Войтиครั้งนี้บริการดี แต่เอาไปสองร้อยพอ ไม่มีแบงก์ย่อย
ครั้งหน้าถ้าอยากมีรายได้พิเศษก็มาหาเจ๊นะจ๊ะ
เจ๊จะทิปให้หนัก ๆ เลย
“ยายตัวแสบเอ๊ย มันน่านัก”
ชายหนุ่มได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ขณะเดียวกันรอยยิ้มก็ระบายเต็มวงหน้าคล้ามคมตอนหยิบเงินสองร้อยบาทใส่กระเป๋า
ชยาวุธเข้าทำงานในช่วงบ่าย ภัทรมัยไม่อยู่ที่โต๊ะเพราะหญิงสาวต้องออกไปคุยงานที่บริษัทของลูกค้า และต้องไปคุยกับบริษัทผลิตงานโฆษณา ตลอดครึ่งบ่ายนี้เธอคงไม่ได้เข้าบริษัท ทำให้เขาอดรู้สึกเซ็งไม่ได้ จะใช้โทรศัพท์ของออฟฟิศ โทร.ไปก็เกรงว่าจะเป็นการรบกวนตอนเธอคุยกับลูกค้า จึงได้แต่ส่งข้อความไปหาทางแชต
Chaya Wave : เจ๊ครับ ผมร้อนเงิน คืนนี้ให้ผมไปบริการเจ๊ได้ไหมครับ
หลังจากส่งข้อความไปแล้วเขาก็นั่งทำงานของตัวเอง ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ภัทรมัยจึงพิมพ์ตอบกลับมา
Gam Phattramai : ไม่ได้ ขอโทษนะ แต่เจ๊ไม่หิว
ชยาวุธยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางพิมพ์ตอบไป
Chaya Wave : แต่ผมหิวครับเจ๊ เมื่อคืนผมยังกินไม่อิ่มเลย
Gam Phattramai : ตั้งสามรอบบอกไม่อิ่ม เดี๋ยวเอาหนังกะติ๊กยิงเลยนี่
ชยาวุธหัวเราะลั่นออกมาทันทีอย่างอดไม่อยู่ จนเพื่อนร่วมแผนกหันมามองแล้วยิ้มตาม เขาจึงก้มหน้าลงแล้วหัวเราะแบบไม่มีเสียงจนไหล่สั่นแล้วพิมพ์ตอบไปว่า
Chaya Wave : ถ้ามันบวมขึ้นมาแล้วผมบริการเจ๊ไม่ได้ เจ๊จะเดือดร้อนนะครับ
Chaya Wave : ถ้าเจ๊หิวแล้วใครจะป้อน
Gam Phattramai : เยอะแยะไป สมัยนี้หาซื้อกินง่ายเหมือนซื้อฟุตลองในเซเว่นเลย
Chaya Wave : ไม่มีใครอร่อยเท่าผมหรอก เชื่อดิ
Chaya Wave : ไม่งั้นเจ๊คงไม่กินเอา ๆ เต็มปากเต็มคำขนาดนั้นหรอก
Gam Phattramai : ตาบ้า ไม่คุยด้วยแล้ว
Chaya Wave : ครับผม ทำงานไปเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว
ชายหนุ่มกลับมาสนใจงานตรงหน้าต่อจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน เขาต้องไปช่วยงานศพมารดาของอดีตคนรักเช่นเคย ซึ่งคืนนี้สวดเป็นคืนที่สี่ คืนพรุ่งนี้สวดเป็นวันสุดท้าย และวันต่อไปก็เผา วันนั้นเขาคงต้องลางานทั้งวันอีกตามเคย
คนมาร่วมงานศพมารดาของเฟิร์นมีไม่มากนัก เพราะญาติส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด และไม่สะดวกเดินทางมา มีเพียงเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียน ญาติที่อยู่กรุงเทพฯ และบิดามารดาของชยาวุธที่สลับกันมาตามแต่ว่าใครจะสะดวก
หลังจากพระภิกษุสวดพระอภิธรรมเสร็จ ชยาวุธจึงออกมาคุยกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่เคยเรียนด้วยกันในมหาวิทยาลัย ซึ่งอีกฝ่ายเพิ่งมาร่วมงานศพคืนนี้เป็นคืนแรก
“มึงสองคนเลิกกันจริงหรือวะ กูว่าก็ไม่เห็นแตกต่างจากตอนนู้นเท่าไรเลย” อารยะมองไปทางเฟิร์นที่นั่งคุยกับเพื่อนผู้หญิงอยู่ในศาลา
“จริงสิวะ เลิกตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เลิกกันแบบโอเคทั้งสองฝ่ายน่ะ เฟิร์นเขาก็คิดเหมือนกู คุยกันไปคุยกันมาก็เลยตกลงว่าเลิกกันดีกว่า” ชยาวุธตอบไปตามตรง
