ครั้นวิ่งกระหืดกระหอบมาจนถึงหน้าร้านดอกไม้แล้ว จู่ ๆ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลพรากเป็นสาย พึมพำแผ่วเบา “นลิน”
ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตไม่คิดว่าจะเห็นเขาที่นี่จึงพูดอะไรไม่ออก
“พี่ขอโทษ อย่าทิ้งพี่ไปเลยนะนลิน พี่ผิดไปแล้ว” น้ำเสียงสะอื้นที่เธอเห็นในครั้งนี้ราวกับคลับคล้ายคลับคลาตอนที่เขาพยายามรั้งตัวเธอไม่ให้กระโดดสะพานในตอนนั้นยิ่งนัก
“...”
“พี่จะไม่ทำให้นลินอึดอัดใจหรือเสียใจอีกแล้ว จะไม่มาให้เห็นหน้าแล้ว ไม่ต้องยกโทษให้พี่ก็ได้ ขอแค่ให้พี่ได้รู้ข่าวนลินบ้างเดือนละครั้ง ไม่สิ ปีละครั้งก็ยังดี” เขาพร่ำบอกคนตรงหน้า พรั่งพรูทุกสิ่งทุกอย่างที่จะโน้มน้าวใจนลินได้ออกมาจนไม่เหลืออะไรมาต่อรองแล้ว “ถ้านลินจะมีคนอื่น พี่จะไม่ห้ามแล้วจริง ๆ ขอแค่ให้พี่รู้ว่านลินสบายดี มีความสุขก็พอ แล้วก็
ครั้นวิ่งกระหืดกระหอบมาจนถึงหน้าร้านดอกไม้แล้วจู่ ๆ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลพรากเป็นสาย พึมพำแผ่วเบา “นลิน”ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตไม่คิดว่าจะเห็นเขาที่นี่จึงพูดอะไรไม่ออก“พี่ขอโทษ อย่าทิ้งพี่ไปเลยนะนลิน พี่ผิดไปแล้ว” น้ำเสียงสะอื้นที่เธอเห็นในครั้งนี้ราวกับคลับคล้ายคลับคลาตอนที่เขาพยายามรั้งตัวเธอไม่ให้กระโดดสะพานในตอนนั้นยิ่งนัก“...”“พี่จะไม่ทำให้นลินอึดอัดใจหรือเสียใจอีกแล้ว จะไม่มาให้เห็นหน้าแล้ว ไม่ต้องยกโทษให้พี่ก็ได้ ขอแค่ให้พี่ได้รู้ข่าวนลินบ้างเดือนละครั้ง ไม่สิ ปีละครั้งก็ยังดี” เขาพร่ำบอกคนตรงหน้า พรั่งพรูทุกสิ่งทุกอย่างที่จะโน้มน้าวใจนลินได้ออกมาจนไม่เหลืออะไรมาต่อรองแล้ว “ถ้านลินจะมีคนอื่น พี่จะไม่ห้ามแล้วจริง ๆ ขอแค่ให้พี่รู้ว่านลินสบายดี มีความสุขก็พอ แล้วก็
หลังจากนราวิชญ์หายหน้าเข้าไปในห้องน้ำนานกว่าปกตินลินจึงเคาะประตูเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงคนข้างในขานตอบจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเปิดประตูเข้าไปดูสถานการณ์ข้างในชายหนุ่มนั่งพิงผนังห้องน้ำหลับใหลราวกับแค่เปลี่ยนที่นอนแห่งใหม่ไม่ให้เปียกฝน เธอจึงต้องคอยถอดเสื้อผ้าที่เขาใส่ออกทีละชิ้นแล้วอาบน้ำให้ เช็ดตัวแล้วลากออกมานอนเตียงข้างนอก เรียกได้ว่าหมดแรงไปไม่น้อยทั้งยังต้องคอยวัดไข้ เช็ดตัวแล้วเฝ้าเขาอีกทั้งคืนจนเธอไม่ได้หลับไม่ได้นอนรุ่งเช้า นราวิชญ์สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้ายเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดช่วงหลังจากที่นลินหนีเขาไป แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังอยู่ตรงหน้าก็โล่งอกที่อย่างน้อยวันนี้หาเธอเจอแล้วจนเผลอเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าคนที่กำลังนอนหลับอย่างอ่อนโยน กระซิบบอกว่า “พี่คิดถึงนลิน”
