แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: อี้ซัวเยียนอวี่
เฟิ่งจิ่วเหยียนดูไม่เหมือนพระมเหสีที่ถูกพระสวามีทอดทิ้งอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย นางสวมชุดอย่างฮองเฮา แลดูสูงศักดิ์ดั่งพญาหงส์ที่เดินดิน

นัยน์ตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง ม่านตาสีอ่อนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ที่มิอาจเอื้อมราวกับหยก

ผิวพรรณของนางหาได้ซีดขาวอมโรคเหมือนดังที่สตรีในเมืองหลวงนิยมกันไม่ แต่เป็นผิวที่อิ่มเอิบและเปล่งปลั่งดังกลีบกุหลาบ

รูปลักษณ์งดงามแฝงด้วยความสูงศักดิ์น่าเกรงขาม งามล้ำดั่งเทพธิดาในวังจันทรา

เหล่าผู้คนในวังหลังล้วนคุ้นเคยกับการเห็นสนมนางในที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหรงเฟยดี พอวันนี้ได้พบกับความงามพิลาสล้ำของฮองเฮาก็ตาลุกวาวราวกับจะเปล่งแสงได้

ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง รูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบเคียงได้

ตั้งแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าสู่ยุทธภพเพียงลำพัง นางก็ใช้ชีวิตแปลงโฉมหน้ามาโดยตลอด

สำหรับนางแล้วหน้าตาที่งดงามคือภาระ โดยเฉพาะในค่ายทหาร

อาจารย์หญิงมักบอกว่าใบหน้างามนี้ของนางช่างเสียเปล่ายิ่งนัก วัน ๆ ล้วนแต่ถูกนางใช้อย่างส่งเดช

เหลียนซวงที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังฮองเฮาก็พลันรู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วย

เมื่อเดินจนถึงเบื้องหน้าไทเฮา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ย่อกายคำนับตามธรรมเนียม

“หม่อมฉันขอคารวะเสด็จแม่เพคะ”

ไทเฮาประทับอยู่บนพระที่นั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเมตตา

“ฮองเฮาไม่ต้องมากพิธีไป นั่งเถิด”

จากนั้นไทเฮาก็ตรัสถึงฮ่องเต้ และออกปากปลอบนาง

“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะละเลยบางเรื่องไปบ้าง”

“ฮองเฮา เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย”

เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “เพคะ”

เมื่อสนทนากับนางได้ครู่หนึ่ง ไทเฮาทรงพบว่าฮองเฮาองค์นี้ทำสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา ราวกับว่าใบหน้านี้ถูกแช่แข็งเอาไว้ ยิ้มแย้มไม่เป็นแต่กำเนิดอย่างไรอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้ยามพบนางที่งานฉลองพระชนมพรรษา ออกจะรู้จักทำตัวให้คนชื่นชอบไม่ใช่หรือ?

เฟิ่งจิ่วเหยียนนางเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มจริง ๆ

ยามเยาว์วัยอาจารย์หญิงมักจะหยอกเย้าให้นางหัวเราะ แต่นางกลับรู้สึกว่าน่าเบื่อ

ต่อมาเมื่ออยู่ในค่ายทหารนางมีฐานะเป็นแม่ทัพน้อยจึงต้องสร้างความน่าเกรงขาม อีกทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนมาเข้าใกล้จนค้นพบว่านางเป็นสตรี ด้วยเหตุนี้นางจึงติดนิสัยทำหน้านิ่ง หาไม่แล้วคงไม่อาจออกคำสั่งควบคุมกองทัพได้

“ฮองเฮา มีเรื่องใดรบกวนใจเจ้าหรือ?” ไทเฮาทรงตรัสถามโดยตรง

เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองไทเฮา ตอบอย่างราบเรียบว่า

“ไม่มีเพคะ”

หลังจากนั้นก็ไม่พูดคำใดต่ออีกเลย

ไทเฮาริมฝีปากกระตุก

ไร้อารมณ์เช่นนี้ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงไม่โปรด แม้ไทเฮาอย่างนางเองก็หมดแรงจะสนใจเช่นกัน

ถึงอย่างไรเสียเหล่าสนมนางในที่พบเจออยู่ทุกวันคืน แต่ละคนล้วนยิ้มหวานราวน้ำผึ้ง ช่างจำนรรจายิ่ง

