เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน
"ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง
"ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย
"เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก"
"ส่งท่านกลับ"
"กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..."
"คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะเขียนวิธีดูแล และรักษาดวงตาของท่านไว้ให้ รับรองว่าท่านจะกลับมามองเห็นกระจ่างชัดอย่างแน่นอน" ฟู่ซูหนิงตัดบท
"งั้นหรือ" เสียงทุ้มสลดลง จากนั้นเอ่ยต่อ "ไยท่านหมอไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่จนดวงตาหายดีเล่า ข้า เอ่อ..."
ฟู่ซูหนิงหยุดมือที่เอาแต่สาละวนกับข้าวของ นัยน์ตาดอกท้อจับจ้องโครงหน้าวสันต์ก็พานใจเต้นระส่ำ นางไม่อยากรู้สึกเช่นนี้เลย คงต้องเร่งส่งเขากลับไปเดี๋ยวนี้ ฟู่ซูหนิงพยายามควบคุมน้ำเสียง "เอ่อ...อะไรของท่าน หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าจะเอาของไปเก็บ อีกเดี๋ยวข้าจะมารับ"
"แต่...ท่านหมอ ท่านจะไม่บอกแม้แต่แซ่ให้ข้าทราบเลยหรือ อย่างน้อย ๆ ข้ามองไม่เห็น ก็ขอให้ได้ทราบนามของผู้มีพระคุณมิได้เชียวหรือ"
ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ เพราะไม่อยากให้ฉืออิ้งเทียนต้องคิดว่าตนติดค้างใด ๆ กับนางอีก ชาตินี้ได้โปรดเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านมาพบกันก็เพียงพอแล้ว "ท่านไม่ต้องรู้ว่าข้าคือใคร ถือเสียว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ท่านเคยได้ยินหรือไม่ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ข้าคิดว่านับจากนี้เราคงไม่ได้พบกันแล้ว เช่นนั้นอย่าได้ใส่ใจนามของข้า หรืออยากรู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด ท่านกลับไปและไม่ต้องคิดว่าติดค้างบุญคุณใดกับข้า ท่านตาของข้าเป็นคนช่วยท่านอย่างแท้จริง ทว่าทุกอย่างที่ข้าและท่านตาท่านยายทำไปก็เพียงเพราะจรรยาบรรณของผู้เป็นหมอที่ยังค้ำคอและจิตสำนึกก็เท่านั้น"
เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปเรื่อย ๆ ฟู่ซูหนิงยังเดินไม่พ้นธรณีประตูเสียทีเดียว
"ท่านหมอ ถึงอย่างไรพวกท่านก็มีพระคุณกับข้า สักวันข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตอย่างแน่นอน"
ฟู่ซูหนิงชะงักพลางพ่นหายใจแผ่ว กระนั้นฉืออิ้งเทียนกลับได้ยินชัดถนัดหูทีเดียว ดูเหมือนนางไม่อยากทำความรู้จักกับเขาจริง ๆ เพราะเหตุใดกัน
คนดื้อด้าน ข้าไม่น่าช่วยท่านเลยจริง ๆ
ฟู่ซูหนิงเดินหน้าต่อโดยไม่ใส่ใจเขาอีก ทว่านางกลับรู้สึกประหวั่นเพราะฉืออิ้งเทียนเป็นคนหัวรั้นยิ่งนัก
เหตุใดนางต้องปิดบังข้า หลายวันมานี้นางคุยกับข้าไม่กี่ประโยค ทว่าเมื่อครู่ ร่ายวาจายาวเป็นพรวน หรือนางรังเกียจบุรุษตาใกล้มืดบอดเช่นข้างั้นหรือ
.
.