นราวิชญ์รีบลงจากรถวิ่งไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าร้านดอกไม้ทันที หัวใจพองโตราวกับความสุขของเขาหวนกลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้กันมากขึ้น เขาผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าค่อย ๆ จางลงเพราะเห็นใครบางคนยื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้เธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนลินรับดอกไม้ช่อนั้นมาพลางยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย สายตาละมุนเหมือนที่เคยมองเขาในอดีตเผลอทำให้นราวิชญ์นึกถึงคำพูดของพ่อ“สุดท้ายแล้วแกคงจะเป็นได้แค่คนในอดีตที่ยืนมองอีกฝ่ายจากที่ไกล ๆ เพราะไม่มีช่องว่างให้แกแทรกเข้าไปในชีวิต”ชายหนุ่มตรงดิ่งเข้าไปหาเธอด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์ในเวลานี้ เอื้อมมือออกไปเพราะอยากสัมผัสไออุ่นจากเธอที่โหยหามานานแต่ถูกใครคนนั้นเข้ามาขวางเอาไว้“คุณเป็นใคร” เขาเอ่ยถาม สายตาไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานราวิชญ์แทบจะเป็นบ้าที่จู่ ๆ ก็ถูกนลินทิ้งไปอย่างไรเยื่อใย เขาพยายามค้นหาหญิงสาวด้วยอำนาจทุกอย่างที่มีอยู่ในมือจนกมลาและน้องสาวเริ่มสงสัยความรู้สึกของเขาขึ้นมาระหว่างที่ออกตามหานลิน ตัวเขาเองก็ได้รู้ความจริงบางอย่างขึ้นมาจนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนที่ทั้งโง่และบ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดความเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำและคำพูดร้าย ๆ ที่เคยพร่ำบอกนลินถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย ก่อเกิดเป็นความเศร้าในใจจนไม่เป็นอันทำงานและใช้ชีวิตเมื่อประธานใหญ่เรียกเข้าพบ เขาแทบไม่หลงเหลือเค้าโครงของนราวิชญ์คนเดิม แม้จะโดนตบหน้าเรียกสติแต่กลับไม่เป็นผลเพราะในใจนึกแต่เรื่องของนลิน คิดแต่ว่าควรทำอย่างไรถึงจะหาเธอเจอ“คุณชายไม่แตะอาหารมื้อนี้เลยค่ะ” ป้าอุษาบอกกับปณัย เลขาส่วนตัวของเ
ทันทีที่ได้ยินดังนั้นนลินแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงใด ๆ อีกแล้ว ในใจคิดแต่ว่าเขาเกลียดเธอมากขนาดนั้นเลยหรือ เสี้ยวหนึ่งของหัวใจที่เคยบอกว่ารักเป็นแค่เรื่องหลอกลวงจริง ๆ หรือในเมื่อวันนี้จะไม่มีใครมาช่วยเธอแล้ว เจ้าตัวก็ไม่คิดยอมแพ้ง่าย ๆ เรื่องราวในวันนี้ก็เหมือนวันวานที่เธอเคยวิ่งหนีพวกเจ้าหนี้นั่นแหละสายตาของหญิงสาวมองหาทิศทางพลันได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหน้าทำให้พวกคนร้ายที่ยืนประจำจุดตรงนี้รีบวิ่งออกไปทางต้นเสียงนลินจึงสบโอกาสเตะผ่าหมากคนที่คุมตัวเธอเอาไว้อย่างรุนแรงแล้วออกแรงวิ่งไม่คิดชีวิตแม้หนทางรอบตัวจะเป็นป่าหนาทึบก็ตาม“ไปจับมันมา!!!” ชายคนนั้นนอนกุมเป้ากางเกง สีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดสั่งการลูกน้องระดับต่ำกว่าอีกสองคนให้ตามนลินไปติด ๆ&nbs
สองชั่วโมงต่อมานลินงัวเงียมองไปรอบตัวจึงได้เห็นว่าข้างกายมีหญิงสาวคุ้นหน้าอีกคนถูกปิดปากมัดกับเก้าอี้ พลันได้ยินเสียงของชายวัยฉกรรจ์สามสี่คนพูดคุยถึงเรื่องราวในวันนี้“แกไปจับมันมาทำไม ไอ้ซื่อบื้อ” คนที่ดูเหมือนหัวหน้าตวาดลูกน้องตนเองเพราะขัดคำสั่ง“ลูกพี่บอกว่าให้จับคนสำคัญของหมอนั่นมา ก็คะ...คนนี้ถูกแล้ว” เขาพยายามเถียงกลับไป แม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อเลยก็ตามทว่า เขารู้ดีว่านราวิชญ์มักแอบมาพบนลินที่กองถ่ายลับหลังคนอื่น ๆ อยู่เสมอจนเขารู้สึกว่าเธอคือคนสำคัญที่ควรจับตัวมาเรียกค่าไถ่มากที่สุดแล้ว“ยัง ยังจะเถียงไม่เลิก คนสำคัญจริง ๆ มันต้องผู้หญิงคนนี้สิ ในข่าวก็ลงว่าจะแต่งงานกันไม่ใช่หรือไง” ลูกน้องอีกคนโพล่งออกมา “แต่ก็นั่นแหละ ไหน ๆ
