ชายคนนั้นชื่อว่าธนา อายุราวยี่สิบสี่ปีเหมือนเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ คนในหน่วยงานแนะนำให้เขาคอยดูแลเคสของนลินเพราะนิสัยเป็นมิตร สุภาพและสามารถรับมือกับสถานการณ์กดดันได้ดีในระดับหนึ่ง คงจะเป็นประโยชน์แก่นลินบ้าง
แรกเริ่มธนาค่อย ๆ ให้ความช่วยเหลือตามระเบียบแบบแผนไปทีละอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ได้ผลดีเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความร่วมมือทำให้พวกนักเลงไม่กล้าคิดทำอะไรบุ่มบ่าม
จนเวลาผ่านไปเกือบสามเดือน นลินรู้สึกว่าสนิทสนมกับเขาและเจ้าหน้าที่ในหน่วยมากขึ้น พลันเกิดความไว้ใจคนอื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ธนาชวนเธอไปเลือกซื้อของมาทำกับข้าวให้จารวีเพราะเห็นว่าช่วงนี้แม่ของเด็กสาวกินอะไรไม่ค่อยได้
“คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะคะ แค่นี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว” นลินเอ่ยปากบอกคนตรงหน้า “ใส่ผักอันนี้ด้วยใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูช่วยล้าง”
“อืม เด็ดใบที่อยู่ข้างนอกออกก่อนนะ มันขมเกินไป แม่เธอน่าจะไม่ชอบเท่าไหร่” ธนาพยักหน้าแล้วทำให้นลินดูเป็นตัวอย่างก่อนจะหันมาคนน้ำซุปในหม้อต้มต่อ
เรื่องราวในวันนี้คงจะเป็นไปได้ด้วยดีแท้ ๆ หากธนายังคงระงับความต้องการของตัวเองไว้ได้ แต่มือของเขากลับจับผมของนลินแล้วบอกว่า “เดี๋ยวมัดผมให้ จะได้ไม่เกะกะ”
ต้นคอเรียวขาวทำให้เขากลืนน้ำลาย ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ โชยมา ชายคนนี้จึงกระซิบเบา ๆ “นลิน”
อีกฝ่ายสะดุ้งโหยงไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้จึงรีบขยับให้ห่าง “ผักล้างเสร็จแล้วค่ะ” เด็กสาวพยายามเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินหนีไปอีกทางแต่เขากลับตามคว้าข้อมือเอาไว้
“ฉันรู้ว่าเธอมีใจให้ฉัน” คำพูดของชายหนุ่มทำให้เธอขนลุกกราว “ในเมื่อใจเราตรงกัน วันนี้เรามาสนุกกันหน่อยดีไหม”
“...” นลินพยายามตั้งสติเอาไว้แล้วบอกเขาว่า “ใจตรงกันยังไงนะคะ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
“อืม” รอยยิ้มแสยะมองคนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง “ชีวิตเธอโชกโชนขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ายังไม่เคย”
“หนูเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้โรงพยาบาลให้เข้าเยี่ยมแค่สองชั่วโมง ต้องรีบไปแล้วค่ะ”
“ยังทำกับข้าวไม่เสร็จเลยจะรีบทำไมล่ะ” เขาคะยั้นคะยอเข้ามาขวางทางเอาไว้ “แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า”
พลันมือข้างหนึ่งโอบเอวนลินเอาไว้ “ฉันช่วยเธอมาตั้งเท่าไหร่ แค่นี้ตอบแทนให้ไม่ได้เหรอ”
เด็กสาวยิ้มมุมปากเข้าใจแล้วความความรู้สึกตงิดใจตลอดช่วงเวลาที่ได้รู้จักเขามันเป็นเพราะอะไร “ถ้าคุณอยากได้อะไรตอบแทนแบบนี้ หนูคงให้ไม่ได้หรอก”
“ฉันถูกใจเธอมากนะ เราจะลองคบกันดูก็ได้เพราะถ้าเป็นแฟนกันแล้วต่อให้ทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไรนี่” สีหน้าของเขาดูสบาย ๆ แต่แฝงด้วยเล่ห์ “คิดดูสิว่าถ้าไม่มีฉันสักคน เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง”
“...”