เหมือนฮองเฮาองค์นี้เสียที่ไหน ถามคำตอบคำ หาไม่ก็เงียบเป็นเป่าสาก

“ดอกไม้ในอุทยานหลวงออกดอกไม่น้อยเลย ฮองเฮา เจ้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าเถิด”

“เพคะ”

ไทเฮาทรงเข้าใจว่าหากออกมาด้านนอกแล้ว ฮองเฮาคงจะพูดมากขึ้นซักหน่อย

นึกไม่ถึงเลยว่ายังคงเงียบเป็นเป่าสากเช่นเดิม

ช่างไร้หนทางเยียวยาราวกับโคลนที่แปะบนผนังไม่อยู่อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเดินไปเดินมาเดินจนแทบจะทะลุออกจากอุทยานหลวงไปยังสนามม้าหลวงที่อยู่ติดกันอยู่แล้ว ไทเฮาก็ทรงถอดใจ อ้างว่าจะกลับตำหนักฉือหนิง

แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีม้าตัวหนึ่งพลันวิ่งห้อตะบึงออกมาจากที่ใดไม่ทราบ พุ่งทะยานเข้ามาทางพวกนางอย่างคลุ้มคลั่ง

เหล่าองครักษ์รีบกรูกันเข้ามาด้านหน้ารวมตัวกันเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อปกป้องไทเฮาเอาไว้ แต่ก็ถูกชนจนกระจัดกระจายในทันที

ไทเฮาใช้ชีวิตอย่างชนชั้นสูงถูกดูแลและปกป้องอย่างดีมาโดยตลอด จะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร

ที่น่ากลัวก็คือ ดูเหมือนม้าตัวนี้จะเพ่งเล็งมาที่ไทเฮา จ้องแต่จะวิ่งมาที่นาง ด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรงไทเฮาตัวแข็งไม่อาจขยับตัวแม้แต่น้อย ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากซีดขาว

“คุ้มกัน! รีบคุ้มกันเร็ว!” กุ้ยหมัวมัวตะโกนอย่างรีบร้อน

ดวงตามองไปยังไทเฮาที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ใต้กีบเท้าม้า ทันใดนั้นเองก็มีเงาคนผู้หนึ่งผ่านวาบไปอย่างเร็วรี่

ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ไทเฮาเพียงสัมผัสได้ว่ามีพลังที่แข็งแกร่งโอบเอวของนาง พานางถอยออกไปอยู่อีกฝั่ง

หลังจากยืนได้อย่างมั่นคง นางก็เหลือบตาขึ้นมอง กลับพบว่าคนที่ช่วยนางเอาไว้คือฮองเฮา!

สตรีที่ดูเรียบร้อยบอบบางอย่างฮองเฮา ที่แท้กลับมีเรี่ยวแรงมากถึงเพียงนั้น!

นอกจากนี้ยามที่อุ้มนางยังทำให้นางรู้สึกอุ่นใจยิ่งกว่าชายชาตรีเสียอีก

ไทเฮารู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ขณะที่กำลังคิดจะพาฮองเฮาไปหลบนั้น กลับเห็นนางลอยตัวไปอยู่บนหลังม้าเสียแล้ว

ทักษะการขี่ม้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นในค่ายเป่ยต้าไม่มีใครเทียบนางได้เลย

แม้แต่ม้าที่ดุร้ายที่สุดก็ยังเชื่อฟังนางอย่างว่าง่าย

สองมือของนางดึงเชือกบังเหียน เท้าสองข้างหนีบท้องม้าเอาไว้ ในสภาวะที่ม้าสะบัดโคลงไปมาอย่างรุนแรงก็ยังสามารถรักษาสมดุลเอาไว้ได้

ฝูงชนที่เห็นนางถูกม้าคลั่งพาวิ่งไปไกลก็ขวัญหนีดีฝ่อ

“สวรรค์! ฮองเฮาตกอยู่ในอันตราย!”

ไทเฮาทรงกังวลเป็นอย่างมาก “รีบไปช่วยฮองเฮาเร็วเข้า!”

แต่เมื่อผ่านไปเพียงชั่วพริบตาก็เห็นฮองเฮาทรงควบม้ากลับมาเองแล้ว

นอกจากนี้ม้าตัวนั้นยังดูเชื่องเป็นอย่างมาก ไม่ได้วิ่งชนไปทั่วอย่างบ้าคลั่งอีกต่อไป...

หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนดึงบังเหียนให้ม้าหยุดก็พลิกร่างลงจากม้า

เหลียนซวงรีบวิ่งขึ้นหน้าไปหา

“ฮองเฮา! ทรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ!”

เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้าแล้วมองไปยังไทเฮา “เสด็จแม่อย่าได้กลัวไป มันสงบลงแล้วเพคะ”

ยามนี้เองไทเฮาทรงทอดพระเนตรไปยังฮองเฮาอีกครั้ง สายตาล้วนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและชื่นชอบ

“ฮองเฮา ทักษะการขี่ม้าของเจ้าเรียนจากอาจารย์ท่านใดหรือ? ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย”

เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ยินดียินร้ายไม่

“สมัยหม่อมฉันยังเยาว์วัย เคยแอบเรียนรู้ทักษะการขี่ม้าแบบผิวเผินกับท่านน้าโดยไม่ให้ท่านพ่อทราบเพคะ สามารถช่วยเสด็จแม่เอาไว้ได้ ถือว่าได้ใช้ทักษะนี้อย่างถูกต้องแล้วเพคะ”

เวลานี้เองผู้ดูแลสนามม้าหลวงก็ตามมาถึง

เหลือบเห็นฮองเฮาควบคุมม้าที่ดุร้ายเอาไว้ได้ก็ตกตะลึงและทึ่งในตัวฮองเฮาเป็นอย่างมาก

“ฮองเฮาอาจจะไม่ทรงทราบ นี่คือม้าดุร้ายจากดินแดนตะวันตก ในบรรดาม้าที่ส่งมานั้นจู่ ๆ ม้าตัวนี้ก็คลั่งขึ้นมา พวกข้าน้อยร่วมมือกันก็ยังควบคุมมันเอาไว้ไม่อยู่...”

เฟิ่งจิ่วเหยียนนำบังเหียนม้ามอบให้ผู้ดูแล แล้วพูดกำชับอย่างจริงจังว่า

“แม่ม้าตัวนี้ตั้งท้องแล้ว เดิมก็คุ้มคลั่งได้ง่าย ทั้งยังเดินทางจากดินแดนตะวันตกมายังแคว้นหนานฉี ไม่คุ้นกับดินน้ำที่นี่ ย่อมส่งผลต่ออารมณ์ กลับไปแล้วก็อย่าได้ทุบตีด่าว่า เอาหญ้าอู่กุ้ยให้มันเยอะหน่อย ให้มันอยู่ในคอกเดี่ยว ไม่เกินสามวันห้าวันย่อมดีขึ้น ”

ผู้ดูแลเห็นนางเข้าใจเรื่องม้ามากเพียงนี้ก็ยิ่งประหลาดใจ

เฟิ่งจิ่วเหยียนลูบม้าตัวนั้นไปมา พูดพึมพำเสียงเบา

“เป็นม้าที่ดีตัวหนึ่ง น่าเสียดายนัก”

เดิมควรได้ควบทะยานโลดแล่นในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล กลับต้องถูกขังอยู่ในสนามม้าหลวงที่คับแคบของพระราชวังแห่งแคว้นหนานฉี

ขณะเดียวกันนี้เอง ในสถานที่ที่ไม่ไกลจากกันนัก

บนหอชมวิว

บุรุษในชุดขาวยืนอยู่ที่นั่น มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ด้านล่าง เขาแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงมีทักษะเช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ด้านหลังของบุรุษส่งเสียงน่าเกรงขามที่ติดจะดูเกียจคร้านออกมาสายหนึ่ง

“ทักษะเล็กน้อยเช่นนี้ก็เข้าตาเจ้าได้หรือ”

“เจ้าม้าตัวนั้นทำให้ไทเฮาตกพระทัย ฆ่ามันซะ อีกอย่างนึง ให้ฮองเฮาเป็นผู้ดูแลการประหารมันด้วยตัวเอง”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (6)
goodnovel comment avatar
Joom
The king is furious.
goodnovel comment avatar
Sawarost Sontijai
ขอพิมพ์หยาบหน่อยนะคะ ฮ่องเต้ผู้นี้เปรตยิ่งนัก
goodnovel comment avatar
Nout Klkl
แย่มาก ทำไมต้องฆ่ามัน
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1737