“ไม่ใช่ว่าแค่ชินชากันเท่านั้นหรือวะ ก็พวกมึงคบกันมาตั้งนาน มันก็ต้องมีบ้างที่จะไม่ได้รู้สึกหวานแหววเหมือนตอนคบกันใหม่ ๆ มึงลองทบทวนให้ดีนะเว้ย กูว่ามึงสองคนน่าจะรักกันอยู่นั่นแหละ แต่เพราะอยู่กันมานานเกินไปมันก็เลยมีเบื่อ ๆ กันไปบ้าง” อารยะถอนหายใจด้วยความเสียดาย แต่ชยาวุธส่ายหน้า
“กูมีแฟนใหม่แล้ว และที่กูเลิกกับเฟิร์นก็เพราะกูไปชอบน้องที่ทำงาน กูเลยมาบอกเฟิร์นตรง ๆ มึงไม่ต้องชงเลยไอ้ยะ เพราะแฟนใหม่นี่กูก็คบมาหกเจ็ดเดือนแล้วด้วย”
“อ้าว ถ้างั้นก็แล้วไป” อารยะได้แต่พยักหน้าแกน ๆ เพราะโน้มน้าวให้เพื่อนกลับมาคบกันไม่สำเร็จ
ขณะที่ชยาวุธเองก็ลอบถอนหายใจ เพราะเขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าเจอเพื่อนเก่าจะต้องมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นแน่ ๆ เพราะเขากับเฟิร์นมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน และทุกครั้งที่เจอหน้าเพื่อนแต่ละคน พวกนั้นมักพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปคบกันเฟิร์นในฐานะคนรักเหมือนเดิม
แต่คราวนี้เขามั่นใจในความรู้สึกของตนเองแล้ว เขาไม่สับสนเหมือนตอนถูกมารดาของเฟิร์นพูดกล่อมอยู่ทุกวันอย่างตอนนั้นแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าเพื่อนกลุ่มนี้จะโน้มน้าว หรือพยายามแค่ไหนก็ไม่มีผลกับเขาอยู่ดี
เมื่อถึงเวลาต้องแยกย้าย ชยาวุธต้องขับรถไปส่งเฟิร์นที่บ้านเช่นเคย เพราะรถของหญิงสาวเข้าอู่ซ่อม ขณะที่นั่งกันเงียบ ๆ มาตลอดทางได้ครู่ใหญ่ เฟิร์นก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“เจอพวกนี้ทีไร มันชอบบอกให้เฟิร์นกลับไปคบกับเวฟเหมือนเดิมทุกที”
ชยาวุธยิ้มเล็กน้อย “เราก็เจอเหมือนกันแหละ”
หญิงสาวเหลือบมองคนขับพลางลอบถอนหายใจ พูดเสียงค่อยว่า
“เวฟรู้สึกผิดใช่ไหม ถึงมาคอยดูแลเฟิร์นอย่างนี้”
ชายหนุ่มเงียบไป ผ่านไปสักพักจึงพูดขึ้นว่า “เป็นสิ่งที่เราควรทำ”
“เฟิร์นไม่เคยโทษเวฟเลยนะ เฟิร์นรู้ดีว่าแม่เป็นคนดื้อแค่ไหน แต่แม่ก็รักเวฟมากเพราะแม่เห็นเราคบกันมาตั้งแต่ตอนเรียน ท่านก็หวังว่าเราสองคนจะแต่งงานกัน”
หญิงสาวไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้ตนพูดออกไปแบบนั้น รู้แต่ว่าอยากรั้งเขาไว้ข้างกาย ยิ่งพักนี้ได้เจอหน้าเขาบ่อยตั้งแต่ช่วงที่มารดายังป่วย อีกทั้งท่านยังพูดกรอกหูเรื่องเขาทุกวัน ไหนจะบรรดาเพื่อนฝูงที่ช่วยเชียร์ให้กลับมาคืนดีกันอย่างออกนอกหน้า จากที่ไม่เคยคิดย้อนกลับไปหาชยาวุธ ทว่าตอนนี้เธอกลับอดคิดถึงช่วงเวลาหวานชื่นเหล่านั้นไม่ได้
“เฟิร์นก็รู้ว่าเราทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว” เขาพูดเสียงค่อย ตามองถนนเบื้องหน้า ไร้รอยยิ้มอย่างที่เคย
เธอมองเขาแล้วก็รู้สึกอึดอัด ตอนเห็นเขาแชตคุยกับใครบางคนด้วยสีหน้าเริงรื่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บางครั้งยังหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ จริงอยู่ที่ตอนตกลงเลิกกันเธอยินดี เพราะไม่ได้รักเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะชยาวุธยังมีคนรักใหม่ ในขณะที่เธอไม่มีใครเลย