“เพราะฉะนั้น อย่าดื้อนักเลย นลิน”
สายตาของเขาจ้องมองร่างกายของนลินราวกับหิวกระหาย แต่พอเห็นอีกฝ่ายพยายามดิ้นรนไม่ทำตามก็เกิดอาการตัดพ้อขึ้นมา
“ทำไมดื้อด้านแบบนี้ คนอื่นไม่เห็นจะบอกยากตรงไหนเลย” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางเลิกคิ้ว “ในเมื่อขอดี ๆ แล้วไม่ยอมหรือว่าเธอเป็นพวกมาโซคิสม์ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็ไม่มีปัญหานะ”
เธอส่ายหน้าแล้วรีบวิ่งไปคว้ากระเป๋าของตัวเอง ผิดหวังกับคนตรงหน้าจนพูดอะไรไม่ออก “อย่ามายุ่งกับหนูอีก ไม่งั้นหนูจะแจ้งหน่วยงาน”
“นลิน เธอก็ยังเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตสักที ฟ้องคนที่นั่นแล้วคิดว่าพวกเขาจะเชื่อใคร แล้วอีกอย่างเด็กพวกนั้นก็ยอมฉันเอง ไม่ได้ถูกบังคับสักหน่อย”
“...”
“ไม่เชื่อก็ลองไปฟ้องดูสิ” สีหน้าเจ้าตัวท้าทายเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร “แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าเธอทำแบบนั้น เรื่องที่สัญญาว่าจะกันพวกนักเลงออกไปถือว่าเป็นโมฆะ”
“สารเลว” นลินสบถไม่ไว้หน้าอีกต่อไป แล้วเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมองคนข้างหลังที่ทำหน้าเสียดาย
เด็กสาวคิดว่าช่วงนี้จะมีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตดี ๆ สักครั้งแล้วแท้ ๆ แต่กลับเจออะไรที่วนลูปกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งเพราะพบเจอแต่ผู้คนที่ไม่เลวร้ายไปเลยก็เป็นพวกทำดีแอบแฝงอยากได้สิ่งตอบแทน
ชีวิตที่อยู่ยากแล้วก็ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่เพราะบางครั้งนลินไม่อาจรู้ได้เลยว่าใต้หน้ากากที่คนอื่นใส่อยู่มีอะไรซ่อนไว้จึงคิดว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ไว้ใจใครหน้าไหนอีกแล้ว
เธอทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้จริง ๆ ทุกวันตั้งใจทำงาน ระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอและหวังว่าจะไม่เป็นอะไรไปก่อนแม่ที่ป่วยระยะสุดท้าย
“แม่ กินโจ๊กหน่อยไหมคะ วันนี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย” นลินเอ่ยปากถามเป็นห่วงคนตรงหน้าที่อาการทรุดลงทุกวัน “หรือว่าแม่อยากได้อะไรหรือเปล่า หนูจะไปหามาให้นะ”
“นลิน มาให้แม่กอดที” เธออ้าแขนกว้างรอลูกสาวขยับเข้าไปหาแล้วกอดแน่นด้วยความรัก “แม่รักลูกมากนะ”
“...” เธอพูดไม่ออก รู้ความหมายที่คนตรงหน้าพูดเป็นอย่างดีเพราะคำว่ารักที่พร่ำบอกทุกวันก็คือคำลาที่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน นลินจึงได้แต่พูดว่า “หนูก็รักแม่เหมือนกัน”
สุดท้ายแล้วช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับแม่ก็มีเพียงแค่นั้น นลินร้องไห้คร่ำครวญอยู่นานสองนานในวันที่จารวีหมดลมหายใจ ความรู้สึกโดดเดี่ยวเข้ามาแทนที่เพราะเวลานี้ไม่มีใครเลยสักคนจะเป็นที่พึ่งพิงให้เธอได้พักใจ
