
“วันนี้อย่ารีบนอนล่ะ เดี๋ยวเฮียซื้อติ่มซำรอบดึกไปฝาก ทำงานอีกไม่นานก็เสร็จแล้ว”
//คืนนี้เฮียไม่อยู่จนร้านปิดเหรอคะ//
“ไม่ล่ะ เหนื่อย อยากนอนพักมากกว่า ถ้าให้ดีมีหมอนข้างนุ่ม ๆ ให้กอดด้วยก็คงหายเหนื่อย”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตอบกลับมา
//ก็ถ้าเฮียธีร์ไม่อึดอัด จะรับขิมไปนอนกอดก็ได้นะคะ//
“ขิมพูดเองนะ”
//ก็...ก็ถ้าเฮียโอเค ขิมก็ยอมเป็นหมอนข้างให้ค่ะ//
“อืม...ถ้างั้นเจอกันนะครับ เด็กดี”
เหมือนสายขิมจะอึ้ง ๆ กับประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยบอก เธอไม่ได้ตอบกลับอะไรมาอีก แต่เลือกที่จะกดตัดสายไปเสียอย่างนั้น
ธีร์ธวัชนั่งยิ้มอยู่คนเดียว ดูเหมือนหัวใจของเขามันจะเต้นแรงเกินไปหรือเปล่านะ แล้วนี่เป็นอะไรถึงได้พูดกับเธอไปแบบนั้น อืม...นี่มันก็อยู่ในแผนการนั่นแหละ ยัยตัวแสบก็ทำเป็นเก่ง พอเอาเข้าจริงเดี๋ยวได้วิ่งกลับห้องตัวเองเหมือนเมื่อคืน
แต่ถ้าคืนนี้ เธอไม่หนีกลับก็น่าจะดีกว่า จะรู้สึกยังไงนะถ้าได้กอดยัยตัวนุ่มนิ่มทั้งคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากกลับคอนโดไว ๆ นั่นจึงทำให้เขารีบจัดการเอกสารตรงหน้าอย่างเร็วที่สุด
ไปรอคิวติ่มซำเจ้าดังอยู่เกือบชั่วโมง ได้แล้วก็รีบบึ่งรถกลับมายังคอนโด เมื่อประตูเปิดออกก็คนเห็นตัวเล็กที่ยืนฉีกยิ้มกว้างรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
ธีร์ธวัชจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าที่ตอนนี้สวมชุดนอนอยู่ แต่ว่า มันไม่ใช่ไอ้ชุดลูกไม้เหมือนเมื่อคืน
“ทำไมไม่ไม่ใส่ชุดนอนแบบเมื่อคืนครับ สวยดีนะ”
คนโดนทักเรื่องชุดผิวหน้าร้อนเห่อแดงขึ้นมา ความจริงก็ตั้งใจจะใส่ แต่เห็นเขาบอกว่าให้รอกินติ่มซำด้วยกัน ก็เลยคิดว่าหากใช่ชุดแบบนั้นมานั่งกินอาหารมื้อดึกมันคงจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย
“ก็เฮียธีร์บอกว่าให้รอกินติ่มซำ จะให้ขิมใส่ชุดแบบนั้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าว มันคงแปลก ๆ มั้งคะ” เธอตอบพร้อมกับยื่นมือไปรับถุงใส่อาหารจากมือของเขา
“ไม่เห็นจะแปลกเลย ก็เผื่อว่า...กินของคาวเสร็จจะได้กินของหวานต่อเลยไงครับ เสิร์ฟบนโต๊ะกินข้าวก็ไม่เลวนะ”
คำพูดสองแง่สองง่ามที่เธอเองก็ฉลาดพอจะรู้ทัน ทำให้ริมฝีปากบางได้แต่เม้มเข้าหากันแน่นด้วยความเขินอาย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังแกล้งเธอเพื่ออยากให้ล้มเลิกความตั้งใจเรื่องแต่งงาน แต่ว่า มันก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้เลยจริง ๆ
หวั่นไหวจนพาให้คิดไปว่า หากคำพูดพวกนี้ออกมาจากความรู้สึกของเฮียธีร์จริง ๆ มันจะเป็นยังไงนะ
“แต่ว่า...ขิมห้ามลืมสัญญานะ ที่บอกว่าจะยอมเป็นหมอนข้างให้เฮียคืนนี้”
ระหว่างที่กำลังแกะติ่มซำใส่จาน ร่างสูงก็เดินมาประชิดแล้วสวมกอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง ความอุ่นร้อนจากร่างกายของเขาทำให้เธอยิ่งหวั่นไหวกว่าเดิม
“ขิมไม่ลืมหรอกค่ะ จะให้เฮียธีร์กอดแน่น ๆ เลย”
เอาวะ...งานนี้ถอยไม่ได้แล้วสายขิม!
