เข้าสู่ระบบ“พี่เขาจะมาดูแลธุรกิจแทนพ่อสักระยะ เพราะพ่อต้องไปรักษาตัวที่อเมริกา” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันเองก็พอจะรู้ว่าพ่อไม่สบาย แต่ไม่คิดว่าอาการจะหนักขนาดนี้
“ในเมื่อข้าวตัดสินใจจะดูแลบริหารงานแทนพ่อ พ่อก็เบาใจ แต่ข้าวยังเด็กและยังเรียนไม่จบ พ่อเลยให้พี่เขามาช่วยดูแลระหว่างที่พ่อไม่อยู่” พ่อยิ้มให้อย่างอบอุ่น
ฉันพูดอะไรไม่ออก ที่พูดออกไปแบบนั้นก็เพราะแค่อยากเอาชนะผู้หญิงคนนั้น ซึ่งตอนนี้เธอก็กำลังยิ้มอย่างพึงพอใจแปลกๆ พ่อเป็นคนไม่ไว้ใจใครง่ายๆ คนที่ท่านเลือกมาดูแลงานและสอนฉัน คงต้องเป็นคนดีและเก่งกาจจริงๆ ฉันจึงคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีปัญหาอะไร
“ค่ะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงข้าวนะคะ” ฉันยิ้มให้พ่อเพื่อให้ท่านสบายใจจะได้ไม่ต้องคิดมาก
“ขอโทษครับที่ผมมาช้า”
ฉันตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียง... เสียงนี้มัน... เหมือนกับเสียงเขาคนนั้น! หรือฉันจะคิดมากและกลัวเขาจนได้ยินเสียงใครก็เป็นเขาไปหมด?
“นี่ไงข้าว คนที่จะมาทำงานและสอนข้าว”
ฉันหันหน้าไปมองและยกมือไหว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจจนเบิกตากว้าง... เขาจริงๆ!
“สวัสดีครับคุณลุง” เจเคทักทายพ่อฉันก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากมองมาที่ฉันอย่างเย็นชา เขาไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือประหลาดใจที่ได้เจอฉันที่นี่เลยสักนิด มีแต่ฉันนี่แหละที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“นั่งก่อนสิลูก ทานอะไรมารึยัง แม่สั่งให้มั้ย”
“ลูกเหรอ?” ฉันขมวดคิ้วมองพ่อกับผู้หญิงคนนั้นอย่างสับสน แต่ทำได้แค่คิดในใจ เพราะตอนนี้สายตาเย็นชาคู่นั้นจ้องมาที่ฉันไม่ละสายตา ทำเอาฉันต้องนั่งตัวแข็งแทบกลั้นหายใจ
“ข้าวเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าซีด ๆ” พ่อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ฉันรู้สึกเหมือนคนไร้สติ ตัวชา หูอื้อไปหมด รู้แค่ว่าเขาเป็นลูกติดของแม่เลี้ยง และกำลังจะเข้ามาบริหารงานแทนพ่อ ถึงพ่อจะเซ็นมอบอำนาจให้แล้ว แต่ด้วยอายุที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ฉันจึงต้องให้เขาเป็นคนดูแล
“ขะ... ข้าวรู้สึกไม่สบาย ข้าวขอตัวกลับก่อนนะคะ” ฉันบอกพ่อแล้วรีบลุกขึ้นทันที
“ให้พี่ไปส่งสิข้าว มันดึกแล้วเป็นผู้หญิงมันอันตราย” แต่ไม่ทันที่ฉันจะก้าวเท้าออกไป แม่เลี้ยงก็พูดขึ้นก่อน 1
“พ่อว่าก็ดีเหมือนกัน คอนโดพี่เขาก็อยู่ทางเดียวกันกับข้าวด้วยนี่” พ่อเห็นดีเห็นงามไปกับแม่เลี้ยงด้วย โดยไม่รู้เลยว่าคนที่อันตรายที่สุดคือเขาคนนี้นี่แหละ
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวเกรงใจ อีกอย่างคุณน้าคงอยากคุยกับลูกชาย ข้าวขอตัวนะคะ” ฉันหันไปพูดกับพ่อ ไม่กล้ามองหน้าเจเค แต่สายตาของเขาก็ยังคงจ้องมาที่ฉันตลอด จนทำตัวไม่ถูก รู้แค่ว่าต้องหนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“เดี๋ยว!!”