    ไม่รู้จริง ๆ ว่าเสด็จแม่ทรงคิดเช่นไรวันที่ออกเดินทาง ข้าไปรับพี่จี๋เอ๋อร์ที่จวนรุ่ยอ๋อง ก็เห็นท่านอารุ่ยอ๋องดวงตาแดงก่ำ กำชับพี่จี๋เอ๋อร์ดูแลตัวเองให้ดีส่วนท่านอาสะใภ้อาอวี้กลับจับมือของข้า ให้ข้าพาพี่จี๋เอ๋อร์ไปเที่ยวให้สนุก ให้เขาเที่ยวไปนาน ๆข้าสงสัยอย่างมากพอออกจากจวนรุ่ยอ๋อง ข้าก็ถามพี่จี๋เอ๋อร์“ท่านมีน้องชายแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องการท่านแล้วหรือ?”บนใบหน้าหล่อเหลาของพี่จี๋เอ๋อร์ปรากฏความกลัดกลุ้ม“ไม่ใช่ พวกท่านพ่ออยากได้บุตรสาว”“หา? เพราะเหตุใด?”“เพื่อจะได้แต่งกับเสด็จพี่ของเจ้า ครอบครัวพวกเราจะต้องมีคนแต่งกับเสด็จพี่ของเจ้า นี่คือความมุ่งมั่นของท่านแม่”ข้าพูดโพล่งออกมา: “ท่านก็แต่งให้เสด็จพี่ของข้าได้แล้วนี่!”พี่จี๋เอ๋อร์ตกใจจนไอไม่หยุด เกือบจะตกจากหลังม้าข้าแสดงสีหน้าภูมิใจทันที“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ท่านพ่อของท่านชอบเสด็จพ่อของข้า หากไม่ได้พบกับท่านอาสะใภ้อาอวี้ ท่านพ่อของท่านก็คงเป็นสนมของเสด็จพ่อข้าไปแล้ว“ท่านดำเนินรอยตามท่านพ่อของท่านได้นี่!”ใบหน้าของพี่จี๋เอ๋อร์ซีดขาวไปหมด“องค์หญิง ท่านไม่ควรพูดเช่นนี้”ตอนที่พวกเราจะออกจากประตูเมือง พี่สามก็ตามม

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1736

    ข้าคือเซียวจื่อเหิงที่เกือบจะถูกพี่สามแย่งชื่อไป เป็นองค์หญิงน้อยที่เสด็จพ่อตั้งตารอคอยมานานหลังจากที่ข้าเกิดมา ก็ได้รับความโปรดปรานอย่างมากเสด็จพ่อยังทรงโปรดให้สร้างตำหนักมุกหลังหนึ่งสำหรับข้าโดยเฉพาะภายในตำหนักมีไข่มุกและสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ นานา ซึ่งสื่อความหมายว่าข้าคือไข่มุกล้ำค่าในมือของเสด็จพ่อแม้ว่าเสด็จพ่อจะดีกับข้าที่สุดในใต้หล้า แต่คนที่ข้ารักที่สุดกลับเป็นเสด็จแม่ตอนที่เสด็จแม่ทรงอุ้มท้องข้า ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากหมอหลวงพากันเกลี้ยกล่อมให้นางละทิ้งข้า แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่ต้องการข้า แต่เป็นเสด็จแม่ที่ยืนกรานจะให้กำเนิดข้าดังนั้นหากเสด็จแม่ทรงบอกให้ทำสิ่งใด ข้าจะไม่ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามเด็ดขาดข้าอาจทำให้ผู้อื่นเสียใจหรือโมโหได้ แต่มีเพียงเสด็จแม่ที่ไม่สามารถทำร้ายจิตใจได้พอเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ ทรงเสียพระทัยในทันทีแน่นอนว่า ข้าก็รักเสด็จพ่ออย่างมากเช่นกันเพียงแต่ เสด็จพ่อมักจะคิดว่าตนเองทำสิ่งดี ๆ ให้ข้าเสมอ แต่ของบางอย่าง ก็หาใช่ว่าข้าจะพึงพอใจอย่างเช่นตำหนักมุกนั่นกลับเป็นพี่สามที่ชื่นชอบ และมักจะมาหาข้าที่นี่เพื่อ “ยืม” เครื่องประดับอยู่เสมอพูดถึง

