“อันอันเข้ามาในห้องหน่อย!” เสียงหัวหน้างานดังขึ้นอยู่ห้องทำงานส่วนตัว
ร่างบุรุษในชุดเกราะแม่ทัพหันกลับมามองหัวหน้างานของหญิงสาวเพียงครู่ ก่อนจะหันกลับมามองเธอดั่งเดิม พรึบ! ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เลือนหายไปชั่วพริบตา “เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันใด มือน้อยๆ ยกขึ้นจับหน้าอกของตัวเองพร้อมตบลงเบาๆ เป็นการเรียกขวัญของเธอให้กลับคืนมาโดยพลันพลางกลืนน้ำลายลงคอ “มาให้เห็นกลางวันแสกๆ เลยหรือนี่ ผีหวงของชัดๆ” จางเพ่ยอันบ่นพึมพำพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดใบหน้าหวานสวยของเธอพลางสูดลมหายใจเข้าปอด “มาแล้วค่ะหัวหน้า” หญิงสาวรีบขานรับตอบกลับไป ร่างระหงรีบลุกจากเก้าอี้ทำงานหากแต่ก่อนไปก็ไม่วายที่จะหันกลับมามองปิ่นหยกโบราณที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพิศวงอย่างยิ่งยวด เมื่อเพิ่งได้พานพบกับเจ้าของปิ่นหยกดังกล่าวอย่างไม่คาดฝัน ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้างาน “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเตรียมตัวออกพื้นที่ไปร่วมตรวจสอบกับทีมงานที่เพิ่งขุดค้นสุสานใหม่ด้วยนะอันอัน ข้อมูลของวัตถุโบราณที่เพิ่งให้ไปนำส่งก่อนจะออกเดินทางด้วยนะ” หัวหน้าสาวรุ่นใหญ่บอกกับเธอก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นลูกน้องยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น “เป็นอะไรอันอัน ไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าซีดๆ ชอบกล” หัวหน้างานถามกลับไปทันทีที่เห็นความผิดปกติ และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที “อะ… เออ... อันอันสบายดีค่ะหัวหน้า พอดีกำลังค้นคว้าหาข้อมูลปิ่นหยกนั่นอยู่ก็เลยคิดอะไรเพลินไปหน่อย” หญิงสาวรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แล้วก็อย่าลืมไปรายงานตัวที่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรด้วยล่ะ เธอจะได้มาช่วยทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับสถาบันวิจัยอย่างเต็มที่” ใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างออกมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น “อันอันไม่ลืมค่ะหัวหน้าจะไปรายงานตัวเดี๋ยวนี้เลย” เธอตอบกลับไปก่อนจะได้ยินหัวหน้างานเอ่ยขึ้น “อ่อ! ก่อนจะออกไปเก็บวัตถุโบราณเข้าตู้เซฟให้เรียบร้อยด้วยนะ” แม่สาวรุ่นใหญ่กล่าวเตือนลูกน้อง “รับทราบค่ะ” จางเพ่ยอันขานรับอย่างแข็งขันพร้อมหันหลังเดินกลับตรงไปที่โต๊ะทำงานของเธอดั่งเดิม ปิ่นหยกโบราณถูกนำมาวางไว้ในหีบไม้ขนาดกะทัดรัดพร้อมเลื่อนปิดเอาไว้เป็นอย่างดี พลางเก็บของทุกอย่างซึ่งเป็นงานที่เธอได้รับมอบหมายเข้าตู้นิรภัยที่ตั้งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทำงานพร้อมปิดล็อกตั้งรหัสใหม่ทุกครั้ง ไม่ให้ซ้ำกันป้องกันการผิดพลาดก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน ซึ่งภายในห้องไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว ทันทีที่หญิงสาวเดินออกจากห้องวิจัยค้นคว้า ร่างเลือนรางของบุรุษในชุดเกราะแม่ทัพปรากฏออกมาอีกครา ดวงตาภายใต้หน้ากากสีเงินจับจ้องอยู่ที่ร่างระหงของจางเพ่ยอันด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด “อันอัน!” เสียงทุ้มก้องกังวานเต็มไปด้วยอำนาจ เอ่ยชื่อเล่นของคนงามออกมาเบาๆ ด้วยได้ยินชื่อของเธอเมื่อครู่ที่ผ่านมาออกจากปากของหัวหน้างานของหญิงสาว ฉับพลันเสียงเรียกจากที่ไกลแสนไกลกำลังเรียกขานบุรุษในชุดเกราะดังคล้ายเสียงกระซิบแผ่ว “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเรียกค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ “องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ! องค์ชาย!!!” ครานี้เสียงเรียกดังขึ้นมาอย่างชัดเจน พร้อมร่างเลือนรางค่อยๆ เลือนหายไปจากบริเวณดังกล่าว ยุคอดีตภายในกระโจมที่ประทับ “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเรียกขานด้วยความเป็นห่วงพยายามปลุกองค์ชายของตนให้ทรงรู้สึกพระองค์ เปลือกตาที่ปิดสนิทตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ดวงเนตรสีนิลกาฬกลอกกลิ้งไปมา เพดานเบื้องบนคือผ้าของกระโจมที่ประทับ บริเวณโดยรอบคือสถานที่คุ้นชินตาอยู่ทุกวี่วัน “องค์ชายฟื้นแล้ว!” องครักษ์คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด เมื่อเห็นองค์ชายของตนได้สติกลับคืนมา “น้ำ! ขอน้ำกินหน่อย” สุรเสียงแหบแห้งรับสั่งออกมาเบาๆ องครักษ์หนุ่มรีบกระวีกระวาดรินน้ำใสสะอาดออกจากกาน้ำใส่ถ้วย ก่อนจะตรงเข้าประคองพระวรกายใหญ่ให้ลุกจากฟูกพระบรรทมขึ้นมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเจ็บปวดที่มิได้ลดน้อยถอยลงไปแต่อย่างใด กรอดดดด!!! เสียงพระทนต์ขบเข้าหากันจนแน่น ด้วยทรงเจ็บปวดบาดแผลอย่างยิ่งยวด อึก… อึก... อึก องค์ชายหนุ่มเสวยน้ำด้วยความกระหายจนหมด “เอาอีก” รับสั่งสุรเสียงแหบแห้ง องครักษ์หน้ามนรีบเทน้ำออกจากกาใส่ลงไปในถ้วยขนาดใหญ่กว่าเดิม ตรงปรี่เข้าไปประคองพระวรกายพร้อมถวายน้ำก่อนจะเสวยหมดลงอย่างรวดเร็ว เอื๊อก! เสียงกลืนน้ำลายลงคอได้ยินอย่างชัดเจน พระเกศาสีดำสนิทยาวสยายถึงบั้นพระองค์ตกลงปรกพระพักตร์ ซึ่งบัดนี้ไร้สิ้นหน้ากากสีเงินปิดบังเอาไว้ องค์ชายแห่งแคว้นฉินทอดพระเนตรพบหน้ากากของพระองค์ถูกนำมาวางไว้อยู่บนฟูกพระบรรทม พระหัตถ์ยกขึ้นจับพระพักตร์ทันที “ผู้ใดบังอาจถอดหน้ากากของข้าออกไป!” รับสั่งถามสุรเสียงเข้มพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทเขม็ง ในขณะที่องครักษ์ส่วนพระองค์นั่งกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่นเมื่อถูกสายพระเนตรองค์ชายของตนทอดพระเนตรกลับมาเช่นนั้น “กะ… กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย… ตะ… แต่ที่ทำไปเพราะต้องช่วยเหลือพระองค์ให้ทรงหายพระทัยได้สะดวกขึ้น ตอนนั้นพระอาการหนักหนาสาหัสยิ่งนัก หลายครั้งหลายคราทรงหายพระทัยติดขัด กระหม่อมจึงต้องตัดสินใจถอดหน้ากากของพระองค์ออกมาพ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์คนสนิทกราบทูลกลับไปพลางรีบก้มหน้ามองพื้นทันทีด้วยความหวาดกลัวองค์ชายของตนเป็นยิ่งนัก พระพักตร์สั่นไหวระริกด้วยความเจ็บปวดบาดแผลอย่างยิ่งยวด ก่อนจะปิดพระเนตรลงเพียงครู่ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้นและค่อยๆ เปิดขึ้นมาอีกคราพร้อมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด “มีผู้ใดอีกหรือไม่ที่พานพบใบหน้าของข้านอกจากเจ้า” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ องครักษ์คนสนิทซึ่งกำลังก้มหน้ามองพื้นอยู่ในขณะนั้นเกิดอาการนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น “พูด!!!” รับสั่งตวาดกลับไป “กะ... กระหม่อมพูดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พูดแล้ว!” องครักษ์หนุ่มละล่ำละลักกราบทูลตอบกลับไปทันที “มีกี่คน!” รับสั่งถามกลับไปโดยพลัน “มะ… มีหมอหลวงและผู้ช่วยอีกสองคน รวมกระหม่อมด้วยเป็นสี่คนพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หน้ามนกราบทูลรายงานกลับไปอย่างรวดเร็ว ครั้นพระองค์ทรงได้ยินเช่นนั้น พระเนตรปิดลงทันทีก่อนจะมีรับสั่งสำทับตามติดมา “หมอหลวงกับผู้ช่วยตายกันหมดแล้วหรือยัง” รับสั่งถามกลับไปอีกครา หากแต่คำถามของพระองค์ทำให้องครักษ์ตรงเบื้องพระพักตร์แปลกใจอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดองค์ชายจึงทรงมีรับสั่งถามเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงและผู้ช่วยทั้งสองยังคงอยู่ดีมีสุขเป็นปกติดีทุกอย่าง มิได้ล้มหายตายจากไปแต่ประการใด” ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์เงยขึ้นทอดพระเนตรองครักษ์ของพระองค์ทันใด “เจ้าว่าอะไรนะ!"รับสั่งเต็มไปด้วยความแปลกพระทัยอย่างยิ่วยวดยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