ฉันที่กำลังจะก้าวเท้าหนี ต้องหยุดนิ่งด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเขามายืนอยู่ข้างๆ ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่
“งั้นผมขอตัวกลับเลยแล้วกันครับ” เจเคหันไปพูดกับพ่อ ก่อนจะใช้สายตาดุดันมองมาที่ฉัน “เดี๋ยวผมไปส่งเธอให้ ดึกแล้วมันอันตราย!!” เขาย้ำคำว่า ‘อันตราย’ แล้วหันมาทางนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวกลับเองดีกว่า” ฉันรีบปฏิเสธและเดินออกไปทันที
“...บอกว่าจะไปส่ง!!” เขาคว้าแขนฉันไว้แน่น พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าวให้พี่เขาไปส่งดีแล้วลูก พ่อจะได้สบายใจ” พ่อเดินเข้ามาหา “ฝากดูน้องด้วยนะ ลุงไม่อยู่คงต้องฝากเราดูแลน้องด้วย” พ่อพูดและยิ้มให้เจเค
“ครับคุณลุง ผมจะดูแลเธอให้เป็นอย่าง... ดี!!” เจเคพูดและยิ้มให้พ่อ ก่อนสายตาเลือดเย็นจะจ้องมาที่ฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไป ฉันจะไปส่ง” เขาพูดเรียบๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป
ฉันยืนนิ่ง ไม่กล้าขยับ ขาอ่อนแรง สายตาดุดันเย็นยะเยือกของเขาจ้องมาเหมือนกำลังสั่งให้เดินตามไป ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกลั้นใจเดินออกจากห้อง เพราะพ่อกำลังมองอยู่ และฉันก็ไม่อยากให้พ่อคิดมากจนอาการแย่ลง
ก่อนสองเท้าจะเดินออกจากห้อง ฉันหันไปมองแม่เลี้ยงที่ยิ้มอย่างพอใจ แล้วตัดสินใจเดินตามเจเคไป
“จะไปไหน!!”
เหมือนเขารู้ว่าฉันคิดจะทำอะไร เมื่อฉันกำลังจะวิ่งไปขึ้นรถแท็กซี่ แต่เขากลับคว้าแขนฉันไว้แล้วลากไปที่รถสปอร์ตของเขา
“อย่าคิดทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองเจ็บตัว”
“ยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้น” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ พูดสั่งเสียงแข็ง ก่อนจะปิดประตูรถอย่างแรงแล้วเดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง
ฉันมัวแต่นั่งอึ้งกำลังจะเปิดประตูรถหนี แต่เจเคก็เข้ามานั่งก่อน
“พูดไม่รู้เรื่อง?” เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม จ้องหน้าฉันตาเขม็ง
“ข้าวกลับเองได้” ฉันรีบเปิดประตู แต่เขาล็อกไว้
“เรื่องมาก!!” เขาจ้องหน้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะโน้มตัวเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดนิรภัยให้ฉัน
“......” ฉันนั่งนิ่งแทบไม่หายใจ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมาก จนลมหายใจอุ่นๆ ที่เขาพ่นรดทำเอาผมหน้าผากฉันปลิว
“กลัว?” เขาเลิกคิ้วจ้องหน้าถาม ทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองน่ากลัวแค่ไหน
“อย่านะ!!” ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เมื่อเขาทำท่าจะจูบ
ฟอด!!
