แชร์

3. อดทนเอาไว้… (2)

ผู้เขียน: หมอนบนโซฟา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-22 10:26:30

ตั้งแต่บิดาและมารดาจากไปร่วมเดือน สองพี่น้องมิได้อยู่ในเรือนอย่างสงบสุขสักวัน ไม่เพียงแต่ทำงานหาเงิน แต่งานในบ้าน ลี่มี่และลี่หมิงก็เป็นผู้ที่ช่วยกันทำทั้งหมด เด็กน้อยวัยเพียงสี่หนาวมิเคยได้ออกไปเที่ยวเล่น ต้องมาทำงาน เช็ดถูพื้นเรือนทั้งเรือน ส่วนลี่มี่เองก็ต้องทำความสะอาด ตวงน้ำใส่ถัง ทั้งยังต้องเข้าครัวช่วยป้าสะใภ้ ทั้งที่งานบางอย่างเป็นหน้าที่ของซูเม่ยด้วยเช่นกัน แต่นางกลับมิยอมทำ ลี่มี่เคยนำเรื่องนี้ไปเอ่ยกับท่านย่าแล้ว แต่ท่านย่ากลับกล่าวว่านางและน้องชายถือเป็นผู้อาศัย สมควรที่จะตอบแทนบุตรสาวเจ้าของเรือน หลังจากนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ลี่มี่ที่มิอยากมีปัญหายุ่งยากใจ จึงได้แต่อดทนอดกลั้น ทั้งที่ภายในใจอยากจะตะโกนด่าทั้งหัวหงอกหัวดำ

“พี่มี่เอ๋อร์ นี่คือสิ่งใดหยือ”

“เรียกว่าเข็ม” มือก็ปักผ้าไป ปากบางก็เอื้อนเอ่ยตอบน้องชายไป

“ใช้ทำสิ่งใดหยือ”

“เข็มใช้เย็บปัก เช่นที่พี่ทำนี่อย่างไร งดงามใช่หรือไม่เล่า”

“โอ้! งดงาม งดงาม” น้องชายตัวน้อยยื่นหน้าเข้ามาดูลวดลายบนผ้าที่ลี่มี่กำลังปักอยู่

“อ่า~ มิขนาดนั้นหรอกๆ” ลี่มี่โบกมือปฏิเสธไปมา ทั้งที่สีหน้ามีความภูมิใจเต็มสิบส่วน หลังจากบิดามารดาตายจากไปนานถึงหนึ่งเดือน ลี่มี่และลี่หมิงก็เริ่มมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น แม้จะยังโศกเศร้า แต่ก็ค่อยๆ กลับมาสดใสเช่นเดิมแล้ว

สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้ไม่นาน เสียงแหลมของลูกพี่ลูกน้องอย่างซูเม่ยก็ดังขึ้น

“ลี่มี่ ข้าหิว! เจ้ามีสิ่งใดให้ข้ากินหรือไม่”

เอ่อ ที่ว่าสดใส ก็คงมีเพียงตอนที่อยู่กับน้องชายสองคนเท่านั้น

ลี่มี่จำใจทิ้งน้องชายให้นั่งเล่นในห้องและลุกขึ้นไปเข้าครัว ทำขนมง่ายๆ ให้ซูเม่ยทาน ซูเม่ยมักเรียกใช้นางเช่นนี้เสมอ คราแรกลี่มี่ก็ปฏิเสธ แต่ก็เป็นเช่นเดิม ท่านย่าใหญ่กล่าวว่านางและน้องชาย อาศัยข้าวปลาที่ท่านลุงหามา กินอยู่ประทังชีวิต จึงควรตอบแทนเสียบ้าง ลี่มี่จึงมิอาจโต้เถียงสิ่งใดได้ ยอมทำงานบ้านแทนซูเม่ย ยอมกระทำตนเยี่ยงบ่าวรับใช้ของลูกพี่ลูกน้อง

“อ่อ ท่านพ่อบอกให้ท่านแม่ไปดูตาข่ายดักปลาที่วางไว้ริมแม่น้ำ เจ้าช่วยไปดูแทนที” ซูเม่ยยืนกอดอกมองลี่มี่ที่กำลังทำขนมอย่างคล่องแคล่ว

“อืม ข้าจะไปดูให้” ลี่มี่เอ่ยตอบรับเพียงเท่านั้นก็หันมาสนใจขนมที่ทำต่อ ใบหน้าเรียบนิ่งมิรู้สึกรู้สาของลี่มี่ ทำให้ซูเม่ยที่ตั้งใจกลั่นแกล้งนั้น เสียอารมณ์มิน้อย เดิมทีนางคิดว่าลี่มี่คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกนางสั่งให้ทำนั่นทำนี่

“ทำสิ่งใดกันหรือ” เด็กสาวทั้งสองหันไปตามเสียงแหบของผู้เป็นย่า ลี่มี่มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงหันกลับมาทำขนมให้ซูเม่ยต่อ เพราะนางรู้อยู่แก่ใจว่าคำถามนั้น ท่านย่าคงจะเอ่ยถามซูเม่ยมากกว่า ด้านซูเม่ยเมื่อเห็นว่าย่าของตนเดินมา ก็เข้าไปออดอ้อนทันที

ลี่มี่อยากทานขนม นางจึงมาทำขนมทานเองเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์พยายามห้ามแล้ว เพราะเงินทองหายากนัก แต่…นางมิยอมฟังเจ้าค่ะ” ซูเม่ยตีหน้าเศร้าต่อหน้าย่าของตน ลี่มี่ที่ได้ยินดังนั้นถึงกับอ้าปากหวอ งุนงงกับสิ่งที่ซูเม่ยเอ่ยออกมา

มิใช่ว่านางอยากกินหรอกหรือ เอ่ยเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร

ช่วงนี้ชุนฉือเองก็เคร่งเครียดเรื่องเงินทอง ที่สูญเสียไปกับการจัดพิธีศพ และรายได้ที่ลดลงของครอบครัวจึงดุด่าลี่มี่ โดยมิคิดถามไถ่

“ลี่มี่! เจ้ามิรู้หรือว่าครอบครัวมีค่าใช้จ่ายมากมาย เหตุใดจึงนำเครื่องครัวมาทำขนมทานเล่นเช่นนี้ เพียงจะใช้ทำอาหารแต่ละมื้อก็มิพออยู่แล้ว”

“เป็นซูเม่ยที่สั่งข้า-”

“ยังจะนำซูเม่ยมาอ้างอีกหรือ ไปเลยนะ! ออกไปดูตาข่ายดักปลาเสีย วันๆ มิทำสิ่งใด ขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง” เสียงก่นด่าของชุนฉือ ทำให้ลี่มี่แทบอยากอาละวาดให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียง…

ใจเย็น อดทนไว้ อดทน…เอาไว้…

ร่างบางขบกรามข่มอารมณ์ของตน พลางลุกขึ้นเดินกระฟัดกระเฟียดกลับห้องนอนตนเอง เมื่อกลับมาถึง ลี่มี่ก็ตรงเข้าไปซุกหน้าเข้ากับหมอนใบใหญ่

กรี๊ดดดดดดด! อ๊ากกกกกก! ย้า!

เสียงกรีดร้องระบายอารมณ์โมโหของลี่มี่ มิได้ดังหลุดลอดออกไป มือบางทั้งสองทุบลงบนหมอนอย่างอัดอั้น เมื่อระบายอารมณ์จนพอใจก็ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ เตรียมจะออกไปดูตาข่ายดักปลาที่แม่น้ำท้ายหมู่บ้าน แต่…

“พี่มี่เอ๋อร์ คันจมูกหยือ น้องเห็นพี่เอาหน้าถูหมอนไปมา ยุงกัดใช่หยือไม่” ลี่หมิงนั่งมองพี่สาวตาแป๋ว เด็กน้อยคิดว่าพี่สาวคงจะคันจมูก เพราะยามที่เขาคันจมูก เขาก็ชอบเอาหน้าถูไถกับหมอนเช่นกัน

“เอ่อ แหะ ใช่ๆ พี่คันจมูก…ประเดี๋ยวพี่จะไปดูตาข่ายดักปลา อาหมิงของพี่ไปเล่นกับอาเป่าก่อนได้หรือไม่”

“พี่มี่เอ๋อร์ไปนานหยือ แล้วจะกลับมาหยือไม่”

“ไม่นาน เพียงสองเค่อ (30นาที) พี่ก็กลับมาแล้ว” มือบางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กของน้องชาย เด็กน้อยตรงหน้าคงกลัวว่า นางจะหายไปเช่นท่านพ่อกับท่านแม่

“ขอยับ น้องจะไปอยู่กับอาเป่าก่อน”

“เด็กดีๆ” ลี่มี่ยกยิ้ม มองตามหลังน้องชายที่ถือของเล่นออกจากห้องไปเล่นกับชุนเป่า เด็กน้อยวัยสามหนาวที่เป็นบุตรชายคนเล็กของท่านลุง

“ลี่มี่ชักช้าอันใดอยู่! วันนี้ข้าจะได้กินปลาหรือไม่” เสียงแหบตะโกนดังลอดเข้ามาในห้องนอนของลี่มี่

“เจ้าค่ะท่านย่า!…เฮ้อ!”

เอาเถิด อย่างน้อยก็ถือว่าอดทนเพื่ออาหมิง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • แม่หมอแห่งซูโจว   12. ต้องทำอย่างไร

    “ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้“ขอบพระคุณขอยับ”“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   11. นิมิต (2)

    “ให้ยายดูสิ” เหมาไป่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลายสาวก็พบว่าเป็นดั่งที่หลานชายตัวน้อยเอ่ย มิเพียงเท่านั้นหน้าผากมนของหลานสาวยังมีรอยคล้ายปานรูปดอกบัวติดอยู่ปาน…ปานสีเงินอย่างนั้นหรือ!!?“…” ลี่มี่ที่ยังวิตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมิได้สบตาผู้ใด ปล่อยให้เหมาไป่และลี่หมิงมองสำรวจจนทั่ว“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าเล่าให้ยายกับน้องฟังเถิด” เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากหลานสาวทำให้เหมาไป่แทบมิอยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง“ท่านยาย…” สายตาที่ล่องลอยของลี่มี่ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบหลานนอกไส้“ดีเหลือเกินที่เจ้ามิบาดเจ็บที่ใด คราวหลังอย่าได้เข้าไปในป่าลึกเช่นนั้นอีกเล่า เข้าใจหรือไม่”“เจ้าค่ะ”“โอ๋ๆ นะขอยับ” มือเล็กป้อมยกขึ้นลูบใบหน้าพี่สาวเบาๆ ลี่มี่อดเอ็นดูกับท่าทีของน้องชายมิได้ จึงกอบกุมเอามือเล็กมาจุมพิต พร้อมกับสบสายตาเข้ากับดวงตาน้อยๆ ทั้งสองที่จดจ้องมาที่นัยน์ตาของนางด้วยแววตาที่หลงใหลและทันใดนั้น…“วันนี้เจ้ากินกุ้งแม่น้ำย่างอย่างนั้นหรือ”“เอ๋? มิได้กินขอยับ น้องกินผัดผัก”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายายย่างกุ้งให้พวกเจ้ากินในมื้อเย็น หรือว่ากลิ่นมันติดกายยายมาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ”“มิ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   10. นิมิต (1)

    ดอกบัวสีขาวเพียงดอกเดียวเบ่งบานกลางสระน้ำ ทั้งที่บริเวณโดยรอบมิได้มีสิ่งใดอยู่เลย สองขาเรียวก้าวเข้าไปยืนที่ขอบสระ ยื่นคอดูภายในสระจนทั่ว เพื่อสำรวจหาปลาหากว่าได้ปลากลับไปให้ท่านยายและอาหมิงคงจะดีไม่น้อยเพียงแค่คิดเช่นนั้น ก็มีฝูงปลาหลายสิบตัวแหวกว่ายในสระสีมรกต! ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลี่มี่มองไม่เห็นปลาแม้แต่ตัวเดียว ฝูงปลามากมายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กสาวตกใจจนพลาดพลั้งเหยียบไปบนโขดหิน ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ“ว๊าย!” ร่างบางซวนเซ ร่วงลงในสระน้ำจนเปียกปอนไปหมดทั้งตัวตุ้ม!!!“ฮื่อ ลี่มี่นะลี่มี่ มิระวังเอาเสียเลย” ปากเล็กบ่นให้กับความมิระมัดระวังของตนเอง ยังดีที่ของในตะกร้าสานนั้นเปียกน้ำได้ มิเสียหาย มิเช่นนั้นนางคงต้องทุบศีรษะตนเองสักทีสองทีลี่มี่นำตะกร้าออกจากหลังและยกไปไว้ริมสระน้ำ แต่ยังไม่ทันที่นางจะขึ้นจากสระ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรนางก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว ขอไปดูดอกบัวกลางสระให้หายแคลงใจเสียหน่อย ด้วยสงสัยว่าเหตุใดจึงมีดอกบัวเพียงดอกเดียวที่ขึ้นกลางน้ำ ทั้งยังมิเห็นกอบัวเลยสักกอเดียวร่างระหงที่แต่งกายและรวบผมราวกับชายหนุ่ม กำลังแหวกว่ายไปบริเวณกลางสระ ชะโงกหน้าเข้าไป