///////////////////////////////////////////////////////
การมาบาร์วันนี้ต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากคนเป็นเจ้าของต้องมาที่นี่เพียงคนเดียว ใจหนึ่งก็อยากจะหยุดอยู่คอนโดเพราะว่าสายขิมดันป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ด้วยอาการแพ้อากาศ อยากจะดูแลอยู่ข้าง ๆ แต่ทางภรรยากลับไล่ให้ออกมาที่บาร์ เธอไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระขนาดนั้น และบอกว่าให้เขามองงานสำคัญเป็นที่หนึ่งเสมอ...ห้ามเกเร ห้ามดื้ออีก อาจเพราะสภาพอากาศในช่วงนี้ที่ช่างน่าเบื่อหน่าย การที่ผู้คนเลือกจะหาสถานที่ดื่มด่ำผ่อนคลายจึงกลายเป็นเรื่องที่นิยมขึ้นมา ยูนิคอร์นบาร์จึงแทบไม่เหลือที่ว่าง มันประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิด แต่ก็รองลงมาจากการประสบความสำเร็จเรื่องราวความรักอยู่ดี... ธีร์ธวัชดินตรวจดูรอบ ๆ ร้าน พูดคุยกับลูกค้าสอบถามความเห็นและปัญหาอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ สิ่งนี้คืออีกเสน่ห์หนึ่งที่ทำให้บาร์ของธีร์ธวัชประสบความสำเร็จได้และติดลมบนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม ที่เวลานี้บาร์เทนเดอร์กำลังโชว์ลวดลายลีลาเชคผสมรังสรรค์เมนูเลิศรสให้กับลูกค้าชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มองจากข้างหลังก็ยังรู้ว่าเป็นใคร
เธอยังคงสดในเหมือนกับวันแรกที่ได้เจอ... ธีร์ธวัชลอบมองใบหน้าจิ้มลิ้มยามหลับใหลของหญิงสาวอันเป็นที่รักเงียบ ๆ เธอยังไม่ตื่น อาจเพราะเมื่อคืนบทรักที่ร่วมบรรเลงคงยาวนานไปหน่อยสำหรับเด็กดื้อเสียงลมหายใจดังขึ้นแผ่วเบา แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอดผ่านม่านพลิ้วไสวสาดทับใบหน้าเนียนยิ่งทำให้ความน่าเสน่หาของสายขิมเปล่งประกาย ปลายนิ้วละเลียดสัมผัสปอยผมด้วยความรักใคร่ ทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ธีร์ธวัชไม่เคยนึกฝันว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้ลงเอยกับใครสักคนแบบนี้หนึ่งเดือนพ้นผ่านหลังจากงานวิวาห์ จะว่าตนเองคือรางวัลของพยายามที่สายขิมตามจีบตามตื๊ออย่างไม่ว่างเว้นก็คงไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ไม่เคยอยากจะมีเมียกลับรู้สึกอบอุ่นและโชคดีที่ได้เธอคนนี้มานอนกอดไม่ต่างกัน รัก...รัก...รัก...รักที่สุด ขิมของเฮีย! ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกริ่มขึ้นมาในความเงียบงัน เป็นเวลาเดียวกับที่แพขนตาสวยขยับเปิดขึ้น สายขิมลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า ขยับตัวไปมาในวงแขนของสามี ก่อนที่จะได้เห็นว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่ก่อนแล้ว “เฮียธีร์...ตื่นนานหรือยังคะ” เสียงใสเอ่ยถาม พอสายตาได
“เฮียธีร์...เป็นอะไรคะ” สายขิมเอ่ยถามพร้อมกับใช้สายตามองดูสามีที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน ทั้งยังใช้กำปั้นทุบบริเวณไหล่ตัวเองไม่หยุด “ปวดไหล่เหรอคะ”“อืม...” ธีร์ธวัชพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ“ถ้าอย่างนั้นขิมช่วยนวดให้นะ” มือนุ่มวางสัมผัสลงไปบนแผ่นหลังกว้าง เปลือกตาคมปิดลงให้ภรรยาตัวน้อยช่วยนวดคลายความปวดเมื่อย “ไปทำอะไรมาคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ปวดหลัง ปวดไหล่ได้ หรือว่าเฮียไปยกอะไรหนัก ๆ มา” “เมื่อคืนช่วยเด็กยกลังใส่โซดาน่ะ เดินผ่านเห็นคนไม่พอ น่าจะผิดท่าไปหน่อย” มือนุ่มเริ่มขยับออกแรงกดลงไปหนัก ๆ ใบหน้าคมเอียงซบลงไปบนหมอนนิ่ม เอียงข้างหันมาด้านหนึ่ง เมื่อเส้นตึงได้รับการบีบนวดถูกอกถูกใจ จึงเผลอครางออกมาผ่านลำคอ เหมือนต้องการอยากบอกกับหมอนวดส่วนตัวว่าตนพออกพอใจเพียงใด “อืม...ขิมนวดเก่งจัง ตรงนั้นแหละ” “ตรงนี้เหรอคะ” คนตัวเล็กขยับตัวขึ้นมาอีกนิดเพื่อจะได้กดน้ำหนักลงบนไหล่แกร่งได้สะดวก ทำให้ตอนนี้ลำตัวของเธออยู่ระดับสายตาของคนที่นอนอยู่อย่างพอดิบพอดี “อืม...”เจ้าของไหล่กว้างปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้สายตา
โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮิ้ว.... จบเสียงโห่นำก็ตามมาด้วยเสียงกลองยาว ฉิ่ง ฉาบ ที่เริ่มบรรเลงดนตรีเป็นจังหวะสนุกสนาน พร้อมกับคนที่เดินอยู่ในขบวนขันหมากต่างยกไม้ยกมือขึ้นฟ้อนรำมาตามถนน ธีร์ธวัชในชุดเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดพาดบ่าด้วยสไบสีทองเดินอยู่หน้าสุด ข้าง ๆ กันเยื้องไปด้านหลังนิดหน่อยมีเพื่อนสนิทสองคนที่เดินถือพานสินสอดตามมาด้วย “หน้าบานเหมือนจานข้าวหมา” เป็นเสียงของกิตติภพพูดขึ้นปนหมั่นไส้ เนื่องจากสีหน้าของคนเป็นเจ้าบ่าววันนี้ดูจะเบิกบานเกินหน้าเกินตา ไม่เหมือนกับไอ้คนที่ประกาศปาว ๆ ว่าจะไม่แต่งงานเมื่อหลายเดือนก่อนเลยสักนิดเดียว “เรื่องของกู” คนโดนแขวะตอบกลับทั้งที่สายตายังจ้องมองไปยังถนนที่ตรงไปยังบ้านของเขา รอยยิ้มกว้างที่อยู่บนใบหน้าไม่ได้หุบลงแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับเด็กดื้อที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่แต่งงานด้วยเด็ดขาด แต่ใครใช้ให้เธอน่ารัก น่ามอง แถมยั่วเก่ง นาทีนี้อดใจไหวก็คงไม่ใช่ผู้ชาย แต่ที่มากกว่านั้น ก็คงเป็นความจริงใจที่สายขิมมีให้ หากคิดทบทวนกลับไปให้ดี
สายขิมจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของธีร์ธวัช ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมองหน้ากัน แล้วก้มมองรายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจออีกครั้ง “เฮียธีร์แน่ใจแล้วนะ” “แน่ใจแล้วสิ ถ้าไม่แน่ใจเฮียไม่ทำแบบนี้หรอก” เขาตอบแล้ววาดวงแขนรั้งคนตัวเล็กให้มาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดโทรออกหาคนที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ไม่นานนักก็มีเสียงทักทายมาจากปลายสาย //โทรมาแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าตาธีร์ หรือว่าน้องไม่สบายแกถึงได้โทรมาหาแม่// แม่ของเขานี่ยังไงกัน นึกถึงแต่ลูกสาวสุดที่รักตลอด ไม่ถามไถ่ลูกตัวเองสักคำว่าสุขสบายดีไหม “นี่แม่คิดแต่ว่าผมจะรังแกลูกสาวแม่หรือไงครับ ถึงได้ถามแบบนี้” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจกรอกไปตามสาย ทำเอาคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนได้แต่แอบหัวเราะอยู่คนเดียว ก็เวลาเฮียธีร์คุยกับคุณแม่ เหมือนว่าจะทำตัวเป็นเด็กมากกว่าตอนอยู่กับเธอเสียอีก //แล้วแกโทรมาทำไมแต่เช้า// “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่ด้วยล่ะ” //ข่าวดีอะไรของแก// แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของคุณหญิงแม่ดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไหร่กับคำว่า ‘ข่าว
แสงแดดในยามบ่ายตกกระทบน้ำทะเลจนเป็นประกายระยิบระยับราวกับเพชรที่กำลังต้องแสง สายลมพัดโชยพาเอาไอเค็มของทะเลมาแตะต้องผิวหนัง ธีร์ธวัชเอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดสีขาว สายตาคมกวาดมองไปทั่วบริเวณจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ร่างบางของเด็กดื้อที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ไม่ไกล สายขิมในชุดบิกินี่สีชมพูอ่อนตัดกับผิวสีน้ำผึ้งดูโดดเด่น ขณะที่คลื่นลูกเล็กๆ ซัดเข้าใส่ร่างอรชร ทำให้ชุดว่ายน้ำแนบชิดไปกับเรือนร่างยิ่งขึ้น นัยน์ตาคมเข้มไล่มองคนตัวเล็กที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เส้นผมสีดำสนิทที่ปลิวไปตามลม ใบหน้าหวานที่เปื้อนยิ้ม แก้มนุ่มที่แดงระเรื่อจากแสงแดด ไปจนถึงเรือนร่างที่ดูสมส่วนในชุดบิกินี่ตัวจิ๋ว แล้วก้อนเนื้อใต้หน้าอกข้างซ้ายก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเอามากแล้วจริง ๆ ยิ่งเขามองยัยตัวเล็กนานมากเท่าไหร่ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็กว้างขึ้นมากเท่านั้น และมันก็กว้างเสียจนกิตติภพที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดข้าง ๆ กันพูดขึ้น “อาการมันเป็นยังไงบอกกูมาดิ๊ ต้องกินยา หรือว่าต้องไปหาหมอไหมไอ้ธีร์” ได้ยินคำถามของเพื่อนซี้ ธีร์ธวัชก็ค่อย ๆ เบนสายต