ครั้นพอคิดอย่างนั้น หญิงสาวก็ยิ่งห้ามอารมณ์และความรู้สึกของคนที่สูญเสียสิ่งสำคัญไปไม่ได้ จึงพลั้งปากพูดในสิ่งที่อยากพูดออกไปเต็มที่
“แม่ของเฟิร์นตายแล้วนะเวฟ ท่านไม่ได้อยู่กับเฟิร์นแล้ว”
เสียงของเธอเริ่มสั่นพร่า กระบอกตาปวดหนึบจนในที่สุดน้ำตาก็ไหลลงอาบแก้ม แต่ชายหนุ่มกลับไม่เอ่ยคำใดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ตอนนี้เฟิร์นไม่มีใครเลย เฟิร์นเหลือตัวคนเดียว แต่ไหนแต่ไรมาเฟิร์นมีแต่แม่มาตลอด แต่ตอนนี้ท่านก็จากเราไปเพราะเวฟเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่อาการกำเริบ”
ชยาวุธกำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดที่มือปูดขึ้น
“เราขอโทษ เราไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้”
“เวฟแค่ขอโทษเท่านั้นหรือ ไม่คิดอย่างอื่นไม่พูดคำอื่นบ้างหรือนอกจากคำนี้”
“แล้วเฟิร์นจะให้เราทำยังไงในเมื่อท่านก็เสียไปแล้ว เราเองก็เสียใจเหมือนกัน แต่เราไม่สามารถทำให้ท่านฟื้นขึ้นมาได้ ถ้าเราทำได้เราทำไปแล้ว เราก็รู้สึกผิดมาก ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไรเลยนะเฟิร์น”
“เวฟก็ทำสิ่งที่แม่ขอร้องไว้ก่อนตายสิ แต่งงานกับเฟิร์น!”
ชยาวุธเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เท้าเหยียบเบรกโดยอัตโนมัติทันที โชคดีที่ไม่มีรถขับตามด้านหลัง
“เฟิร์น!”
“แล้วน้องเขารู้รึยังว่ามึงชอบเขา” ทิวากรถามยิ้ม ๆ“จะรู้ได้ไง ก็กูไม่ได้บอก”ทิวากรกลอกตาพลางเอ่ยว่า “เหรอออ ไอ้คุณเวฟครับ กูว่าน้องเขาน่าจะรู้แล้วละครับ เพราะมึงน่ะมองเขาตาเชื่อมขนาดนั้น แหม...ไม่แสดงออกเลยสักนิด แค่คนเขารู้เขาเห็นกันทั้งบริษัทแค่นั้นเอง”“เฮ้ยถามจริง น้องเขารู้หรือวะ” คนอื่นเขาไม่สนใจ ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป แต่ภัทรมัยนั้นเขาต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาโสด ถ้าเขาเผลอมองเธอตาเชื่อมจริง เธอจะต้องคิดแน่ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ“ไม่ได้การแล้วไอ้ทิว มึงรีบไปป่าวประกาศให้กูด่วนเลยว่ากูโสดแล้ว”และตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะเริ่มจีบภัทรมัยอย่างจริงจังสักทีชยาวุธกับทีมงานคนอื่น ๆ นั่งฟังบรีฟงานจากภัทรมัยในห้องประชุมเล็ก ตลอดเวลาที่นั่งประชุม ชายหนุ่มแทบไม่ละสายตาไปจากเออีคนสวยเลย และเขาไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว แต่ยังยิ้มนิด ๆ ตลอดเวลาด้วยภัทรมัยรู้ตัวว่าถูกชยาวุธจ้องเอา ๆ ก็อดประหม่าไม่ได้ หญิงสาวต้องตั้งสติและใช้สมาธิอย่างมา
