เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน
"ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง
"ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย
"เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก"
"ส่งท่านกลับ"
"กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..."
"คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะเขียนวิธีดูแล และรักษาดวงตาของท่านไว้ให้ รับรองว่าท่านจะกลับมามองเห็นกระจ่างชัดอย่างแน่นอน" ฟู่ซูหนิงตัดบท
"งั้นหรือ" เสียงทุ้มสลดลง จากนั้นเอ่ยต่อ "ไยท่านหมอไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่จนดวงตาหายดีเล่า ข้า เอ่อ..."
ฟู่ซูหนิงหยุดมือที่เอาแต่สาละวนกับข้าวของ นัยน์ตาดอกท้อจับจ้องโครงหน้าวสันต์ก็พานใจเต้นระส่ำ นางไม่อยากรู้สึกเช่นนี้เลย คงต้องเร่งส่งเขากลับไปเดี๋ยวนี้ ฟู่ซูหนิงพยายามควบคุมน้ำเสียง "เอ่อ...อะไรของท่าน หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าจะเอาของไปเก็บ อีกเดี๋ยวข้าจะมารับ"
"แต่...ท่านหมอ ท่านจะไม่บอกแม้แต่แซ่ให้ข้าทราบเลยหรือ อย่างน้อย ๆ ข้ามองไม่เห็น ก็ขอให้ได้ทราบนามของผู้มีพระคุณมิได้เชียวหรือ"
ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ เพราะไม่อยากให้ฉืออิ้งเทียนต้องคิดว่าตนติดค้างใด ๆ กับนางอีก ชาตินี้ได้โปรดเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านมาพบกันก็เพียงพอแล้ว "ท่านไม่ต้องรู้ว่าข้าคือใคร ถือเสียว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ท่านเคยได้ยินหรือไม่ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ข้าคิดว่านับจากนี้เราคงไม่ได้พบกันแล้ว เช่นนั้นอย่าได้ใส่ใจนามของข้า หรืออยากรู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด ท่านกลับไปและไม่ต้องคิดว่าติดค้างบุญคุณใดกับข้า ท่านตาของข้าเป็นคนช่วยท่านอย่างแท้จริง ทว่าทุกอย่างที่ข้าและท่านตาท่านยายทำไปก็เพียงเพราะจรรยาบรรณของผู้เป็นหมอที่ยังค้ำคอและจิตสำนึกก็เท่านั้น"
เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปเรื่อย ๆ ฟู่ซูหนิงยังเดินไม่พ้นธรณีประตูเสียทีเดียว
"ท่านหมอ ถึงอย่างไรพวกท่านก็มีพระคุณกับข้า สักวันข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตอย่างแน่นอน"
ฟู่ซูหนิงชะงักพลางพ่นหายใจแผ่ว กระนั้นฉืออิ้งเทียนกลับได้ยินชัดถนัดหูทีเดียว ดูเหมือนนางไม่อยากทำความรู้จักกับเขาจริง ๆ เพราะเหตุใดกัน
คนดื้อด้าน ข้าไม่น่าช่วยท่านเลยจริง ๆ
ฟู่ซูหนิงเดินหน้าต่อโดยไม่ใส่ใจเขาอีก ทว่านางกลับรู้สึกประหวั่นเพราะฉืออิ้งเทียนเป็นคนหัวรั้นยิ่งนัก
เหตุใดนางต้องปิดบังข้า หลายวันมานี้นางคุยกับข้าไม่กี่ประโยค ทว่าเมื่อครู่ ร่ายวาจายาวเป็นพรวน หรือนางรังเกียจบุรุษตาใกล้มืดบอดเช่นข้างั้นหรือ
.
.