สามวันก่อนฟู่ซูหนิงได้ส่งจดหมายไปหาองครักษ์ของฉืออิ้งเทียนเพื่อให้มารอรับเขา แม้ดูไม่สมเหตุสมผลที่นางสามารถรู้ช่องทางติดต่อดังกล่าว ทว่าฟู่ซูหนิงก็เอาตัวรอดโดยการกล่าวอ้างว่าฉืออิ้งเทียนเป็นฝ่ายบอกนางเอง แม้เขารู้สึกงงงวยเพียงใดกระนั้นฉืออิ้งเทียนเลือกจะไม่รบเร้านางอีก เขายินยอมเชื่อว่าตนหลุดปากบอกกับฟู่ซูหนิงโดยไม่รู้ตัวจริง แต่ก็อดคิดมิได้ว่านางอาจมีวิชาสะกดจิต เพราะหมอที่นี่ได้รับขนานนามว่าหมอเทวดามิใช่หรือไร
"หนิงเอ๋อร์ ไยแต่งกายคล้ายบุรุษเช่นนี้เล่า เจ้าจะออกไปที่ใด" ฟู่หรงนิ่วหน้า กวาดสายตามองเรือนร่างหลานรักด้วยความฉงน ฟู่ซูหนิงเป็นสตรีร่างบอบบาง อีกทั้งใบหน้ายังอ่อนหวานสะสวย ทว่านิสัยกลับตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ของตนโดยสิ้นเชิง
"ท่านยายเจ้าคะ นานมากแล้วที่หนิงเอ๋อร์ไม่ได้ออกจากหุบเขา วันนี้ข้าจะไปส่งคุณชายฉือกลับจวน หากแต่งกายเป็นสตรีท่านว่าเดินทางผู้เดียวจะปลอดภัยงั้นหรือ หลานของท่านยิ่งงดงามอยู่ด้วย"
ฟู่ซูหนิงเย้าแหย่พลางหัวเราะคิกคัก ร่างเด็กที่จิตวิญญาณของนางหลงมาติด ไม่คิดเลยว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะสะสวยเฉกเช่นที่ตนเยินยอไว้จริง
ต่งควนโพล่ง "หนิงเอ๋อร์ แต่ดวงตาพ่อหนุ่มนั่นยังมองไม่ชัดมิใช่หรือ เหตุใดเร่งพาเขากลับ"
เพราะสิ่งนี้อย่างไร นางจึงขันอาสาเป็นหมอส่วนตัวของเขาเสียเอง หากปล่อยให้ท่านตาท่านยายทั้งสองเป็นผู้รักษา ดวงตาของฉืออิ้งเทียนย่อมหายเป็นปลิดทิ้ง ฟู่ซูหนิงเกรงว่าอาจเกิดเรื่องอีนุงตุงนังตามมาเช่นกาลก่อน
"ท่านตา ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยามนี้ร่างกายเขาแข็งแรงม๊ากมาก…ส่วนเรื่องดวงตา แค่มีเทียบยาและวิธีการดูแลให้ญาติของเขาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หากรั้งเขาไว้นานญาติของเขาอาจร้อนใจ กระทั่งพลิกแผ่นดินหาก็เป็นได้นะเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงกะพริบตาปริบ ๆต่งควนมันเขี้ยวจึงเคาะกบาลนางไปหนหนึ่ง ฟู่ซูหนิงยกมือลูบศีรษะตนป้อย ๆ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ทำอะไรผิดงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงเหลียวมองฟู่หรงหมายขอความช่วยเหลือ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ"ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ"ฟู่ซูหนิงถลาเข้าซบอกผู้เป็นตา พลางเอ่ยเว้าวอน หากไม่แสร้งว่านอนสอนง่ายแผนของนางต้องพังทลายแน่แท้ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์รู้ดีเรื่องที่ท่านสอนไว้เสมอ แต่หากท่านหายออกจากบ้านไปเป็นแรมเดือน ข้ากับท่านยายก็ต้องร้อนใจเช่นกัน ท่านยายว่าหรือไม่เจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงหันมองผู้เป็นยายเพื่อขอความเห็น ฟู่หรงก็อดใจอ่อนเป็นมิได้"ก็จริงเช่นหลานว่า"ฟู่ซูหนิงยิ้มกว้างอวดฟันเรียงสวย จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานดังเดิม "ท่านตาเจ้าคะ…เขาเป็นบุรุษตัวใหญ่โต ได้ยาดีจากหมอเทวดาเช่นท่าน เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น ให้หนิงเอ๋อร์ไปส่งเขาเถอ
"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับวันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ""ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียทีฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดีดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกัน
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า ก็ประสานเข้ากับดวงตาขมึงถึงของบุรุษร่างใหญ่ล่ำบึ้ก"นี่! เจ้าหน้าอ่อน เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร อยากตายงั้นรึ"อาเป่าถลันเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษขอโพยพัลวัน "นายท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ นี่เป็นท่านหมอมาส่งผู้ป่วยเท่านั้น ได้โปรดละเว้นด้วย"ชายฉกรรจ์ถ่มถุยน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีหยาบโลน จากนั้นผลักอาเป่าซึ่งเรือนกายผอมแห้งจนล้มลงบนพื้น "เป็นแค่ลูกจ้างกระจอกงอกง่อย อย่าริอ่านมาต่อรองกับข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร"ฟู่ซูหนิงเหลืออดพลันขบฟันกรอด มือเรียวกำหมัดแน่นเสียจนกายสั่นเทิ้ม ครั้นยันกายของตนขึ้นได้แล้ว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เชิดขึ้นด้วยความโอหัง "เจ้าหมีควาย! กระทั่งตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นใคร แล้วผู้อื่นเขาจะรู้ด้วยงั้นรึ สมองหมูจริงเชียว ไฉนต้องมายกตนข่มท่าน รังแกผู้คนไม่สนถูกผิด"ชายร่างกำยำตวัดตามองฉับ จากนั้นคว้าสาบเสื้อของฟู่ซูหนิงจนเท้าลอยเหนือพื้น "เจ้าหน้าอ่อน เจ้าเป็นบุรุษอย่างไร ไยหน้าหวานอ่อนแอคล้ายพวกสตรีไม่มีผิด ปากคอก็เราะรายใช่ย่อย มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปวกเปียกเช่นนี้ยังกล้าพ่นวาจาดูแคลนข้าอีก!"
"อาเหวิ่น ไยพวกเจ้าทำตัวเสียมารยาทนัก"บุรุษร่างสูงแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีครามงามสง่า บนศีรษะสวมกวานหยกล้ำค่าลายประณีตมือของเขาถือพัดงาช้างพลางโบกสะบัดแช่มช้าใบหน้าของเขาหล่อเหลาทว่ากลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกะล่อน ครั้นจะให้เปรียบเทียบกับบุรุษอีกคนที่นั่งสงบนิ่งในยามนี้ ชายหนุ่มทั้งสองก็นับว่ารูปงามไม่น้อยหน้ากันสักกระผีกริ้นหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไรหากทำตัวอันธพาลก็มิเท่ากับพวกดูดีเพียงรูปแต่จูบไม่หอมอย่างนั้นหรือ ฟู่ซูหนิงมิได้ใส่ใจผู้มาเยือนนัก ใบหน้าเกลี้ยงเกลายับยู่พลางปัดป่ายเพื่อจัดแจงอาภรณ์ซ้ายขวาชายร่างกำยำรวมถึงลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น ต่างลากสังขารไปหลบหลังบุรุษร่างสูงโปร่ง"นายน้อย เจ้าหนุ่มนี่ทำดวงตาของข้ามืดบอดขอรับ" นักเลงหัวไม้ร่างโตเมื่อครู่ก็คืออาเหวิ่นหรือจินเหวิ่น"หุบปากเสีย ร่างกายก็ใหญ่โตกว่าเขาตั้งหลายเท่า ไยขี้ฟ้องดุจเด็กสามขวบ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น"จินเหวิ่นและลูกน้องเงียบเสียงลงฉับ บ้างกุมท้องบ้างกุมหน้าผาก ทว่าจินเหวิ่นยังปิดตาของตนไว้แน่นใบหน้าพวกเขาแดงก่ำเหยเ
ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอาตัวโตเสียเปล่าสมองหมูไม่เกินจริง ร้องอย่างกับลาถูกเชือด"ซื่อจื่อ ข้าจะบอกท่านให้ ว่านั่นมิใช่ยาพิษสักนิด ท่านเลิกให้ลูกน้องร่างยักษ์ร้องโอดโอยเป็นหมูถูกเชือดเสียที ผงผัดหน้าธรรมดาไม่รู้จักหรือไร เคืองเล็กน้อยก็ตีโพยตีพายยกใหญ่"ฉืออิ้งเทียนส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ที่แท้ฟู่ซูหนิงก็มีอุบายเช่นคาดเดาไม่มีผิด นางสามารถทำให้ผู้อื่นอกสั่นขวัญแขวนกันเป็นแถบ ช่างเป็นสตรีตัวแสบไม่เบาทีเดียวได้ยินเช่นนั้นจินเหวิ่นจึงลดฝ่ามือลงแช่มช้า พลันกะพริบตาสองสามคราก็พบว่าตนเพียงระคายเคืองเล็กน้อยเท่านั้น จินเหวิ่นยิ้มแหยเฉกเช่นเด็กน้อยกำลังถูกมารดาดุ ช่างไม่รับกับสีหน้าอันเกรี้ยวกราดนั่นเสียเลย มองดูก็อุจาดตาพิกลเหอหยางส่ายศีรษะเพราะรู้สึกขายหน้าเหลือแสน เขากระแอมแก้เก้อ"ขอบคุณน้องชายที่ยั้งมือไว้ไมตรี แต่ว่า..."หมอนี่ช่างขี้สงสัยจริงแท้"นี่ซื่อจื่อ ท่านเป็นไก่หรือไร ตามจิกตามสงสัยข้าอยู่นั่น เดี๋ยวข้าจับตุ๋นทำน้ำแกงเสียเลย"ลูกน
ฉืออิ้งเทียนนั่งสงบนิ่งเฉกเช่นหุบเขาน้ำแข็งอยู่ภายในรถม้า ส่วนองครักษ์ทั้งสองควบอาชาคอยอารักขาผู้เป็นนายขนาบข้างคนละฝั่ง เขานั่งขบคิดตลอดทางถึงอาการแปลกพิกลของฟู่ซูหนิง กระทั่งบุรุษที่ตนถกเถียงจนน้ำลายแตกฟอง ยังสามารถพลิกมาเป็นพวกพ้องเพื่อหลบเลี่ยงมิให้องครักษ์ของเขาได้เห็นหน้าเกาซี "องค์ชาย ขอประทานอภัยที่กระหม่อมไม่อาจมองหน้าของท่านหมอได้อย่างชัดแจ้งพระองค์ประสงค์ให้พวกเราตามสืบเรื่องของเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""เพราะนางไม่อยากให้พวกเจ้าเห็นเองต่างหาก"เกาซีและเติ้งเหวยเหลียวมองหน้ากัน เติ้งเหวยเอ่ย "เอ่อ...ท่านหมอเป็นผู้หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อครู่กระหม่อมเห็นเพียงบุรุษ ไม่มีสตรีสักนาง"ฉืออิ้งเทียนแค่นยิ้ม "ช่างเถิด ถึงอย่างไรเรื่องของท่านหมอข้าย่อมไม่ปล่อยผ่าน นางทำดีกับข้า ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและดวงตาของข้า ทว่ากลับจงใจหนีหน้าข้า พวกเจ้าว่าดูไปแล้วนางมีพิรุธหรือไม่"องครักษ์ทั้งสองเหลียวมองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงเกาซี "องค์ชาย แล้วจดหมายที่ติดต่อพวกเรา พระองค์ก็เป็นคน...""ข้าเป
"น้องชาย ลูกไม้เดิมเจ้าอย่านำมาใช้อีกจะดีกว่าไม่ได้ผลหรอก เช่นนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้าไร้แหล่งพักพิง ไปพักที่จวนข้าได้ ที่นั่นใหญ่โตโอ่โถงเพียงพอให้เจ้าได้หลบแดดบังฝนอย่างสบายเชียวล่ะ"ฟู่ซูหนิงส่ายหน้า "ไม่ขอรับ ข้ารักอิสระ"เหอหยางเยื้องย่างเข้าใกล้คนตัวเล็กแช่มช้า เขาโน้มกายลง "ไม่ต้องเกรงใจ..." เสียงทุ้มแผ่วโผย จากนั้นเอ่ยต่อว่า "น้องชายเจ้ายินดีเป็นสหายกับข้าหรือไม่ หากยามเบื่อหน่ายข้าจะได้มีเพื่อนร่ำสุราเคล้านารี ดู ๆ ไปแล้วมีเจ้าเป็นสหายคงมีเรื่องให้เล่นสนุกไม่เว้นวัน""ท่านเป็นถึงซื่อจื่อผู้สูงส่ง จะลากข้าไปร่ำสุราเป็นเพื่อนเพื่อสิ่งใด ข้าเป็นเพียงหมอนิรนามเนื้อตัวสกปรกกลิ่นกายเต็มไปด้วยโอสถเฉกเช่นคนแก่ชรา ลูกน้องก็มีเป็นโขยงยังจะอยากเพิ่มข้าเข้ามาให้ชวนปวดหัวอีก"เหอหยางกดยิ้มมุมปาก "นั่นไม่เหมือนกัน...และแน่นอนว่าข้าอยากเป็นสหายกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น สุราจอกนี้เป็นสัญญาแรกของเราดีหรือไม่"ฟู่ซูหนิงมองจอกขนาดเล็กในมือของเขา เหตุใดคนผู้นี้ว่องไวดุจปีศาจ เมื่อครู่นางยังมิเห็นว่าเขาหยิบมาด้วยเลย แล้วเขาไปเอาจอกสุรานี่มาได้อย่างไร
"เทียนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้างลูก"ซิ่วกุ้ยเฟยหรือซิ่วอิงเห็นโอรสของตนกลับมาในสภาพมีผ้าขาวคาดดวงตาก็ร้องไห้แทบเกิดลมจับ คาดไม่ถึงว่าลูกชายเพียงคนเดียวที่ยังหลงเหลือกลับกลายเป็นคนพิกลพิการตั้งแต่อายุเพียงสิบแปดปี โอรสคนโตก็สิ้นใจในสมรภูมิรบเมื่อสามปีก่อน ไยชะตาสนมเอกเช่นนางจึงอาภัพนัก"เสด็จแม่ ไม่ต้องกังวลพระทัย ยามที่ลูกหลงอยู่ในป่า ลูกบังเอิญพบกับหมอเทวดา แม้ดวงตาไม่อาจมองเห็น ทว่าร่างกายของลูกแข็งแรงดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ""หมอเทวดางั้นหรือ หมอเทวดาใดกัน หากเป็นหมอเทวดาไยจึงไม่อาจรักษาดวงตาเจ้าได้ อีกอย่างแม่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเรื่องหมอเทวดาเหลวไหลอะไรนั่น แบบนี้ไม่ได้การ แม่จะเรียกหมอหลวงมาตรวจร่างกายเจ้าอีกครั้ง บางทีหมอเทวดาที่เจ้าว่าอาจรักษาส่งเดชก็เป็นได้"ฉืออิ้งเทียนถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง แม้เขาไม่ประสงค์ชิงดีชิงเด่นกับบรรดาพี่น้องต่างมารดาทว่าซิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางช่างกระหายในอำนาจอย่างยิ่งยวดอีกไม่นานจะมีการแต่งตั้งชินอ๋อง แน่นอนว่าผู้เหมาะสมและเป็นที่หมายตาสำหรับตำแหน่งอ๋องขั้นหนึ่งย่อมหลีกไม่พ้นฉ
จู่ ๆ ฟู่ซูหนิงก็ถูกควบคุมตัวให้คุกเข่าลง "นี่เรื่องใดกัน อยู่ ๆ ก็มาจับกุมข้า อยากหัวขาดงั้นรึ"บุรุษผู้หนึ่งย่างกรายมาเบื้องหน้าของนาง พร้อมย่ามสุดรักในมือ เขาชูของสิ่งนั้นขึ้น ครั้นเห็นกระจะตาว่าเป็นผู้ใดนางก็เบิกตากว้าง"หมอชุย!"ชุยว่านเหวินเหยียดยิ้ม "พระชายา นี่ของท่านใช่หรือไม่"ฟู่ซูหนิงเมียงมองครู่หนึ่ง "ของข้า แล้วไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร""เป็นชายาชินอ๋องไม่ผิดแน่ นางสารภาพแล้วว่าคือของนาง"คิ้วสวยขมวดฉับ "หมายความว่าอย่างไร""พระชายา ท่านแสร้งทำตาใสเรื่องใดงั้นหรือ ลอบวางยาพิษฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด""ลอบวางยาพิษ! ไร้หลักฐานไยคิดปรักปรำข้า อีกอย่างข้าเป็นชายาชินอ๋อง ควบคุมตัวข้าทั้งที่ยังไม่ไต่สวน ทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้วรึ หากชินอ๋องรู้เข้า อย่าหมายว่าศีรษะของเจ้าจะยังอยู่บนบ่า"เสียงทุ้มหัวเราะร่วน "พระชายา หลักฐานคาตา ทุกคนก็เห็นกันหมด และนี่..." เขาเทของออกจากย่ามใบโปรดของฟู่ซูหนิง ยาพิษหลากชนิดร่วงกราวดั่งใบไม้แห้ง "ของพวกนี้ ยาพิษใช่หรือไม่""ก็ใช่ แต่นั่นข้าเอาไว้ศึกษาทดลอง และย่ามของข้
รถม้าของราชวังเคลื่อนมาจอดที่หน้าตำหนักชินอ๋อง ฟู่ซูหนิงและเสี่ยวไป๋กำลังจะออกเดินทาง นัยน์ตาดอกท้อกวาดมองตำหนักชินอ๋องอย่างนึกอาลัย ชาติก่อนฟู่ซูหนิงอาศัยอยู่ในฐานะพระชายา ส่วนตอนนี้นางได้อาศัยบังแดดบังฝนในฐานะหมอแม้ใจไม่อยากจากไปแต่นางและเขาล้วนเลือกเดินคนละเส้นทางตั้งแต่แรกแล้ว"หมอฟู่"สตรีผู้สวมอาภรณ์งามสง่ากำลังมุ่งหน้ามาหานาง ฟู่ซูหนิงยอบกายค้อมศีรษะ"ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ"ขนาบข้างกุ้ยเฟยยังมีรั่วรั่วซึ่งยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับประคองอยู่ไม่ห่าง"กุ้ยเฟย ดูนางสิเพคะ รั่วรั่วบอกนางแล้วให้รอท่านพี่อิ้งเทียนฟื้นก่อนหมอฟู่ก็ไม่ฟัง"ฟู่ซูหนิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รั่วรั่วถึงขั้นไปเชิญกุ้ยเฟยเพื่อมายื้อนางเชียวหรือ ช่างขัดกับรั่วรั่วในเมื่อก่อนยิ่งนัก"หมอฟู่ เจ้าเป็นหมอติดตามลูกของข้ามิใช่หรือ ยามนี้เขายังไม่ได้สติ เจ้านึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มาง่ายดายปานนี้เชียวหรือ" ซิ่วกุ้ยเฟยเปล่งวาจาวางอำนาจ แท้จริงในใจของซิ่วกุ้ยเฟยต้องการขอบคุณฟู่ซูหนิงมากกว่า แต่เพราะตนเป็นคนใหญ่คนโตก็ต้องวางท่าใ
เสียงแหลมเล็กดังจากทางเบื้องหลัง ฟู่ซูหนิงหมุนกายกลับตามเสียงร้องเรียก ส่วนองครักษ์ทั้งสองไม่อยากสอดมือเข้ายุ่งจึงขอตัวผละจาก"ท่านหญิงรั่วรั่ว มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ"รั่วรั่วรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย นางหันรีหันขวาง ท่าทีวางไม้วางมือรู้สึกเก้งก้างไปหมด "เอ่อ...ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า สะดวกสักครู่หรือไม่"ฟู่ซูหนิงเลิกคิ้วด้วยความฉงน นางไม่เคยเห็นรั่วรั่วในมุมของสาวน้อยขี้กังวลเช่นนี้มาก่อน "มีสิ่งใดก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ"จู่ ๆ สตรีผู้สูงศักดิ์หน้าตาจิ้มลิ้มก็เดินเข้ามาจับมือฟู่ซูหนิงทั้งสองฝั่ง รั่วรั่วพยายามรวบรวมความกล้า "หมอฟู่ ข้ามาวันนี้ ก็เพียงอยากขอโทษเจ้า ที่เมื่อก่อนข้าริษยาและชอบต่อว่าเจ้า"เปลือกตาบางกะพริบถี่อย่างไม่เชื่อสายตารั่วรั่วเอียงคอมอง "เป็นอะไรไปเล่า เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ข้ามิได้มีอุบายใดนะ""ท่านหญิง ท่านกินยาผิดขนานหรือ"รั่วรั่วหน้างอง้ำ ใบหน้าของนางจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูยิ่ง หากนางมิใช่ท่านหญิงผู้เอาแต่ใจก็คงจะดีไม่น้อย "เหตุใดพูดจาเช่นนี้กัน ข้าอุตส่าห์สำนึกได้แล้วเชียว"ฟู่ซูหนิงเลิกคิ้ว "อะไรเจ้าคะ
การจับกุมหลิวเฟยเกือบทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ นับว่าโชคดียิ่งที่ฉืออิ้งเทียนเตรียมกำลังทหารปิดล้อมโรงน้ำชาแห่งนั้นเอาไว้ แม้เขาได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ ทว่าองครักษ์ทั้งสองและไท่จื่อ และฉือเจิ้นหยู่สามารถกวาดล้างเหล่ากบฏ ได้จนสิ้นซาก ทุกอย่างล้วนเป็นการวางแผนอย่างรอบคอบของชินอ๋องหลิวเฟย เย่อ๋อง และหัวหน้าหมอหลวงชุยว่านเหวิน ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงสามวันเพื่อทำการไต่สวนต่อเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสองคนร่วมกันวางแผนเพื่อขุดบ่อน้ำมันท้ายหมู่บ้านฮุ่ยเหอมาช้านาน หนำซ้ำยังทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะผู้ที่ล่วงรู้ถึงแหล่งขุดเจาะ เพราะเหตุนี้บุรุษในหมู่บ้านฮุ่ยเหอ ที่มักออกหาของป่าเพื่อเลี้ยงชีพ หากบังเอิญพบสถานที่มรณะนั้นเข้าก็ถูกปลิดชีวิตตายทั้งหมดทำให้หลงเหลือเพียงสตรีอ่อนแอ คนแก่ชรา และเด็ก เย่อ๋องจึงวางแผนให้หมู่บ้านเกิดโรคระบาด หากชาวบ้านล้มตายจนหมด หมู่บ้านฮุ่ยเหอก็จะถูกทิ้งร้างและไม่มีรายงานส่งเข้าวังหลวง จนถูกหลงลืมในที่สุดแผนการทั้งหมดพังครืนไม่เป็นท่า เพราะอยู่ ๆ ก็มีหมอเช่นฟู่ซูหนิงยื่นมือเข้าช่วย ครั้นจะเร่งกำจัดก็เกรงจะเกิดเรื่องใหญ่ ก
ฮ่องเต้ฉือเจียฉีใจเต้นระส่ำ ร่างกายสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ อารมณ์ยามนี้ทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวดฉือเจิ้นหยู่คุกเข่าค้อมศีรษะ "เสด็จพ่อ องค์ชายสามคิดกบฏยึดบัลลังก์มังกร หมายช่วงชิงลัญจกรของพระองค์ เขาสังหารทหารกล้าไปนับร้อยชีวิต ทว่าชินอ๋องระแคะระคายเกรงว่าวังหลวงจะเกิดจลาจล จึงได้วางกองกำลังเพื่อดูสถานการณ์โดยให้ลูกเป็นทัพหน้า เพราะองค์ชายสามกระทำความผิดฐานก่อกบฏ การประหัตประหารนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีอึ้งงัน การที่เขามากภรรยาหลายบุตรมันช่างยุ่งเหยิงและแสนเจ็บปวดนักมือหยาบระคายเอื้อมลูบศีรษะฉือเจิ้นหยู่แผ่วเบา "เจิ้นหยู่ เป็นพ่อที่ละเลยเจ้า ทั้งที่เจ้าปกป้องบ้านเมืองมาโดยตลอด ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะรู้จักรักผองพี่น้อง ลูกพ่อ..." ฮ่องเต้เหลียวมองรัชทายาท และฉืออิ้งเทียนร่วมด้วย "พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับการเป็นโอรสของข้า เจิ้นหยู่ อิ้งเทียน พวกเจ้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเฉียบขาดยิ่ง เรื่องวันนี้คนเลวจะต้องถูกลงทัณฑ์โทษทัณฑ์ที่ลู่ถงได้รับก็สาสมแล้ว"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีกัดฟันกรอด "จับตัวพวกมันไปตัดหัวให้หมด!"
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"