แม้แต่งานศพยังทำได้แค่สวดเพียงวันเดียวแล้วก็เผา ไม่มีญาติคนไหนมาร่วมงาน เธอมองควันสีดำพวยพุ่งจากปล่องเมรุเอ่ยพึมพำ “อยู่บนฟ้าแล้ว ขอให้แม่มีความสุขนะคะ” พลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูจะดูแลตัวเองแล้วก็มีความสุขเหมือนกัน”
ครั้นจัดการธุระของแม่เรียบร้อยแล้ว นลินจึงเก็บของสำคัญที่มีอยู่น้อยนิดในบ้านออกมาเตรียมจะย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่ไม่ให้พ่อและเจ้าหนี้ตามตัวเจอ
ทว่า เพียงแค่ก้าวขาออกจากวัด เจ้าหนี้รายหนึ่งก็โผล่หน้ามาทันทีพร้อมพ่อตัวเอง คำพูดแรกไม่ใช่การปลอบประโลมคนที่เพิ่งสูญเสียแม่ไป
“ได้เงินในซองมาเท่าไหร่” ธาวันถามลูกสาวสีหน้าไม่แยแส สายตามองคนตรงหน้า “ฉันถามว่าได้ซองมาเท่าไหร่”
“ไม่มี” นลินตอบห้วน ๆ ไม่เหลือความรู้สึกอื่นใดให้คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่ออีกแล้ว
“ผ่านไปกี่ปีแกก็เลิกนิสัยขี้โกหกไม่ได้เลยใช่ไหม” ธาวันส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เหมือนแม่แกไม่มีผิด”
“เฮอะ แกมีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้” เธอแสยะยิ้มเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง
“แกลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นพ่อแก ท่าทางสามหาวนี่มันน่าตีสักทีสองทีจะได้หลาบจำ” เขาไม่พูดเพียงเท่านั้นแต่ง้างมือเตรียมจะตบหน้านลินอย่างที่พูดจนถูกลูกน้องของเจ้าหนี้คนหนึ่งห้ามเอาไว้
“เฮ้อ เป็นพ่อลูกกันก็คุยดี ๆ สิ” เขาเอ่ยปาก แต่แววตาไม่ได้นึกห่วงใยอะไร “เดี๋ยวสินค้าเสียหายเสี่ยนิธิศจะไม่พอใจน่ะสิ”
“เออใช่” เขายิ้มกว้างเมื่อได้ยินดังนั้น แล้วหันมาหาลูกสาว “แกยังไม่มีงานทำใช่ไหม ไปทำงานกับพวกพี่เขาที่ร้านเหล้าสิ”
“...” นลินมองหน้าคนกลุ่มนั้นสลับกับหน้าพ่อตัวเอง ดวงตาสีเขียวอมเทาเหลือบมองหาทางหนีเพราะรู้สึกได้ว่าชีวิตของตัวเองกำลังไม่ปลอดภัย ทำทีเป็นรับฟังสิ่งที่ธาวันพูด แล้วถามว่า “ทำงานอะไร แล้วทำไมฉันต้องทำ”
“เป็นหนี้ก็ต้องใช้สิ” เขาพูดอย่างไม่มียางอาย “งานเสิร์ฟร้านเหล้า แกทำได้อยู่แล้วนี่ ได้เงินเยอะด้วยนะ”
“ใครสร้างหนี้ก็ไปทำงานใช้หนี้เองสิ” เธอตวาดกลับไม่สบอารมณ์ นับถอยหลังในใจแล้วพุ่งตัววิ่งหนีโดยไม่หันกลับมามอง