หลังจากวางสายคนเป็นพี่แล้วนลินไม่รอช้ารีบแต่งตัวแล้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางออกจากคอนโดของตัวเองทันทีเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับนราวิชญ์อีกปณัยโทรรายงานเหตุการณ์เช้าวันนี้ด้วยท่าทางเลิ่กลั่กนิดหน่อยเพราะฝ่ายที่โดนติดตามรู้ตัวแล้ว“ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ” นราวิชญ์พึมพำอยู่คนเดียว “ใส่ชุดอะไรออกไป” เขาถามลูกน้องคนสนิทของตัวเอง“เสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงขายาวคับ” ปณัยตอบไปตามที่เห็น ไม่ค่อยคุ้นตากับสไตล์แต่งตัวแบบนี้ของนลินแม้แต่น้อย“คอล่ะ”“น่าจะเป็นแผ่นแปะแก้ปวดประมาณสี่แผ่นคับ คุณนลินไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ” เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาทันทีแต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะลั่นของ
อีกฟากหนึ่งนลินกลับคอนโดทันทีหลังจากเลิกงานที่ร้านดอกไม้ สีหน้ายิ้มแย้มเพราะวันนี้ได้รับการติดต่อจากบริษัทออแกไนซ์ให้ช่วยเตรียมฉากในงานแต่งงาน คิวยาวแน่นขนัดไปจนถึงสิ้นเดือนจนคิดว่าอาจจะมีโบนัสเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พนักงานในร้านเป็นของขวัญเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องกลับเห็นไฟตรงกลางโถงสว่างจ้าพร้อมกลิ่นน้ำหอมของใครบางคน“นายเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” เธอถามนราวิชญ์ทันที รอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปอย่างรวดเร็ว“ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ ทั้งห้องนี้ ทั้งร่างกายนลินเป็นของพี่” เขาเอ่ยปากบอกพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “ยังไม่รู้ข่าวคุณลุงสุดที่รักถูกเตะกระเด็นจากตำแหน่งรองประธานใช่ไหมล่ะ”“ทำไมถึงทำแบบนั้น” นลินถามออกไปอย่างนั้นแต่ก็พอจะรู้คำตอบว่านราวิชญ์ม
เช้าตรู่วันนั้นนราวิชญ์กลับมาหานลินที่ห้องนอนอีกครั้ง ทว่า ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของคนที่อยากพบหน้า สายตาเหลือบเห็นบานประตูตู้เสื้อผ้าแง้มเอาไว้จึงไปเปิดดู พลันได้เห็นว่าข้างในไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยเขาจึงรีบเปิดดูลิ้นชักข้างเตียงและห้องอื่น ๆ พลันได้เห็นว่าไม่มีข้าวของนลินอยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว“ป้าอุษา” ชายหนุ่มตะโกนเรียกแม่บ้านที่เพิ่งมาทำงาน “นลินหายไปไหนครับ”“คุณนลินไม่ได้บอกเหรอคะว่าย้ายออกไปจากบ้านเล็กได้หลายวันแล้ว” แม่บ้านตอบไปตามความจริงเพราะสามสี่วันก่อนเธอช่วยนลินเก็บข้าวของด้วยตัวเองช่วงนั้นนราวิชญ์ไม่อยู่บ้านเกือบหนึ่งอาทิตย์แถมยังไม่ยอมรับโทรศัพท์จึงไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง