Home / รักโบราณ / แม่หมอแห่งซูโจว / 12. ต้องทำอย่างไร

Share

12. ต้องทำอย่างไร

last update Huling Na-update: 2025-06-24 23:09:08

“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้

“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน

“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”

“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้

“ขอบพระคุณขอยับ”

“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม

“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือนสกุลเหมา เด็กน้อยก็ทานอาหารได้มากขึ้น ทั้งยังหิวบ่อย จนบัดนี้ร่างผอมบางเริ่มดูมีน้ำมีนวลขึ้น แก้มขาวกลมโตขึ้นมาก จนผู้เป็นพี่สาวอดไม่ได้ที่จะกดจุมพิตลงไปบนแก้มเนียนทั้งสอง

“อย่ากินให้มากนักเล่า ประเดี๋ยวจะมิหิวข้าว” เหมาไป่เอ่ยเตือนเด็กชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอยับ หากพี่มี่เอ๋อร์ช่วยคนได้มากคงจะดี น้องจะได้กินขนมอีก คิกๆ” คำพูดเรื่อยเปื่อยของเด็กชายทำให้หญิงชราและเด็กสาวหันมองหน้ากัน โดยมิได้นัดหมาย

“นั่นสิเจ้าคะ หากว่าข้ารู้นิมิตกาลข้างหน้าเช่นนี้ ก็สามารถนำไปช่วยคนได้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เงินจากพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นเต็มใบหน้า เหมาไป่เมื่อลองคิดตามสิ่งที่หลานว่าก็พยักหน้าเห็นด้วย หากว่าลี่มี่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ เช่นเดียวกับที่ช่วยกวนอู๋ท่งคงจะดีไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเงินทอง หญิงชรากลับต้องนิ่งคิดชั่วขณะ

“แล้วคนอื่น เขาจะมิกล่าวว่าเราหลอกลวงชาวบ้านหรือ”

“หากเราช่วยพวกเขาได้ ก็มิถือเป็นเรื่องหลอกลวงนะเจ้าคะ อย่างพี่อู๋ท่ง หากว่าเขามิได้ทำตามที่ข้าบอก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกพิษงู จนถึงแก่ชีวิตได้ ใช้เงินเพียงเล็กน้อยแลกกับชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่านะเจ้าคะ” ลี่มี่คิดตามหลักเหตุและผล ความสามารถที่นางมีบัดนี้ สามารถนำไปช่วยเหลือผู้คนได้ แต่ทว่าจะให้นางทำโดยมิหวังผลตอบแทน แล้วนางกับครอบครัวจะกินอยู่กันอย่างไร ในเมื่อนางใช้ความสามารถแลกกับเงินทอง เช่นนี้จะว่านางหลอกลวงมิได้

“ก็จริงดังที่เจ้าว่า แต่เรื่องภาพนิมิตที่เจ้าเห็น ยังไม่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไรให้รับรู้ได้  เรื่องนี้เราคงต้องดูกันไปเรื่อยๆ ก่อน”

“เจ้าค่ะ แต่ที่แน่ชัดคือ การไปที่สระมรกตแห่งนั้น ทำให้ข้าเห็นภาพนิมิตในกาลข้างหน้าได้ ข้าคิดว่าจะต้องเป็นเพราะดอกบัวและสระมรกตนั้นเป็นแน่”

“อืม ยายเองก็คิดเช่นนั้น”

“น้องเองก็คิดเช่นนั้นขอยับ”

“ฮ่าๆ รู้เรื่องกับเขาด้วยหรือ หืม หืม” ลี่มี่มันเขี้ยวน้องชายจนต้องลงโทษ โดยการแย่งกัดขนมในมือน้องชายกิน เรือนสกุลเหมาจึงเริ่มเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น

“ระวังตัวด้วยนะมี่เอ๋อร์ ดูแลน้องให้ดีเล่า”

“เจ้าค่ะท่านยาย” วันนี้ลี่มี่ตั้งใจจะไปซื้ออาภรณ์มาใส่ในช่วงฤดูหนาว ทั้งยังจะออกไปทดลองว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิต หากว่านางจะทำเป็นอาชีพ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดภาพนิมิตนั้นมีอันใดบ้าง

“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ทำให้ข้ามีนิมิต ขอช่วยให้ข้ารับรู้ทีเถิดว่าทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิตเหล่านั้น” ลี่มี่หลับตาตั้งจิตภาวนาอยู่หน้าเรือน สองมือประสานกันไว้กลางอก จิตใจตั้งมั่นจนน้องชายที่มองอยู่ถึงกลับต้องรีบทำตาม หากมีผู้ใดมาพบเห็นภาพของสองพี่น้องยืนภาวนาอยู่หน้าเรือนจะต้องกลั้นขำมิได้เป็นแน่

“ไปกันเถิดอาหมิง วันนี้พี่จะพาเจ้าไปซื้อถังหูลู่ดีหรือไม่”

“ดีขอยับ น้องขอสามไม้” ลี่มี่มองน้องชายด้วยสายตาขบขัน มือบางจับจูงมือน้องชาย แต่ทันใดนั้น…

เฮือก!

“พี่มี่เอ๋อร์”

“คิๆ พี่เห็นเจ้าทำถังหูลู่ตกพื้น ฮ่าๆ”

“ห๊า!!! น้อง น้องจะถือดีๆ ถือแน่นๆ ขอยับ ไม่ตกแน่นอน”

ท่าทางระมัดระวังของน้องชายทำให้ลี่มี่หัวเราะออกมาเสียงดัง มือเล็กกำก้านไม้ถังหูลู่แน่น สองขาค่อยๆ ก้าวเดิน เพราะกลัวว่าขนมของตนเองจะตก แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะได้เดินออกห่างร้านถังหูลู่ กลับมีเด็กชายร่างสมส่วนวัยประมาณ 5 หนาว วิ่งมาชนลี่หมิงจนถังหูลู่ที่อยู่ในมือน้อยตกเกลื่อนเต็มพื้น

ลี่หมิงมองไปที่ถังหูลู่บนพื้นดินอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตาสั่นระริก น้ำสีใสเริ่มไหลมาคลอที่หน่วยตา มิเพียงเท่านั้นปากแดงยังเริ่มเบะคว่ำอย่างน่าสงสาร

“เดินไม่ดูทาง ชนข้าแล้วเห็นหรือไม่” เด็กชายร่างสมส่วนเอ่ยขึ้นราวกับว่าเป็นลี่หมิงที่กระทำผิด

“เจ้าเด็กน้อยผู้นี้! เป็นเจ้าที่มาชนน้องชายข้าจนขนมของเขาตก ยังมิเอ่ยปากขออภัยอีก” ลี่มี่เอ่ยตักเตือนเด็กชายตรงหน้า ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายแล้ว คงจะเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ มิแปลกที่จะหยิ่งผยองเช่นนี้

“นี่เจ้า! มิรู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด” เด็กชายยกมือขึ้นเท้าสะเอวด้วยสีหน้ามิพอใจ

“มิรู้ แล้วก็มิอยากรู้ด้วย” ลี่มี่เองก็มิคิดจะยอมยกมือเท้าสะเอว เลียนแบบเด็กตรงหน้า

“ข้าจะบอกทหารมาลากเจ้าออกจากตลาด คอยดู”

“ฮ่าๆ เจ้าเป็นเจ้าเมืองหรือไร”

“ก็ข้า-”

“ฮึก ฮื่อ ฮื่อ” เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ของลี่หมิง ทำให้เด็กชายตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าประดักประเดิดของคุณชายน้อยตรงหน้าทำให้ลี่มี่ขำออกมาเบาๆ

คงจะรู้สึกผิดอยู่สินะ เอาเลยอาหมิงร้องต่อไปอย่าพึ่งหยุด

“งะ เงียบนะ”

“ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อออออ” นอกจะไม่เงียบแล้ว ลี่หมิงยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม

“เงียบเสีย ข้าจะซื้อให้ใหม่”

“ฮื่อ~”

“ขะ ข้าซื้อให้ใหม่สี่ไม้…”

“ฮึก”

“ห้าไม้เลยก็ได้ ห้าไม้!”

“จริงหยือ” ลี่หมิงปาดน้ำตา เมื่อได้ยินว่าจะได้ถังหูลู่อันใหม่ถึงห้าไม้ ตากลมมองไปยังคนใจดีที่จะซื้อถังหูลู่ให้อย่างคาดหวัง

เมื่อเห็นว่าเด็กแก้มอ้วนตรงหน้า หยุดร้องไห้แล้ว คุณชายน้อยจึงเดินไปซื้อถังหูลู่มาห้าไม้ตามที่ได้สัญญาเอาไว้

“เอานี่”

“ขอบพระคุณขอยับ คุณชาย…”

โจวหวังเยี่ยน นามข้า” ยังไม่ทันที่ลี่มี่และลี่หมิงจะเอ่ยสิ่งใดต่อ โจวหวังเยี่ยนที่เห็นว่าพี่เลี้ยงของตนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ก็รีบวิ่งหนีไปทันที

“คุณชายเจ้าคะ คุณชาย! รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” ลี่มี่เห็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้วิ่งตามคุณชายน้อยไปก็ส่ายหัวไปมา

“เห้อ ผู้มีเงินทองเขาเป็นเช่นนี้กันหรอกหรือ ไปกันเถิดอาหมิง” ลี่มี่พาน้องชายเข้าร้านขายอาภรณ์ แต่ด้วยนางมิได้มีเงินทองมากนัก จึงเลือกเสื้อผ้าที่คุณภาพต่ำและเป็นแบบสำเร็จรูป สำหรับใส่ในช่วงฤดูหนาวคนละหนึ่งชุด หมดเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน แต่จะมิซื้อก็มิได้ เพราะอาภรณ์ของพวกเขาชำรุดมากแล้ว ทั้งยังมิอุ่นพอจะใส่ในฤดูหนาว ทำให้บัดนี้ลี่มี่เหลือเงินเพียงสี่ตำลึงเงินกับอีกสองร้อยอีแปะ

“นี่เงินเจ้าคะ” ลี่มี่ยื่นเงินให้หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้าน แต่จังหวะที่มือของลี่มี่สัมผัสกับฝ่ามือของหญิงคนนั้น ภาพต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาหัวอย่างรวดเร็ว

เฮือก!

“เอ่อ…ท่านระมัดระวังการขึ้นลงบันไดไว้เสียหน่อยนะเจ้าคะ บันไดที่บ้านท่านดูเหมือนว่าจะมีขั้นที่มันผุอยู่” เอ่ยเพียงเท่านั้นลี่มี่ก็พาน้องชายออกจากร้านทันที

เด็กสาวเดินไปคุ้นคิดไป เมื่อครู่นางเห็นภาพนิมิต ยามที่สัมผัสมือของแม่ค้าร้านขายอาภรณ์

หรือว่านิมิตนี้จะเกิดจากการสัมผัสที่มือ

คราแรกที่นางเห็นภาพนิมิตของอาหมิงก็เป็นตอนที่นางก้มลงจุมพิตมือน้อยของน้องชาย ของท่านยายก็เช่นกัน เกิดขึ้นตอนที่นางกุมมือท่านยาย แต่ของพี่อู๋ท่งเล่า ตอนนั้นท่านพี่อู๋ท่งเพียงช่วยพยุงนางเท่านั้น มิได้สัมผัสมือกันสักนิด

จริงสิ! หรือว่าจะเป็นเพราะการสัมผัสร่างกาย

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • แม่หมอแห่งซูโจว   12. ต้องทำอย่างไร

    “ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้“ขอบพระคุณขอยับ”“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   11. นิมิต (2)