สามวันก่อนฟู่ซูหนิงได้ส่งจดหมายไปหาองครักษ์ของฉืออิ้งเทียนเพื่อให้มารอรับเขา แม้ดูไม่สมเหตุสมผลที่นางสามารถรู้ช่องทางติดต่อดังกล่าว ทว่าฟู่ซูหนิงก็เอาตัวรอดโดยการกล่าวอ้างว่าฉืออิ้งเทียนเป็นฝ่ายบอกนางเอง แม้เขารู้สึกงงงวยเพียงใดกระนั้นฉืออิ้งเทียนเลือกจะไม่รบเร้านางอีก เขายินยอมเชื่อว่าตนหลุดปากบอกกับฟู่ซูหนิงโดยไม่รู้ตัวจริง แต่ก็อดคิดมิได้ว่านางอาจมีวิชาสะกดจิต เพราะหมอที่นี่ได้รับขนานนามว่าหมอเทวดามิใช่หรือไร
"หนิงเอ๋อร์ ไยแต่งกายคล้ายบุรุษเช่นนี้เล่า เจ้าจะออกไปที่ใด" ฟู่หรงนิ่วหน้า กวาดสายตามองเรือนร่างหลานรักด้วยความฉงน ฟู่ซูหนิงเป็นสตรีร่างบอบบาง อีกทั้งใบหน้ายังอ่อนหวานสะสวย ทว่านิสัยกลับตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ของตนโดยสิ้นเชิง
"ท่านยายเจ้าคะ นานมากแล้วที่หนิงเอ๋อร์ไม่ได้ออกจากหุบเขา วันนี้ข้าจะไปส่งคุณชายฉือกลับจวน หากแต่งกายเป็นสตรีท่านว่าเดินทางผู้เดียวจะปลอดภัยงั้นหรือ หลานของท่านยิ่งงดงามอยู่ด้วย"
ฟู่ซูหนิงเย้าแหย่พลางหัวเราะคิกคัก ร่างเด็กที่จิตวิญญาณของนางหลงมาติด ไม่คิดเลยว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะสะสวยเฉกเช่นที่ตนเยินยอไว้จริง
ต่งควนโพล่ง "หนิงเอ๋อร์ แต่ดวงตาพ่อหนุ่มนั่นยังมองไม่ชัดมิใช่หรือ เหตุใดเร่งพาเขากลับ"
เพราะสิ่งนี้อย่างไร นางจึงขันอาสาเป็นหมอส่วนตัวของเขาเสียเอง หากปล่อยให้ท่านตาท่านยายทั้งสองเป็นผู้รักษา ดวงตาของฉืออิ้งเทียนย่อมหายเป็นปลิดทิ้ง ฟู่ซูหนิงเกรงว่าอาจเกิดเรื่องอีนุงตุงนังตามมาเช่นกาลก่อน
เมืองเป่ยเหลียนและเมืองเทียนหลันเป็นเมืองที่ห่างกันเพียงแม่น้ำกั้น หลังจากฉืออิ้งเทียนเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองเป่ยเหลียนจึงมีการหารือกับเหออ๋องและเหอหยางซื่อจื่อพร้อมส่งเรื่องรายงานไปยังเมืองหลวง เพื่อจัดแจงการก่อสร้างสะพานเชื่อมไมตรีระหว่างสองเมือง และให้นามว่าสะพานไฉ่หง [1] อีกทั้งสองฟากฝั่งยังเป็นแหล่งการค้าที่อุดมสมบูรณ์สะพานจึงถูกสร้างขึ้นด้วยความประณีตและงดงาม ราษฎรทั้งสองเมืองล้วนแช่มชื่นและเบิกบานที่การเดินทางสัญจรนั้นสะดวกมากขึ้น แม้การสร้างสะพานใช้เวลานานถึงสามปีแต่ทุกอย่างกลับคุ้มค่าเป็นที่สุดค่ำคืนนี้คือเทศกาลโคมไฟ จึงมีการจัดงาน ณ สะพานไฉ่หงเป็นครั้งแรก"ท่านพี่เพคะ อาภรณ์ตัวนี้งามหรือไม่"ริมฝีปากได้รูปยกโค้งอบอุ่น ฉืออิ้งเทียนมองสีหน้าฟู่ซูหนิงซึ่งประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข"ไม่ว่าเจ้าสวมชุดไหนก็งามที่สุด ไม่สวมยิ่งงดงาม""ท่านพี่ นี่พระองค์ทำไมจึงพูดจาไร้ยางอายยิ่งนัก"ฉืออิ้งเทียนอมยิ้ม ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นเยื้