“โอ้ย คิดว่าฉันจะตามหาแกไม่เจอหรือไง” ธาวันตะโกนไล่หลัง ก่อนที่พวกลูกน้องของนิธิศจะวิ่งตามนลินไปจนสุดทาง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานราวิชญ์จึงกลับเข้ามาทำงานในบริษัทด้วยตำแหน่งรองประธานเหมือนเดิมและหากวันใดที่เขามีประสบการณ์มากกว่านี้แล้ว ธรันคงจะยอมสละตำแหน่งประธานให้หลานชายได้บริหารต่อเพราะเชื่อว่าคนมีฝีมืออย่างเขาจะทำให้บริษัทที่ตนเองลงทุนลงแรงสร้างมาเติบโตมากยิ่งขึ้นในอนาคตใครเล่าจะรู้ว่าเจ้าเด็กที่ทำตัวเสเพลในวันวานพอกาลเวลาผ่านไปกลับเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเสียอย่างนั้นแม้จะมีช่วงหนึ่งที่หายไปแล้วฝากให้ภิญโญเป็นคนดูแลแทนแต่เขาก็กลับมาต่องานได้อย่างไร้รอยต่อสร้างความเชื่อมั่นให้คนของฝ่ายตัวเองได้เป็นอย่างดีนอกจากเรื่องงานแล้ว ชีวิตความรักของรองประธานก็ไปได้สวยเช่นเดียวกัน นลินยอมกลับมาอยู่บ้านเล็กที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับเขาตอนนั้นแค่ตื่นมาแล้วเห็นเธออยู่ข้าง ๆ กลับบ้านไปแล้วเห็นเธอรอรับอยู่ห
ครั้นวิ่งกระหืดกระหอบมาจนถึงหน้าร้านดอกไม้แล้วจู่ ๆ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลพรากเป็นสาย พึมพำแผ่วเบา “นลิน”ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตไม่คิดว่าจะเห็นเขาที่นี่จึงพูดอะไรไม่ออก“พี่ขอโทษ อย่าทิ้งพี่ไปเลยนะนลิน พี่ผิดไปแล้ว” น้ำเสียงสะอื้นที่เธอเห็นในครั้งนี้ราวกับคลับคล้ายคลับคลาตอนที่เขาพยายามรั้งตัวเธอไม่ให้กระโดดสะพานในตอนนั้นยิ่งนัก“...”“พี่จะไม่ทำให้นลินอึดอัดใจหรือเสียใจอีกแล้ว จะไม่มาให้เห็นหน้าแล้ว ไม่ต้องยกโทษให้พี่ก็ได้ ขอแค่ให้พี่ได้รู้ข่าวนลินบ้างเดือนละครั้ง ไม่สิ ปีละครั้งก็ยังดี” เขาพร่ำบอกคนตรงหน้า พรั่งพรูทุกสิ่งทุกอย่างที่จะโน้มน้าวใจนลินได้ออกมาจนไม่เหลืออะไรมาต่อรองแล้ว “ถ้านลินจะมีคนอื่น พี่จะไม่ห้ามแล้วจริง ๆ ขอแค่ให้พี่รู้ว่านลินสบายดี มีความสุขก็พอ แล้วก็
หลังจากนราวิชญ์หายหน้าเข้าไปในห้องน้ำนานกว่าปกตินลินจึงเคาะประตูเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงคนข้างในขานตอบจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเปิดประตูเข้าไปดูสถานการณ์ข้างในชายหนุ่มนั่งพิงผนังห้องน้ำหลับใหลราวกับแค่เปลี่ยนที่นอนแห่งใหม่ไม่ให้เปียกฝน เธอจึงต้องคอยถอดเสื้อผ้าที่เขาใส่ออกทีละชิ้นแล้วอาบน้ำให้ เช็ดตัวแล้วลากออกมานอนเตียงข้างนอก เรียกได้ว่าหมดแรงไปไม่น้อยทั้งยังต้องคอยวัดไข้ เช็ดตัวแล้วเฝ้าเขาอีกทั้งคืนจนเธอไม่ได้หลับไม่ได้นอนรุ่งเช้า นราวิชญ์สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้ายเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดช่วงหลังจากที่นลินหนีเขาไป แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังอยู่ตรงหน้าก็โล่งอกที่อย่างน้อยวันนี้หาเธอเจอแล้วจนเผลอเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าคนที่กำลังนอนหลับอย่างอ่อนโยน กระซิบบอกว่า “พี่คิดถึงนลิน”