“หึ….” เขาหอมแก้มฉันอย่างแรง ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วขับรถออกไปด้วยความเร็วสุดขีด
“พี่เขาจะมาดูแลธุรกิจแทนพ่อสักระยะ เพราะพ่อต้องไปรักษาตัวที่อเมริกา” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันเองก็พอจะรู้ว่าพ่อไม่สบาย แต่ไม่คิดว่าอาการจะหนักขนาดนี้“ในเมื่อข้าวตัดสินใจจะดูแลบริหารงานแทนพ่อ พ่อก็เบาใจ แต่ข้าวยังเด็กและยังเรียนไม่จบ พ่อเลยให้พี่เขามาช่วยดูแลระหว่างที่พ่อไม่อยู่” พ่อยิ้มให้อย่างอบอุ่นฉันพูดอะไรไม่ออก ที่พูดออกไปแบบนั้นก็เพราะแค่อยากเอาชนะผู้หญิงคนนั้น ซึ่งตอนนี้เธอก็กำลังยิ้มอย่างพึงพอใจแปลกๆ พ่อเป็นคนไม่ไว้ใจใครง่ายๆ คนที่ท่านเลือกมาดูแลงานและสอนฉัน คงต้องเป็นคนดีและเก่งกาจจริงๆ ฉันจึงคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีปัญหาอะไร“ค่ะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงข้าวนะคะ” ฉันยิ้มให้พ่อเพื่อให้ท่านสบายใจจะได้ไม่ต้องคิดมาก“ขอโทษครับที่ผมมาช้า”ฉันตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียง... เสียงนี้มัน... เหมือนกับเสียงเขาคนนั้น! หรือฉันจะคิดมากและกลัวเขาจนได้ยินเสียงใครก็เป็นเขาไปหมด?“นี่ไงข้าว คนที่จะมาทำงานและสอนข้าว”ฉันหันหน้าไปมองและยกมือไหว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจจนเบิกตากว้าง... เขาจริงๆ!“สวัสดีครับคุณลุง” เจเคทักทายพ่อฉันก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากมองมาที่ฉันอย่างเย็นชา เขาไ
หลายวันผ่านไป“ข้าว เลิกเรียนแล้วไปดูหนังกันมั้ย”“ไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ข้าวมีนัดทานข้าวกับพ่อ”“ว้า เสียดายจัง” ทอฝันทำหน้าเศร้าทันที“ไว้วันเสาร์เราไปดูหนังกันนะ ข้าวเลี้ยงเอง” ฉันเดินไปนั่งข้าง ๆ ทอฝัน“จริงนะ” ทอฝันยิ้มดีใจใหญ่ คือตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่ออกไปไหนเพราะกลัวเจอผู้ชายคนนั้นอีก แต่ก็ยังดีที่ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้เจอเขาอีก และตอนนี้ฉันก็เปลี่ยนรหัสห้องเปลี่ยนคีย์การ์ดเรียบร้อยแล้วเลิกเรียนฉันเดินออกมาพร้อมทอฝัน ก่อนจะเดินไปเรียกแท็กซี่เพื่อไปหาพ่อ ทีแรกฝันจะไปส่งแต่มันอยู่คนละทางกับทางไปคอนโด เกรงใจทอฝันเลยนั่งแท็กซี่ไปเอง“สวัสดีครับ คุณใบข้าวใช่มั้ยครับ” ทันทีที่ถึงร้านพนักงานในร้านก็เดินเข้ามาหาทันที“ใช่ค่ะ” ฉันตอบสั้น ๆ“เชิญทางนี้ครับ คุณภูษิตรอคุณอยู่” วันนี้พ่อทำตัวแปลก ๆ เพราะปกติเวลานัดทานข้าวพ่อต้องให้ฉันเลือกร้านเอง แต่วันนี้พ่อเลือกร้าน และร้านนี้ก็ดูดีดูหรูมากฉันเดินตามพนักงานเข้าไปในร้าน ระหว่างที่เดิน ๆ อยู่ฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองอยู่ตลอด แต่พอหันไปมองก็ไม่เห็นใคร“ถึงแล้วครับ”“ห้องนี้เหรอคะ?” ฉันจ้องหน้าถามพนักงาน“ครับ ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวนะครั
“รับผิดชอบบ้าอะไร! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!!” ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่วินาทีนี้รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องหลุดจากอ้อมแขนที่แข็งแกร่งราวคีมเหล็กนี้ให้ได้“หึ... ไม่ง่ายแบบนี้สิ ถึงจะสนุก” เขายกมุมปากเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมเย็นๆ“ได้โปรด... ปล่อยข้าวไปเถอะ อย่าทำอะไรข้าวเลย... อึก” ฉันเงยหน้าขึ้นอ้อนวอน น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบเป็นลม ตอนนี้ความกลัวถาโถมเข้ามาจนรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้“เอาล่ะ วันนี้ฉันจะปล่อยเธอไปก่อน... แต่ครั้งหน้าเธอไม่รอดแน่” เขาพูดเรียบๆ แต่แววตาเย็นยะเยือกจ้องมองมาอย่างน่าหวาดหวั่น ก่อนสายตาคมกริบจะเลื่อนลงไปสำรวจซอกคอและหน้าอกของฉันจ๊วบ!!!ยังไม่ทันที่ฉันจะได้หายใจ เขาก็ฉวยโอกาสก้มลงซุกไซ้ซอกคออย่างหื่นกระหายและรุนแรง“ฮือ!! ปล่อยนะข้าวเจ็บ!!” ฉันร้องประท้วงด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง มันเจ็บแปลบเหมือนเนื้อกำลังจะฉีกขาด แต่เขาไม่สนใจเสียงร้องต้านของฉันเลยแม้แต่น้อย และไม่ยอมถอนริมฝีปากออกไป“ฝากไว้ก่อน... วันหลังจะมาเอาคืน” ในที่สุดเขาก็ผละปากออก มองหน้าฉันอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะยกนิ้วขึ้นปาดคราบเลือดจางๆ บนริมฝีปา
“ฝันดีนะคะแม่...”ฉันกระซิบผ่านรูปถ่ายของแม่เหมือนเช่นทุกคืนก่อนนอน แต่วันนี้ความรู้สึกมันต่างออกไป เรื่องราวแย่ๆ ที่เพิ่งเจอมาทำให้ความโหยหาในอ้อมกอดของแม่ทวีความรุนแรงขึ้น ฉันกอดกรอบรูปแนบอกอยู่นาน ก่อนจะจำใจวางมันลงที่เดิมแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟฉันพยายามข่มตานอน แต่ความหวาดระแวงทำให้สมองไม่ยอมหยุดคิด แม้จะย้ำกับตัวเองว่าล็อกห้องดีแล้ว และระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดนี้ก็แน่นหนา แต่ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับตามองอยู่ตลอดเวลามันทำให้ฉันข่มตาไม่ลงตึก! ตึก!ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากด้านนอกห้อง ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน... หัวใจฉันเต้นรัวเร็วขึ้นทันที“ฉันไม่ได้หูฝาดแน่...” ฉันดีดตัวลุกจากเตียง รีบเดินไปเปิดไฟและคว้าของใกล้มือมาถือไว้ป้องกันตัวแกร๊ก!ฉันกลั้นใจเปิดประตูออกไปช้าๆ กวาดสายตามองไปรอบห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า... ไม่มีใคร? หรือฉันจะคิดมากไปเองจริงๆ“เหมียว~”“ออเดรย์!” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเจ้าแมวน้อยขี้อ้อนเดินนวยนาดเข้ามาหา“แอบหนีมาเที่ยวห้องพี่ข้าวอีกแล้วนะ พี่ฟ้าไม่อยู่ล่ะสิ” ฉันอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมา เจ้าออเดรย์เป็นแมวข