ฟู่ซูหนิงตัวแข็งค้างดั่งดินปั้นไม้แกะสลัก เมื่อลมหายใจอุ่น ๆ เป่าปะทะบริเวณลำคอและปรางแก้มของตน แขนแกร่งดุจคีมเหล็กรวบเอวของนางพลันกระชับด้วยใจคะนึงหา"หนิงเอ๋อร์ เจ้าเลิกผลักไสข้าเสียที ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ชายาของข้า"ฟู่ซูหนิงหนาวยะเยือกไปทั่วสรรพางค์ กระบอกตาสองข้างร้อนรื้นแดงก่ำ เสียงใสสั่นเครือ "ทะ...ท่านอ๋อง เหตุใดเป็นท่าน""หนิงเอ๋อร์ เจ้าให้โอกาสข้าได้ดูแลเจ้าอีกครั้งมิได้เชียวหรือ เรื่องในตอนนั้นเป็นข้าที่ผิด เป็นข้าเพียงคนเดียวไม่อาจดูแลเจ้าได้"น้ำสีใสหลั่งลงตรงหางตาเมื่อนางรับรู้ว่ายามนี้เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างจากนาง "ท่านอ๋อง ท่านรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร""ครึ่งปีมานี้ข้าติดอยู่ในวังวนมายาแห่งหนึ่ง ข้าฝันเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ามิอาจช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าเป็นสามีที่ไร้สามารถเอง หนิงเอ๋อร์ เจ้าจะเกลียดข้า โกรธข้าก็ได้ แต่เจ้าอย่าไปจากข้าอีกได้หรือไม่"ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมครามหูของนางอื้ออึงไปหมด ภาพในวันนั้นที่เขาวิ่งเข้ามาตระกองกอดนาง ฟู่ซูหนิงเองก็ฝันในทุก ๆ คืน เขาไม่เคยทิ้งนางเลย วันนั้นเขากลับ
ร่างระหงเยื้องย่างเข้าสู่ด้านในห้องพักส่วนตัวของเจ้าเมืองเป่ยเหลียน นัยน์ตาดอกท้อกวาดมองโดยรอบก็รู้สึกใจเต้นครึกโครมด้วยความประหวั่น รูปแบบการตกแต่งภายในห้องเหตุใดจึงคล้ายกับห้องหอของนางและเขาในชาติก่อน"นี่เป็นการตบแต่งแบบใดกัน ยังมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่อีกหรือ" ฟู่ซูหนิงกระซิบกับตนเองเสียงแผ่ว"ท่านหมอ มาแล้วหรือ"ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังลอดออกจากม่านผืนโปร่งบริเวณเตียงนอน แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูแหบแห้ง ทว่ากลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด"ท่านเจ้าเมือง" ฟู่ซูหนิงยอบกายลง นางทราบมาจากเหอหยางว่าท่านเจ้าเมืองคนนี้เพิ่งมาประจำการใหม่ และเขายังพ่วงตำแหน่งอ๋องเฉกเช่นบิดาของเหอหยางฟู่ซูหนิงได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วผ่านลำคอของอีกฝ่าย ส่งผลให้หัวใจของนางเต้นโครมคราม"ขออภัย ทำให้ท่านหมอตกใจแล้ว""เปล่าเลยเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ใจลอยเอง""ใจลอยงั้นหรือ กำลังคิดถึงผู้ใดเล่า""เอ่อ..."ยังไม่ทันได้รับคำตอบ เขาก็ถามนางขึ้นอีก "ท่านหมอชอบห้องนี้
และรถม้าก็วนกลับมาที่โรงหมอของฟู่ซูหนิงอีกครั้งเสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้น "อ้าว ซื่อจื่อเพิ่งออกไปไม่ใช่หรือขอรับ ไยจึงกลับมาอีกเล่า หรือว่าลืมของ"ฟู่ซูหนิงมองตามสายตาของเสี่ยวไป๋ สหายของนางหัวรั้นใช้ได้ เหตุใดคนที่อยู่รอบกายต้องมีแต่พวกเอาแต่ใจกันนะ จะว่าไปแล้วนางก็คงเอาแต่ใจไม่ต่างจากพวกเขา มิน่าเล่าเขาถึงบอก โลกจะเหวี่ยงคนประเภทเดียวกันให้มาพบกัน ช่างน่าปวดหัวจริงเชียว"ซื่อจื่อ ท่านมีเรื่องใดอีกหรือ""หนิงเอ๋อร์ ข้าขอถามเจ้าว่ายังอยากรักษาโรงหมอแห่งนี้ไว้หรือไม่""แน่นอนเจ้าค่ะ""แต่เจ้าค้างค่าเช่ามานานมากแล้ว หุบเขาร้อยโอสถเจ้าก็ยังไม่อยากกลับ"แววตาคู่งามระริกไหว "ข้ารู้ ข้ากำลังพยายามหาวิธีอยู่เจ้าค่ะ""หากข้ามีวิธีให้เจ้า