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1735

    ข้าคือเซียวจื่อซูข้าต่างหากคือลูกที่เชื่อฟังที่สุดพี่ใหญ่เป็นรัชทายาท ดีไปหมดทุกอย่าง แต่ไม่ยอมอยู่ใต้การควบคุมพี่รองมีนิสัยรักอิสระ ชอบฝึกวรยุทธ์ แต่ยังควบคุมยากกว่าพี่ใหญ่เสียอีกมีแต่ข้าเท่านั้น ที่ทำตัวว่านอนสอนง่ายอยู่ข้างกายเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ไม่มีทางสร้างปัญหาให้พวกเขาข้าชอบสิ่งสวย ๆ งาม ๆนี่คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรกระมังเสด็จพ่อไม่เข้าใจข้าแม้แต่น้อย ถึงได้ตั้งชื่อที่น่าเกลียดเช่นนั้นให้ข้าหากจริงอย่างที่เขาพูดว่า ชื่อเซียวอู๋หมิงนี้ดีมาก แล้วตอนนั้นที่ข้าเสนอจะเปลี่ยนชื่อกับน้องหญิง เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้คัดค้านอย่างเต็มที่ด้วยเล่า?ดูเถอะ ชื่อเซียวจื่อเหิงยังไพเราะกว่าเซียวอู๋หมิงตามที่คิดไว้จริง ๆ!ภายใต้การหว่านล้อมทุกวิถีทางของข้า ในที่สุดข้าก็มีชื่อที่ไพเราะข้าชอบวาดภาพ อาจารย์ตงฟางซื่อของข้ายอดเยี่ยม เขาสอนข้าหลายอย่างข้าขยันและตั้งใจเรียน เสด็จพ่อและเสด็จแม่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ชอบข้าพี่รองก็เพราะอิจฉาข้า จึงมักจะรังแกข้าอยู่เสมอวันนั้นเขามาที่ห้องนอนของข้า “นี่! เซียวอู๋หมิง! ข้าวของที่นี่ของเจ้าล้วนน่าเกลียด!”ระหว่างที่พูด มือของเขาก็ยังสัมผัสไป

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1734

    ข้าคือเซียวจื่อลี่ บุตรคนรองของเสด็จพ่อและเสด็จแม่แต่ข้ารู้สึกมาตลอดว่า ข้ากับพี่ชายหน้าตาเหมือนกัน ตอนที่เกิดมา หมอตำแยต้องผิดพลาดเป็นแน่ ข้าต่างหากคือคนที่เกิดก่อนก็ใครใช้ให้ข้าใจกว้างกันเล่าน้องชายก็น้องชายหลังจากเสด็จแม่ทรงคลอดน้องสาม ข้าก็มิใช่ว่าได้เป็นพี่ชายแล้วหรอกหรือจะเห็นได้ว่า การเป็นพี่ชายหรือน้องชาย ก็เป็นเพียงการเทียบเคียงเท่านั้นตั้งแต่เล็กข้าก็รู้ว่าจะเอาใจเสด็จพ่ออย่างไร อย่ามองว่าเสด็จพ่อทรงดุร้ายน่ากลัว แท้จริงแล้วกลับพระทัยอ่อนเสด็จแม่ต่างหากที่ทรงเข้มงวดแท้จริงไม่ว่าจะกับข้า หรือกับพี่ชายกระทั่งแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังถูกเสด็จแม่บังคับให้ตื่นเช้ามาฝึกวรยุทธ์ทุกวันต่อมาข้าถูกส่งไปที่สถาบันทางการทหารอยู่ที่นั่น ข้าได้รู้จักสหายดี ๆ มากมายลูกหลานของขุนนางในราชสำนักจำนวนไม่น้อย ก็ถูกส่งไปที่สถาบันทางการทหารเช่นกันมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น อย่างเช่นบุตรคนโตของภรรยาเอกที่ถูกคาดหวังไว้สูง เหมือนกับพี่ชายข้า ก็จะถูกส่งไปที่ห้องเรียน เพื่อเป็นสหายร่วมเรียนของรัชทายาทหากเทียบกันแล้ว ข้าชอบสถาบันทางการทหารมากกว่าพวกเราสามารถเกลือกกลิ้งไปมา ทำให้เสื้อผ้