  • แม่หมอแห่งซูโจว   9. เด็กอกตัญญู (3)

    “แล้วข้าต้องแสดงออกเช่นนางหรือเจ้าคะ”“มิต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ยายอยากให้เจ้ารู้ว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง เวลาใดควรแสร้ง เวลาใดควรซื่อตรง หากเจอผู้ที่จริงใจ เราย่อมต้องจริงใจต่อเขา แต่หากว่าเขาไม่ เราก็ไม่ เท่านั้นเอง” เหมาไป่พบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ วิธีรับมือคือตัวเราเองต้องปรับตัวให้ทัน อย่างเจียวมี่มารดาของลี่มี่ นางเป็นคนแข็ง พูดตรง ผู้คนจึงมักมองว่านางปากร้าย มิน่าคบ ต่างกับชุนเจียงที่ทั้งพูดจาไพเราะ อ่อนโยน“ข้าจะพยายามเจ้าค่ะท่านยาย”“หลานยายต้องทำได้แน่ สำคัญอย่าได้ละเลยตัวตนของตนเองเล่า อีกอย่าง ยายรู้ว่าการสูญเสียนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยามนี้เจ้าคงอยากเข้มแข็งเป็นที่พึ่งของยายและน้อง แต่ยายยังอยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่สดใส ช่างพูดช่างถาม อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง”“เอ่อ…ท่านยายมิได้ว่าข้าพูดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปากเล็กเบะยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู“ฮ่าๆ มิได้ว่า” ท่าทีเช่นนี้แหละที่เหมาไป่อยากเห็นเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ข่าวลือของลี่มี่ก็เบาบางลง ยังมีบางคนที่มองมาทางนางด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือน

  • แม่หมอแห่งซูโจว   8. เด็กอกตัญญู (2)

    “ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ท่านเอ่ยมานั้น หมายถึงข้าใช่หรือไม่” ลี่มี่หน้าตึง เดินตรงไปหากลุ่มคนที่นินทานางอยู่ ลี่มี่ตั้งใจจะไปเอ่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้สตรีเหล่านั้นได้ฟัง แล้วให้พวกนางพิจารณากันเอง แต่หญิงเหล่านั้นกลับเอ่ยวาจาก่อกวน“ข้าได้เอ่ยนามเจ้าหรือ” สีหน้ายียวนจากคนเหล่านั้น ทำให้ลี่มี่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับไป นางมิได้ขอข้าวผู้ใดกินอีกต่อไปแล้ว จากนี้นางมิจำเป็นต้องยอมอ่อนให้ผู้ใด ดีมาย่อมดีตอบ แต่หากว่ามาร้ายก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลย ว่าลี่มี่ผู้นี้จะมิอยู่เฉย“หึ! กล้านินทาผู้อื่น แต่มิกล้ารับผิด ทำตนเช่นคนขลาดเขลา หวาดกลัวกระทั่งเด็ก น่าสมเพชเสียจริง”“นี่เจ้ากล้าเอ่ยว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร!” กลุ่มสตรีที่ยืนพูดคุยกันอยู่ถึงกลับตกใจที่ตนเองถูกเด็กสาวว่ากล่าวต่อหน้าต่อตา“ข้าได้เอ่ยนามพวกท่านหรือ…เช่นนั้นจะร้อนรนไปไย” ลี่มี่เอ่ยถามตาใส เมื่อเห็นว่าสตรีเหล่านั้นตกใจ หน้าเสียจนหลงลืมแม้กระทั่งวิธีพูด ร่างบางจึงมิใส่ใจ เดินตรงไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้านทันที โดยที่มิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ยิ่งทำให้ข่าวลือความอกตัญญูของลี่มี่ถูกเล่าลือยิ่งขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะอกตัญญูทำร้ายคนในครอบครัวแ

  • แม่หมอแห่งซูโจว   7. เด็กอกตัญญู (1)

    “เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง“ดีขอยับ ดีที่สุด”“รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่“เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง“ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป”“ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”“มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป”“แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status