    “ให้ยายดูสิ” เหมาไป่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลายสาวก็พบว่าเป็นดั่งที่หลานชายตัวน้อยเอ่ย มิเพียงเท่านั้นหน้าผากมนของหลานสาวยังมีรอยคล้ายปานรูปดอกบัวติดอยู่ปาน…ปานสีเงินอย่างนั้นหรือ!!?“…” ลี่มี่ที่ยังวิตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมิได้สบตาผู้ใด ปล่อยให้เหมาไป่และลี่หมิงมองสำรวจจนทั่ว“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าเล่าให้ยายกับน้องฟังเถิด” เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากหลานสาวทำให้เหมาไป่แทบมิอยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง“ท่านยาย…” สายตาที่ล่องลอยของลี่มี่ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบหลานนอกไส้“ดีเหลือเกินที่เจ้ามิบาดเจ็บที่ใด คราวหลังอย่าได้เข้าไปในป่าลึกเช่นนั้นอีกเล่า เข้าใจหรือไม่”“เจ้าค่ะ”“โอ๋ๆ นะขอยับ” มือเล็กป้อมยกขึ้นลูบใบหน้าพี่สาวเบาๆ ลี่มี่อดเอ็นดูกับท่าทีของน้องชายมิได้ จึงกอบกุมเอามือเล็กมาจุมพิต พร้อมกับสบสายตาเข้ากับดวงตาน้อยๆ ทั้งสองที่จดจ้องมาที่นัยน์ตาของนางด้วยแววตาที่หลงใหลและทันใดนั้น…“วันนี้เจ้ากินกุ้งแม่น้ำย่างอย่างนั้นหรือ”“เอ๋? มิได้กินขอยับ น้องกินผัดผัก”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายายย่างกุ้งให้พวกเจ้ากินในมื้อเย็น หรือว่ากลิ่นมันติดกายยายมาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ”“มิ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   10. นิมิต (1)

    ดอกบัวสีขาวเพียงดอกเดียวเบ่งบานกลางสระน้ำ ทั้งที่บริเวณโดยรอบมิได้มีสิ่งใดอยู่เลย สองขาเรียวก้าวเข้าไปยืนที่ขอบสระ ยื่นคอดูภายในสระจนทั่ว เพื่อสำรวจหาปลาหากว่าได้ปลากลับไปให้ท่านยายและอาหมิงคงจะดีไม่น้อยเพียงแค่คิดเช่นนั้น ก็มีฝูงปลาหลายสิบตัวแหวกว่ายในสระสีมรกต! ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลี่มี่มองไม่เห็นปลาแม้แต่ตัวเดียว ฝูงปลามากมายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กสาวตกใจจนพลาดพลั้งเหยียบไปบนโขดหิน ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ“ว๊าย!” ร่างบางซวนเซ ร่วงลงในสระน้ำจนเปียกปอนไปหมดทั้งตัวตุ้ม!!!“ฮื่อ ลี่มี่นะลี่มี่ มิระวังเอาเสียเลย” ปากเล็กบ่นให้กับความมิระมัดระวังของตนเอง ยังดีที่ของในตะกร้าสานนั้นเปียกน้ำได้ มิเสียหาย มิเช่นนั้นนางคงต้องทุบศีรษะตนเองสักทีสองทีลี่มี่นำตะกร้าออกจากหลังและยกไปไว้ริมสระน้ำ แต่ยังไม่ทันที่นางจะขึ้นจากสระ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรนางก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว ขอไปดูดอกบัวกลางสระให้หายแคลงใจเสียหน่อย ด้วยสงสัยว่าเหตุใดจึงมีดอกบัวเพียงดอกเดียวที่ขึ้นกลางน้ำ ทั้งยังมิเห็นกอบัวเลยสักกอเดียวร่างระหงที่แต่งกายและรวบผมราวกับชายหนุ่ม กำลังแหวกว่ายไปบริเวณกลางสระ ชะโงกหน้าเข้าไป