วันต่อมาณ ห้างสรรพสินค้า“เมื่อไหร่พี่ชายข้าวจะกลับอ่ะ...” ทอฝันเดินเอียงไหล่มากระแทกฉันเบาๆ ทำท่าบิดตัวเขินอายม้วนต้วนทันทีที่เอ่ยถึง ‘พี่ครินต์’ “อีก 6 เดือน” ฉันตอบกลับเรียบๆ แสร้งทำเป็นไม่สนใจอาการระริกระรี้ของเพื่อนสาว ทอฝันปลื้มพี่ชายฉันมาตั้งแต่พี่เขาเรียนหมอปี 1 จนตอนนี้พี่ครินต์อายุ 25 เข้าไปแล้ว ความคลั่งไคล้ของนางก็ยังไม่ลดลงเลย “แล้วพี่ครินต์มีแฟนหรือยังอ่ะ” ยัยตัวดีเอานิ้วมาจิ้มๆ ที่ต้นแขนฉัน ยืนบิดไปบิดมาไม่เลิก จะเขินอะไรเบอร์นั้นแม่คุณ “ไม่รู้สิ... น่าจะมีแล้วมั้ง ไม่ได้ถามเหมือนกัน” ฉันแกล้งตอบพลางลอบสังเกตสีหน้าเพื่อน พอได้ยินแบบนั้นหน้าตาที่ยิ้มแย้มเมื่อกี้ก็จ๋อยสนิททันตาเห็น ฉันต้องกัดริมฝีปากกลั้นขำแทบตาย “ล้อเล่นน่า! พี่ครินต์เรียนหนักจะตาย จะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน อีกอย่างถ้าพี่ครินต์มีแฟน พี่ต้องบอกฉันก่อนอยู่แล้ว” ฉันรีบเฉลยเมื่อเห็นทอฝันทำหน้าเหมือนโลกจะแตก “พูดจริงนะ! งั้นฉันก็ยังมีโอกาสสิ!” ทอฝันตาโต หูผึ่งขึ้นมาทันที“...ยัยบ๊องเอ๊ย” ฉันย่นจมูกใส่เพื่อนก่อนจะออกเดินต่อ ทอฝันนี่อาการหนักจริง เคยบอกอยากเป็นหมอตามพี่ครินต์ แต่พอนางเห็นเลือดก็จะเป็นลม เลยต
“แล้วพ่อล่ะ... พ่อเหลือลูกแค่คนเดียวนะข้าว”“ข้าวรักพ่อนะคะ พ่อมาหาข้าวได้ตลอดถ้าพ่อคิดถึง แต่ให้ข้าวกลับไปอยู่กับพ่อ... ข้าวคงทำไม่ได้” ฉันตอบเสียงแผ่ว “ข้าวขอโทษจริงๆ ค่ะ”“โอเค พ่อเข้าใจ... เอาไว้ข้าวพร้อมจะกลับเมื่อไหร่ค่อยบอกพ่อนะ พ่อรอข้าวเสมอ”“พ่อรักข้าวนะลูก...” พ่อเดินเข้ามาใกล้ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด“พ่อมันโง่เองที่ยอมปล่อยข้าวกับแม่ไปในวันนั้น” น้ำเสียงของพ่อสั่นเครือจนน่าใจหาย“เมื่อก่อนข้าวยอมรับว่าข้าวโกรธพ่อมาก แต่ตอนนี้ข้าวไม่ได้โกรธพ่อแล้วค่ะ... แต่ข้าวแค่ไม่อยากเจอหน้าผู้หญิงคนนั้น พ่อเข้าใจข้าวนะคะ”“พ่อเข้าใจ... พ่อจะรอ รอวันที่ข้าวโตพอที่จะกลับไปดูแลธุรกิจที่เป็นของข้าวเองนะลูก”สิ้นคำพูด พ่อก็ดึงฉันเข้าไปกอด... “พ่อรักข้าวนะ”“ข้าวก็รักพ่อค่ะ...” ฉันพูดเสียงเบาหวิว ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดตอบท่านฉันกอดพ่อไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น อ้อมกอดของพ่อยังคงอุ่นเหมือนตอนที่ฉันยังเด็ก แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ความรู้สึกนี้ฉันจำได้ไม่เคยลืม มันคืออ้อมกอดที่ฉันโหยหามาตลอดหลายสิบปี“พ่อดูแลตัวเองด้วยนะคะ อย่าทำงานหนักจนลืมดูแลสุขภาพ” ฉันผละ







