Share

บทที่ 11

Author: หอมดังเดิม
ความเย็นราวกับน้ำพุบนภูเขานั้นซึมลึกเข้าสู่หัวใจของซูชิงลั่ว

นางหดมือกลับมาอย่างรวดเร็วราวกลับถูกน้ำร้อนลวก จนข้าวต้มถ้วยนั้นเกือบจะหกคว่ำ โชคดีที่ลู่เหิงจือจับไว้ได้อย่างมั่นคง

ใบหน้าของซูชิงลั่วแดงขึ้นในทันที

ท่าทางของคนทั้งสองเมื่อครู่นี้ ในสายตาคนอื่นเกรงว่าจะดูค่อนข้างสนิทสนมกันไปสักหน่อย

ลู่เหิงจือยื่นถ้วยให้นางอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบาว่า "ระวังนะ มันร้อนอยู่"

เมื่ออธิบายเช่นนี้แล้ว ทำให้การหดมือกลับของเธอเมื่อครู่นี้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้น

ซูชิงลั่วรับถ้วยลายครามมา "ขอบคุณท่านสาม..."

หลังจากพูดจบถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเรียกเขาว่าท่านสามอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเช้าพึ่งสัญญาว่าจะจำว่าต้องเรียกเขาพี่สาม แต่ตอนนี้กลับลืม ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือไม่

นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของลู่เหิงจือมีรอยยิ้มวาบผ่านไป

อะไรกันนางเรียกเขาผิดไม่ใช่เหรอ? เขายังยิ้มอีกเหรอ?

ถึงแม้ซูชิงลั่วจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาคิดมากเรื่องเขา นางหันกลับไปและค่อยๆ ป้อนข้าวต้มให้ท่านยายทีละนิดด้วยความอดทน

ท่านยายกินข้าวต้มไปได้ครึ่งถ้วยก็ต้องการน้ำล้างปาก ซูชิงลั่วหันไป ลู่เหิงจือก็ยื่นถ้วยน้ำชามาให้พอดี

ซูชิงลั่วเริ่มชินกับการที่เขายื่นของให้ จึงรับถ้วยมา ป้อนน้ำให้ท่านยาย รอจนหญิงชราบ้วนปากเสร็จแล้วจึงรับถ้วยคืน แล้วยื่นต่อให้ลู่เหิงจือ โดยไม่กล้าเงยหน้ามองเขา

เมื่อหญิงชรากินข้าวต้มเสร็จแล้วก็มีเรี่ยวแรงขึ้นเล็กน้อย จึงเริ่มพูดคุยอีกครั้ง

เฉียนเหวินหลิงกล่าวว่า "ครั้งนี้ต้องขอบคุณเหิงจือที่เชิญหมอหลวงซ่งซึ่งเป็นถึงหัวหน้าสำนักหมอหลวงมาแล้วยังเฝ้าดูแลท่านแม่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ช่างมีความกตัญญูมาก"

เมื่อหญิงชราได้ยินก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จึงหันไปมองลู่เหิงจือ

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "ท่านแม่ชมเกินไปแล้ว การเคารพท่านย่าเป็นสิ่งที่ลูกหลานควรทำอยู่แล้ว"

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ลู่เหิงจือถึงทำเช่นนี้ แต่หญิงชราก็รับรู้ถึงน้ำใจของเขาและกล่าวว่า "เด็กดี ขอบใจมาก เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องเข้าราชการเช้าอีก รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ"

ซูชิงลั่วพึ่งนึกได้ว่าลู่เหิงจือต้องเข้าราชการเช้า พอนับดูก็เหลือเวลานอนอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้ว

นางหันไปมองเขาอย่างไม่รู้ตั...เหตุใดเขาถึงได้เสียเวลาอยู่ที่นี่นานขนาดนี้?

เสียงอ่อนโยนของเฉียนเหวินหลิงดังขึ้นข้างหู "ชิงลั่ว ไปส่งเหิงจือแทนข้าหน่อย ข้าจะอยู่คุยกับท่านยายเจ้า"

ซูชิงลั่วพยักหน้าแล้วลุกขึ้น ก้มหน้าเดินตามลู่เหิงจือออกไปข้างนอก

ในห้องค่อยๆ มืดลง เยว่เออร์ลุกขึ้นไปจุดตะเกียง แสงไฟทำให้เงาสีดำของเขาลากยาวมากขึ้น

เสียงก้าวเดินของเขาเบาเหลือเกิน ขณะเดินชายเสื้อก็พลิ้วไหว ลวดลายเมฆมงคลที่ปักด้วยด้ายสีทองดูเหมือนจะเปล่งประกายเล็กน้อย สวยงามมาก

เขาแหวกม่านประตูออก เดินออกไป แต่ก็ไม่ได้ปล่อยมันลง ราวกับกำลังรอให้นางเดินออกมา

นางเม้มริมฝีปากแล้วเดินตามออกไปแบบนั้น

ในใจกลับรู้สึกประหม่าอย่างมาก เพราะคิดว่าต้องเดินผ่านใต้วงแขนของเขาไป แค่คิดก็หน้าแดงแล้ว