“เฮ้อ...” ภัทรมัยถอนหายใจอีกครั้งทั้งยังเผลอมองเขาไม่วางตา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น หัวคิ้วของหญิงสาวพลันขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีตาคนนี้ปล่อยให้คนอื่นเขาแซงคิวอีกแล้ว...นังแก้มจะไม่ทน!หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาชยาวุธด้วยสีหน้าเอาเรื่อง แต่ไม่ได้พูดกับเขา เธอพูดกับผู้หญิงคนนั้น“ขอโทษนะคะ ท้ายแถวอยู่ตรงนั้นค่ะ กรุณาไปต่อคิวด้วย”“อะไรกัน ก็คุณคนนี้...” ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบ ภัทรมัยก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก“ถึงพี่ฉันจะยอมให้คุณแซงคิว แต่ฉันไม่ให้ และฉันจะเข้าคิวแทนพี่เขาเอง เพราะฉะนั้นกรุณาไปต่อท้ายแถวค่ะ” หญิงสาวชี้ไปทางท้ายแถว จากนั้นหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า“พี่เวฟไปนั่งรอก่อนเลย แก้มจะแลกการ์ดเอง” พูดจบก็หันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นต่อ เจ้าหล่อนเห็นคนเริ่มมองมาหลายคน อีกทั้งคนที่ต่อแถวบางคนก็ทำหน้าไม่พอใจ จึงเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากแถวทันทีเมื่อแลกการ์ดเรียบร้อยแล้ว ภัทรมัยจึงเดินไปหาชยาวุธที่นั่งรออยู่ จากนั้นก็ยื่นการ์ดให้เขา&
เออีน้องใหม่ภัทรมัยเดินออกจากลิฟต์ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ วันนี้เธอเริ่มงานวันแรกกับบริษัทโฆษณาที่จัดว่าเป็นบริษัทอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย เธอใฝ่ฝันอยากทำบริษัทนี้มานานแล้ว เคยมาสัมภาษณ์สองครั้ง แต่ไม่ถูกเรียกให้เข้าทำงาน หญิงสาวจึงต้องไปสมัครบริษัทอื่น ทำอยู่หลายปีจนกระทั่งทราบข่าวว่าบริษัทนี้เปิดรับ Account Executive เธอจึงลองยื่นใบสมัครดูอีกครั้ง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็กลับบ้านไปรอฟังผล ผ่านไปสองวันจึงได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลว่าเธอได้รับการพิจารณาให้เป็นพนักงานของบริษัทแล้วภัทรมัยจำได้ว่าวันนั้นตนกรี๊ดลั่นห้องจนเพื่อนชายที่อยู่ห้องติดกันรีบมาเคาะประตูถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนึกว่าเธอเกิดอันตรายขณะที่หญิงสาวกำลังจะผลักประตูเข้าไป เสียงทุ้มจากด้านหลังพลันดังขึ้นจนทำให้เธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามาติดต่อธุระอะไรรึเปล่าครับ”ภัทรมัยลดมือลงจากที่จับประตูแล้วหันไปมองคนถาม ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนี้หน้าตาใช้ได้ อายุน่าจะประมาณยี่สิบปลายถึงสามสิบปี สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบ ดูท่าทางเป
โลกใบแรกที่เป็นทนายปราบต์ได้ตายไปแล้ว แต่ยังเหลือโลกใบที่สองคือนวัช เจ้าของบ่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่เขาเหลือชีวิตเดียวแล้ว คงต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ให้สมกับที่มารดาของเขายอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เขาเติบโต...เมี้ยว...เสียงร้องแผ่วเบาของแมวตัวหนึ่งทำให้ความคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักลงทันที เขามองหาที่มาของเสียงจึงเห็นลูกแมวตัวเล็กยืนห่างเขาออกไปประมาณสามก้าว“แมวบ้านไหนเนี่ย” เขาไม่เคยได้ยินว่าคนแถวนี้เลี้ยงแมวสักคน จึงคิดจะจับตัวมันมาดูว่าสวมปลอกคอเอาไว้หรือไม่ แต่เจ้าตัวเล็กก็กระโดดหนีไปเสียก่อน และเพราะความมืดเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันมีสีอะไร แต่ในเมื่อมันไปแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจอีกทว่าพอเขาเดินเข้าบ้าน กลับเห็นลูกแมวตัวน้อยนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาราวกับเป็นบ้านของมัน“จะมาอยู่ด้วยกันรึไงเจ้าเหมียวน้อย” เขาก้มตัวลงมองมันชัด ๆ เป็นแมวไทยทั่วไปสีส้มท้องขาว มีปลอกคอสวมอยู่แสดงว่าเป็นแมวมีเจ้าของ“กลับบ้านไปได้แล้ว เจ้าของหาแย่แล้วมั้ง”มันเงยหน้ามองเขาเหมือนจะฟังรู้เรื่อง แต่พอเห็นมันเอนตัวลงนอนฟุบบนโซฟาเหมื
“น่ารักจังเลย กี่เดือนแล้วคะ” ภัทรมัยมองเด็กน้อยลูกครึ่งด้วยความเอ็นดู สีผมของทั้งคู่เป็นสีน้ำตาล นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเช่นกัน พวงแก้มแดงระเรื่อทั้งสองข้าง แขนขาจ้ำม่ำดูน่ากอดทั้งคู่“แปดเดือนแล้ว กำลังคลานเลย เวฟกับแก้มล่ะ เมื่อไรจะมีตัวเล็กบ้าง” เฟิร์นถามยิ้ม ๆ“คงอีกสักพักค่ะ” ภัทรมัยยิ้มแหย“โห นี่แปลว่าไปอยู่ที่โน่นได้ไม่นานก็แต่งงานเลยสิเนี่ย แฟนเป็นคนอเมริกันใช่ไหม แล้วรู้จักกันได้ยังไง” ชยาวุธยิ้มกว้างเช่นกัน ดีใจที่เห็นอดีตคนรักมีชีวิตที่ดี“ใช่ ตอนมาถึงที่นี่เฟิร์นก็ช่วยน้าทำงานในคลินิกสัตว์ และเพ็ทชอปน่ะ เขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ เพราะพาแมวมาถ่ายพยาธิและหยอดยากันเห็บหมัดทุกเดือน มาซื้ออาหารแมว ทรายแมวบ่อย ๆ ก็เลยได้รู้จักกัน บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากคลินิกด้วย เขาจะออกมาวิ่งทุกเช้าเลยได้คุยกันทุกวัน”“ดีใจด้วยนะเฟิร์น ลูก ๆ น่ารักมาก แก้มแดงน่าหยิกมากเลย ไฮ...”ชายหนุ่มโบกมือทักทายเด็กน้อยที่มองตนตาแป๋วผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปยิ้มกับภรรยาอย่างถูกใจเมื่อเห
“ไอ้เสี่ยกวงมันอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เชื่อพี่ น่าจะตายอยู่ในคุกนั่นแหละ ไม่ได้ออกมาเห็นโลกภายนอกอีกหรอก”“แล้วคุณทนายล่ะ แก้มว่าเขาก็ทำบาปกับคนอื่นไว้ไม่น้อยเลยนะนั่น อยากรู้จริงว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่”แม้จะผ่านมาสองปีแล้ว แต่ภัทรมัยยังคงเชื่อว่าทนายปราบต์ยังไม่ตาย และคิดว่าเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้แน่นอน“จะไปคิดถึงมันทำไม มันทำให้พี่เกือบตายเชียวนะ” เขาตัดพ้อเสียงขุ่น ภัทรมัยจึงรีบกอดเขาไว้อย่างเอาใจ“แหม ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าเขาทำยังไงถึงรอด หมายถึงว่าเขาทำยังไงถึงทำให้ตัวเองกลายเป็นคนตายไปได้ แล้วตอนนี้เขาจะใช้ชื่อว่าอะไร ยังอยู่ในประเทศไทยรึเปล่าแค่นั้นเอง”“เขาอยู่กับเสี่ยกวงมานาน ยังไงก็ต้องมีทางออกให้ตัวเองเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วละ แต่ไอ้เรื่องชุบตัวเป็นคนใหม่หรือสวมรอยเป็นคนอื่นรึเปล่าเราก็ไม่รู้กับเขาหรอก พี่ว่าเรื่องแบบนี้มันน่าจะรู้กันเฉพาะกลุ่มว่ามีขบวนการทำให้ ดีไม่ดี เจ้าหน้าที่พวกนั้นอาจจัดการให้เขาเองก็ได้ ช่างมันเถอะ แค่อย่ามาให้เจอหน้าก็แล้วกัน บอกตามตรงเลยนะ พี่ไม่ถูกชะตา