โดยที่ข้าไม่ได้ควักเงินของตน หรือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมใด เจ้าจะยินยอมทำหรือไม่"ฟู่ซูหนิงหยุดมือที่ง่วนกับเทียบยาลง "ซื่อจื่อ ท่านไม่เคยจริงจังเช่นนี้มาก่อน มีอะไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ""เจ้ายังจำเมืองเป่ยเหลียนได้หรือไม่"ริมฝีปากสีกุหลาบขยับเอ่ย "เมืองเป่ยเหลียนงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงครุ่นคิดคร
ณ ตำหนักฮ่องเต้"อิ้งเทียนเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการเช่นนี้""พ่ะย่ะค่ะ ลูกแน่ใจ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีถอนหายใจแผ่ว "เจ้าต้องการไปเช่นนี้เสด็จแม่ของเจ้าเล่า ยินยอมงั้นหรือ""เรื่องนี้เสด็จแม่ทรงทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกจากไปเพียงกาย ใช่ว่ามิอาจหวนกลับมาเยี่ยมเยียน เสด็จพ่อโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ""ได้ เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า"ฉืออิ้งเทียนเดินทางจากเมืองหลวงภายในวันที่ตนฟื้นขึ้นด้วยความเร่งร้อนฮ่องเต้หมายปูนบำเหน็จให้เขาหลังจากได้สติทว่าสิ่งที่ฉืออิ้งเทียนต้องการ กลับเป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดาล้วนลำบากใจยิ่ง แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของหัวใจผู้ใดก็มิอาจบังคับ ราชโองการนี้จึงนับว่าสมควรแล้วกระมังอีกคนพยายามวิ่งหนีไม่ลืมหูลืมตาส่วนอีกคนพยายามไล่ตามอย่างไม่ย่อหย่อน ความรักหนุ่มสาวช่างยากแท้หยั่งถึงเหลือเกินเติ้งเหวยค้อมศีรษะ "ท่านอ๋อง ที่หุบเขาร้อยโอสถไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าท่านหมอคงมิได้กลับมาที่นี่"คิ้วเข้มขมวดมุ่น "นางจะไปที่ใดได้"
จู่ ๆ ฟู่ซูหนิงก็ถูกควบคุมตัวให้คุกเข่าลง "นี่เรื่องใดกัน อยู่ ๆ ก็มาจับกุมข้า อยากหัวขาดงั้นรึ"บุรุษผู้หนึ่งย่างกรายมาเบื้องหน้าของนาง พร้อมย่ามสุดรักในมือ เขาชูของสิ่งนั้นขึ้น ครั้นเห็นกระจะตาว่าเป็นผู้ใดนางก็เบิกตากว้าง"หมอชุย!"ชุยว่านเหวินเหยียดยิ้ม "พระชายา นี่ของท่านใช่หรือไม่"ฟู่ซูหนิงเมียงมองครู่หนึ่ง "ของข้า แล้วไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร""เป็นชายาชินอ๋องไม่ผิดแน่ นางสารภาพแล้วว่าคือของนาง"คิ้วสวยขมวดฉับ "หมายความว่าอย่างไร""พระชายา ท่านแสร้งทำตาใสเรื่องใดงั้นหรือ ลอบวางยาพิษฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด""ลอบวางยาพิษ! ไร้หลักฐานไยคิดปรักปรำข้า อีกอย่างข้าเป็นชายาชินอ๋อง ควบคุมตัวข้าทั้งที่ยังไม่ไต่สวน ทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้วรึ หากชินอ๋องรู้เข้า อย่าหมายว่าศีรษะของเจ้าจะยังอยู่บนบ่า"เสียงทุ้มหัวเราะร่วน "พระชายา หลักฐานคาตา ทุกคนก็เห็นกันหมด และนี่..." เขาเทของออกจากย่ามใบโปรดของฟู่ซูหนิง ยาพิษหลากชนิดร่วงกราวดั่งใบไม้แห้ง "ของพวกนี้ ยาพิษใช่หรือไม่""ก็ใช่ แต่นั่นข้าเอาไว้ศึกษาทดลอง และย่ามของข้