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1733

    ข้าคือเซียวจื่อหลิ่น บุตรคนแรกของเสด็จพ่อและเสด็จแม่แน่นอนว่า ข้ากับน้องชายคนที่สองเซียวจื่อลี่ แค่เกิดห่างกันไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงพูดเสมอว่า นิสัยของพวกเราฝาแฝดนั้นแตกต่างกันอย่างมากข้าทำสิ่งต่าง ๆ อย่างจริงจัง ชอบไปห้องเรียน ชอบอ่านหนังสือ เสด็จพ่อยังทรงชอบพาข้าไปห้องทรงพระอักษรด้วยส่วนน้องชายคนที่สองชอบเล่นสนุก บางครั้งก็ขาดความสำรวมไปห้องเรียน? นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยทุกครั้งที่ให้เขานั่งฟังบรรยายที่นั่น ก็ราวกับว่ากำลังลงโทษเขาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนข้า เสด็จพ่อจึงปรึกษากับเสด็จแม่ว่า จะส่งน้องรองไปฝึกวรยุทธ์ด้วยเหตุนี้ พวกเขาสองคนยังพาน้องรองไปหาอาจารย์ปู่ที่ภูเขาหวูหยาโดยเฉพาะภูเขาหวูหยาอยู่ไกลเกินไป เสด็จแม่จึงคิดหาวิธีเจอกันครึ่งทาง โดยให้เหล่าอาจารย์ลุงและอาจารย์อาของภูเขาหวูหยาลงจากเขา มายังเมืองหลวง เพื่อรับหน้าที่สอนในสถาบันทางการทหารดังนั้น น้องรองจึงใช้ชีวิตโดยที่ทุกวันจะออกจากวังไปฝึกวรยุทธ์ในตอนเช้า และถูกส่งกลับเข้าวังในตอนเย็นหากเทียบกับไปห้องเรียน สถาบันทางการทหารมีคนเยอะกว่า และครึกครื้นกว่าเสด็จพ่อทรงกังวลว่าข้าจะมุ่งแต่ศึ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1732

    นี่แตกต่างจากสิ่งที่ข้าเคยได้รับมาก่อนหน้านี้อย่างมาก!ข้าตัดสินใจแล้ว กลางดึกจะเลื้อยขึ้นเตียงของเขา ข้าจะทำให้เขาตกใจ!พอถึงกลางคืนข้าเลื้อยอย่างคืบคลานออกมาจากห้องเล็ก ๆ นั่นเดิมทีตั้งใจจะไปหาหลิวหวา ทว่า เลื้อยไปเลื้อยมา ข้าก็กลับมาถึงจวนอ๋องแล้วข้าตามกลิ่นของเจ้านายน้อยจี๋เอ๋อร์ จนมาถึงนอกประตูห้องข้าอยากเข้าไปดูเขาสักหน่อย กลับได้ยินภายในมีเสียงคุยกัน“อาอวี้ เจ้านำงูตัวโปรดไปทิ้งให้หลิวหวาจริงหรือ? เขาเป็นคนไม่ละเอียดรอบคอบ กลัวว่าจะดูแลไม่ดี...”“นั่นก็ไม่มีทางเลือก จี๋เอ๋อร์ขี้กลัว อีกอย่าง นี่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น”“ไม่สู้ลองนำมันมาแต่งตัวดู? หากมันหน้าตาไม่น่าเกลียดนัก ก็คงไม่ทำให้จี๋เอ๋อร์ตกใจ”ข้าอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจนหากเทียบกับบอกว่าข้าน่ากลัวจนทำให้คนตกใจ ข้ายิ่งรับไม่ได้มากกว่าที่บอกว่าข้าน่าเกลียด!!!รุ่ยอ๋องที่อยู่ด้านในยังคงเสนอแนะ“อย่างเช่น ให้มันสวมเสื้อผ้า หรือทำเขามังกรให้มัน ถอนเขี้ยวมันออก... อืม ลิ้นก็ต้องดึงออกด้วย”ข้าถึงกับสั่นไปทั้งตัวอย่าพูดว่า “อย่างเช่น” อีกเลย! รุ่ยอ๋องช่างไม่ใช่คนจริง ๆ!นี่จะต่างอะไรกับการทรมาน?!ยังโชค

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status