ข้างนอกท้องฟ้าก็มืดแล้ว

ซ่งเหวินถือโคมไฟแก้วรออยู่ที่หน้าประตู

ลู่เหิงจือดูเหมือนจะไม่ชินที่ต้องให้คนอื่นถือโคมไฟแทน เขาจึงยื่นมือไปรับโคมไฟมา

โคมไฟนั้นวิจิตรโปร่งใส มีสีเขียวอ่อน ดูคล้ายกับอันที่เคยให้นางยืมก่อนหน้านี้มาก

ลู่เหิงจือจับปลายด้ามโคมไฟ ตรงที่จับดูเหมือนเป็นจุดที่นางก็เคยสัมผัสมาก่อน

ซูชิงลั่วรู้สึกว่าคืนนี้ใบหน้าของนางคงแดงก่ำแล้ว โชคดีที่สามารถอาศัยความมืดปกปิดไว้ได้ นางโค้งตัวทำความเคารพ "พี่สาม เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ"

ไม่กล้าเงยหน้ามองสีหน้าของชายหนุ่ม จึงได้แต่ก้มหน้า แต่สายตากลับจับจ้องไปยังมือของเขาที่ถือด้ามโคมไฟอยู่อย่างไม่อาจควบคุม

มือนั้นสวยมาก กระดูกเรียงตัวชัดเจน เมื่อประกอบเข้าด้วยกันก็ดูน่ามองเหลือเกิน

และก็ได้เห็นแหวนหยกสีเขียววงนั้นที่เขาสวมอยู่ที่นิ้วโป้งอีกครั้ง เพียงแต่แสงไฟค่อนข้างสลัว จึงไม่แน่ใจว่าเป็นวงเดียวกับที่นางเคยมอบให้หรือไม่

ขณะที่กำลังเหม่อลอย เสียงแผ่วเบาของเขาก็ดังมาจากด้านบน "ยังกลัวข้าอีกหรือ?"

ซูชิงลั่วรีบตอบ "เปล่าเจ้าค่ะ"

ลู่เหิงจือกล่าวช้าๆ "ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่กล้าเงยหน้า?"

"ไม่ใช่ว่าข้ากลัวพี่สาม เพียงแต่ข้า..." ซูชิงลั่วรู้สึกประหม่า "เมื่อครู่ในห้องบังเอิญสัมผัสโดนตัวท่าน ข้า..."

นางหยุดไปครู่หนึ่ง "ข้าไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าพี่สามจะไม่ถือโทษ"

ได้ยินว่าเขาไม่ใกล้ชิดสตรี เมื่อครู่นางไม่ได้ตั้งใจจริงๆ จึงขออธิบายเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้าใจผิด

ลู่เหิงจือก้มหน้าลงมามองนางครู่หนึ่ง กล่าวว่า "ไม่เป็นไร เป็นข้าเองที่ไม่ระวัง"

ซูชิงลั่วจึงค่อยโล่งใจ

ลู่เหิงจือไม่กล่าวสิ่งใดอีก ถือโคมไฟแล้วหันหลังเดินจากไป แผ่นหลังสูงสง่าดุจต้นสน ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด

ในตอนนี้ซูชิงลั่วถึงได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง

แรงกดดันจากตัวลู่เหิงจือรุนแรงมาก เวลาอยู่ใกล้เขา ยากที่นางจะไม่เกร็ง แม้ไม่ถึงกับหวาดกลัวแต่ก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา

แต่เมื่อผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว ในใจนางกลับเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น

เหมือนกับลูกกวาดที่เคยกินตอนเด็ก เส้นสายหวานล้ำของน้ำตาลค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากหัวใจ อย่างไม่มีสิ้นสุด

นางยืนอยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง รอจนตัวเองสงบลงแล้วจึงเปิดม่านเดินเข้าไป

เฉียนเหวินหลิงกำลังปลอบใจหญิงชราอยู่ "มีหมอหลวงซ่งอยู่ ท่านแม่สบายใจได้"

หญิงชรายิ้มและพยักหน้า เมื่อเห็นซูชิงลั่วเข้ามาแล้ว จึงกวักมือเรียกนางมาหา

"เจ้าก็เหนื่อยแล้ว รีบกลับห้องไปพักเถิด ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว คืนนี้แค่มีชิงลั่วอยู่คุยกับข้าก็พอ"

เฉียนเหวินหลิงมองซูชิงลั่วด้วยสายตาอ่อนโยน "เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาเปลี่ยนเวรชิงลั่ว"

หลังเฉียนเหวินหลิงออกไป หญิงชราก็คลี่ยิ้มแล้วพูดว่า "เยว่เออร์ เจ้าสั่งให้คนเฝ้าประตูไว้ ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาใกล้"

เยว่เออร์รีบตอบรับทันที

หญิงชราจับมือซูชิงลั่วไว้ มองไปที่เยว่เออร์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "เจ้าสองคนเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด ชิงลั่ว เจ้าบอกยายมาตามตรง หมอหลวงซ่งบอกว่ายายจะสามารถอยู่ได้อีกกี่วัน?"