นราวิชญ์รีบลงจากรถวิ่งไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าร้านดอกไม้ทันที หัวใจพองโตราวกับความสุขของเขาหวนกลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้กันมากขึ้น เขาผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าค่อย ๆ จางลงเพราะเห็นใครบางคนยื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้เธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนลินรับดอกไม้ช่อนั้นมาพลางยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย สายตาละมุนเหมือนที่เคยมองเขาในอดีตเผลอทำให้นราวิชญ์นึกถึงคำพูดของพ่อ“สุดท้ายแล้วแกคงจะเป็นได้แค่คนในอดีตที่ยืนมองอีกฝ่ายจากที่ไกล ๆ เพราะไม่มีช่องว่างให้แกแทรกเข้าไปในชีวิต”ชายหนุ่มตรงดิ่งเข้าไปหาเธอด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์ในเวลานี้ เอื้อมมือออกไปเพราะอยากสัมผัสไออุ่นจากเธอที่โหยหามานานแต่ถูกใครคนนั้นเข้ามาขวางเอาไว้“คุณเป็นใคร” เขาเอ่ยถาม สายตาไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานราวิชญ์แทบจะเป็นบ้าที่จู่ ๆ ก็ถูกนลินทิ้งไปอย่างไรเยื่อใย เขาพยายามค้นหาหญิงสาวด้วยอำนาจทุกอย่างที่มีอยู่ในมือจนกมลาและน้องสาวเริ่มสงสัยความรู้สึกของเขาขึ้นมาระหว่างที่ออกตามหานลิน ตัวเขาเองก็ได้รู้ความจริงบางอย่างขึ้นมาจนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนที่ทั้งโง่และบ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดความเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำและคำพูดร้าย ๆ ที่เคยพร่ำบอกนลินถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย ก่อเกิดเป็นความเศร้าในใจจนไม่เป็นอันทำงานและใช้ชีวิตเมื่อประธานใหญ่เรียกเข้าพบ เขาแทบไม่หลงเหลือเค้าโครงของนราวิชญ์คนเดิม แม้จะโดนตบหน้าเรียกสติแต่กลับไม่เป็นผลเพราะในใจนึกแต่เรื่องของนลิน คิดแต่ว่าควรทำอย่างไรถึงจะหาเธอเจอ“คุณชายไม่แตะอาหารมื้อนี้เลยค่ะ” ป้าอุษาบอกกับปณัย เลขาส่วนตัวของเ
ทันทีที่ได้ยินดังนั้นนลินแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงใด ๆ อีกแล้ว ในใจคิดแต่ว่าเขาเกลียดเธอมากขนาดนั้นเลยหรือ เสี้ยวหนึ่งของหัวใจที่เคยบอกว่ารักเป็นแค่เรื่องหลอกลวงจริง ๆ หรือในเมื่อวันนี้จะไม่มีใครมาช่วยเธอแล้ว เจ้าตัวก็ไม่คิดยอมแพ้ง่าย ๆ เรื่องราวในวันนี้ก็เหมือนวันวานที่เธอเคยวิ่งหนีพวกเจ้าหนี้นั่นแหละสายตาของหญิงสาวมองหาทิศทางพลันได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหน้าทำให้พวกคนร้ายที่ยืนประจำจุดตรงนี้รีบวิ่งออกไปทางต้นเสียงนลินจึงสบโอกาสเตะผ่าหมากคนที่คุมตัวเธอเอาไว้อย่างรุนแรงแล้วออกแรงวิ่งไม่คิดชีวิตแม้หนทางรอบตัวจะเป็นป่าหนาทึบก็ตาม“ไปจับมันมา!!!” ชายคนนั้นนอนกุมเป้ากางเกง สีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดสั่งการลูกน้องระดับต่ำกว่าอีกสองคนให้ตามนลินไปติด ๆ&nbs