  • แม่หมอแห่งซูโจว   9. เด็กอกตัญญู (3)

    “แล้วข้าต้องแสดงออกเช่นนางหรือเจ้าคะ”“มิต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ยายอยากให้เจ้ารู้ว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง เวลาใดควรแสร้ง เวลาใดควรซื่อตรง หากเจอผู้ที่จริงใจ เราย่อมต้องจริงใจต่อเขา แต่หากว่าเขาไม่ เราก็ไม่ เท่านั้นเอง” เหมาไป่พบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ วิธีรับมือคือตัวเราเองต้องปรับตัวให้ทัน อย่างเจียวมี่มารดาของลี่มี่ นางเป็นคนแข็ง พูดตรง ผู้คนจึงมักมองว่านางปากร้าย มิน่าคบ ต่างกับชุนเจียงที่ทั้งพูดจาไพเราะ อ่อนโยน“ข้าจะพยายามเจ้าค่ะท่านยาย”“หลานยายต้องทำได้แน่ สำคัญอย่าได้ละเลยตัวตนของตนเองเล่า อีกอย่าง ยายรู้ว่าการสูญเสียนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยามนี้เจ้าคงอยากเข้มแข็งเป็นที่พึ่งของยายและน้อง แต่ยายยังอยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่สดใส ช่างพูดช่างถาม อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง”“เอ่อ…ท่านยายมิได้ว่าข้าพูดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปากเล็กเบะยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู“ฮ่าๆ มิได้ว่า” ท่าทีเช่นนี้แหละที่เหมาไป่อยากเห็นเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ข่าวลือของลี่มี่ก็เบาบางลง ยังมีบางคนที่มองมาทางนางด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือน

  • แม่หมอแห่งซูโจว   8. เด็กอกตัญญู (2)

    “ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ท่านเอ่ยมานั้น หมายถึงข้าใช่หรือไม่” ลี่มี่หน้าตึง เดินตรงไปหากลุ่มคนที่นินทานางอยู่ ลี่มี่ตั้งใจจะไปเอ่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้สตรีเหล่านั้นได้ฟัง แล้วให้พวกนางพิจารณากันเอง แต่หญิงเหล่านั้นกลับเอ่ยวาจาก่อกวน“ข้าได้เอ่ยนามเจ้าหรือ” สีหน้ายียวนจากคนเหล่านั้น ทำให้ลี่มี่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับไป นางมิได้ขอข้าวผู้ใดกินอีกต่อไปแล้ว จากนี้นางมิจำเป็นต้องยอมอ่อนให้ผู้ใด ดีมาย่อมดีตอบ แต่หากว่ามาร้ายก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลย ว่าลี่มี่ผู้นี้จะมิอยู่เฉย“หึ! กล้านินทาผู้อื่น แต่มิกล้ารับผิด ทำตนเช่นคนขลาดเขลา หวาดกลัวกระทั่งเด็ก น่าสมเพชเสียจริง”“นี่เจ้ากล้าเอ่ยว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร!” กลุ่มสตรีที่ยืนพูดคุยกันอยู่ถึงกลับตกใจที่ตนเองถูกเด็กสาวว่ากล่าวต่อหน้าต่อตา“ข้าได้เอ่ยนามพวกท่านหรือ…เช่นนั้นจะร้อนรนไปไย” ลี่มี่เอ่ยถามตาใส เมื่อเห็นว่าสตรีเหล่านั้นตกใจ หน้าเสียจนหลงลืมแม้กระทั่งวิธีพูด ร่างบางจึงมิใส่ใจ เดินตรงไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้านทันที โดยที่มิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ยิ่งทำให้ข่าวลือความอกตัญญูของลี่มี่ถูกเล่าลือยิ่งขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะอกตัญญูทำร้ายคนในครอบครัวแ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   7. เด็กอกตัญญู (1)

    “เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง“ดีขอยับ ดีที่สุด”“รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่“เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง“ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป”“ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”“มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป”“แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status