ซูชิงลั่วสะดุ้ง ยังไม่ทันตอบ หญิงชราก็กล่าวกำชับอย่างจริงจังอีกว่า "ข้าต้องการฟังความจริง ครั้งนี้อาการป่วยของข้าถึงขนาดที่ลู่เหิงจือต้องมาเยี่ยม มันคงไม่ธรรมดา ข้าต้องเตรียมการทุกอย่างในขณะที่ยังมีสติอยู่"

เยว่เออร์ตกใจจนตาแดง

ซูชิงลั่วรีบพูดว่า "ท่านยาย อย่าคิดมาก ครั้งนี้แม้อาการจะรุนแรง แต่หมอหลวงซ่งบอกว่าถ้าผ่านไปได้แล้วค่อยบำรุงร่างกายอย่างดี ก็จะไม่เป็นไร สำหรับลู่เหิงจือ..."

นางลดเสียงลงเล็กน้อย "อาจเป็นเพราะท่านป่วยตรงกับวันเกิดของเขา เขาอาจกลัว...ถูกตำหนิ?"

ข้อสันนิษฐานนี้ฟังขึ้น เพราะราชวงศ์นี้ให้ความสำคัญกับความกตัญญูอย่างมาก

แต่ในใจนางกลับมีความคิดที่นางเองก็ไม่กล้าเชื่อ คิดว่าที่ลู่เหิงจือใส่ใจท่านยายมากเช่นนี้อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับนางก็ได้

หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะกลัวถูกตำหนิ แต่การเฝ้าไข้เพียงคืนเดียวก็คงพอแล้ว ไฉนต้องเฝ้าถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน?

แต่ในตอนนั้นก็คิดคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว จึงตอบว่า "ก็อาจจะใช่"

สักพัก หญิงชรามองไปที่ซูชิงลั่วอีกครั้ง "ชิงลั่ว ลู่เหิงจือนั้นเป็นคนเข้าถึงยากและโหดเหี้ยม ขณะที่เขาอยู่ในจวน เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าได้ล่วงเกินเขาล่ะ"

ซูชิงลั่วอยากถามให้รู้ชัดว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าลู่เหิงจือโหดเหี้ยม แต่ตอนนี้ท่านยายยังไม่ฟื้นตัวดี เวลานี้คงไม่เหมาะ จึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง

หญิงชราเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย "เมื่อครู่ทำไมท่านน้าใหญ่เจ้าถึงให้เจ้าไปส่งลู่เหิงจือ?"

ซูชิงลั่วตกใจ ขนาดนางยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย จึงพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

เยว่เออร์ยิ้มแล้วพูดว่า "คุณท่าน ในห้องตอนนั้นมีเพียงคุณหนูอยู่ ถ้าไม่ใช้คุณหนูจะใช้ใครเจ้าคะ"

หญิงชราจึงส่ายหน้ายิ้มๆ "ใช่แล้ว ข้าคงแก่ชราเลอะเลือนแล้ว"

ซูชิงลั่วปรนนิบัติท่านยายดื่มยา ส่วนตนเองก็ทานอาหาร จากนั้นก็นอนพักบนเก้าอี้หวายข้างๆ ส่วนเยว่เออร์ก็นอนพักที่ห้องด้านนอก

คาดว่าในยาอาจมีส่วนผสมของสมุนไพรที่ช่วยทำให้ผ่อนคลาย ท่านยายจึงหลับลึกอย่างรวดเร็ว

แต่ซูชิงลั่วกลับนอนไม่หลับ

ในหัวนางคิดย้อนไปมาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้

ลู่เหิงจือไหว้วานให้หมอหลวงซ่งตรวจอาการของนางโดยเฉพาะ ในขณะที่ทุกคนต่างหิวโหย แต่เขากลับยกอาหารของตัวเองให้นางกินก่อน ตอนนางปรนนิบัติท่านยายเขาก็ยืนอยู่ข้างหลังคอยช่วยส่งของ และตอนออกประตูเขาก็ยกม่านให้นาง...

นั่นน่ะหรือลู่เหิงจือที่ลือกันว่าไม่ใกล้ชิดผู้หญิง!

เฉียนเหวินหลิงก็จงใจให้นางไปส่งเขาเป็นพิเศษ อาจเพราะเห็นอะไรบางอย่างหรือเปล่า?

หรือว่า...ลู่เหิงจือมีใจต่อนาง?
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Mga Comments (1)
goodnovel comment avatar
หนูต๋อย มือใหม่เล่นหุ้น
พระเอกน่ารักตะมุตะมิมาก น้อยครั้งจะเจอนิยายที่เพราะเอกฉลาด หัวไว เอาใจใส่ดูแลนางเอกดีแบบนี้ พ่อไมโครเวฟ สามีแห่งชาติ
Tignan lahat ng Komento

Pinakabagong kabanata

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status