“เจ้าจะตามข้ามาด้วยเหตุใด” ลี่มี่หันกลับไปมองลูกพี่ลูกน้องอย่างซูเม่ย ที่สวมใส่อาภรณ์งดงาม ทั้งยังผัดหน้าเสียแดงก่ำ
วิปลาสไปแล้วหรือ…
“ก็…มาเก็บปลาเป็นเพื่อนเจ้าอย่างไรเล่า” เด็กสาวแก้มแดงลอยหน้าลอยตา เดินนำไปโดยมิสนใจสีหน้าอันงงงวยของลี่มี่แม้แต่น้อย
“แต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อมาเก็บปลา อืม…ดียิ่ง” ลี่มี่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา มือเล็กกระชับสายตะกร้าสะพายหลัง แล้วจึงเดินตามซูเม่ยไป
เมื่อเด็กสาวทั้งสองมาถึงริมตลิ่ง ลี่มี่ก็ไม่รอช้า เดินลงน้ำไปดูตาข่ายดักปลาที่ท่านลุงได้วางไว้ แต่ลูกพี่ลูกน้องที่เอ่ยว่าจะมาช่วย กลับมิยอมลงมาช่วยนางเก็บปลาสักตัวเดียว มือเล็กรีบนำปลาที่ติดในตาข่ายดักปลา ออกมาใส่กระชังปลาที่เตรียมไว้
แม่น้ำในแถบนี้มิได้ลึกมาก ทั้งน้ำมิไหลเชี่ยว จึงมีปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ อาศัยอยู่ ชาวบ้านในละแวกนี้ จึงมักจะมาวางตาข่ายดักปลาเอาไว้ เพื่อนำปลาไปปรุงอาหาร ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านอย่างสกุลกวน
“อ๊ะ ท่านพี่อู๋ท่งก็มาเก็บปลาหรือเจ้าคะ น้องเองก็มาเก็บปลาเช่นกัน” ซูเม่ยดึงยื้อกระชังปลาในมือลี่มี่มาถือไว้เอง ทั้งยังทำท่าทางบิดๆ เขินๆ จนเกินงาม
“ใช่ พี่เองก็มาเก็บปลา พวกเจ้าเก็บปลากันเสร็จแล้ว ก็รีบกลับเรือนเล่า ประเดี๋ยวฟ้าจะมืดเสียก่อน” รอยยิ้มอ่อนโยนของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้ซูเม่ยคิดเข้าข้างตนเองว่ากำลังถูกเกี้ยวอยู่ ดวงตาทั้งสองมองตามหลังชายหนุ่มไปจนลับตา ขณะเดียวกันในศีรษะเล็กก็คิดเพ้อฝัน ว่าตนและชายหนุ่มอยู่กินกันฉันสามีภรรยา
“อะแฮ่มๆ” ลี่มี่กระแอมไอเสียงดัง
“อะฮึ่ม…เอ้า! ชักช้าอยู่ไย เอากระชังไปเก็บปลาต่อเสียสิ”
“มิใช่ว่าเจ้าจะทำหรอกหรือ เห็นเอ่ยกับพี่อู๋ท่งไปเช่นนั้น”
“นี่! อย่าได้เอ่ยเรียกท่านพี่อู๋ท่งของข้าเช่นนั้นนะ รีบทำเข้า ข้าอยากกลับแล้ว!” ลี่มี่ถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของลูกพี่ลูกน้อง เมื่อก่อนตัวนางก็ใช่ว่าจะยอมให้ผู้ใดมาออกคำสั่ง จึงได้มีปากเสียงกับซูเม่ยอยู่หลายครา แต่ด้วยสถานะของตนในตอนนี้ คงทำได้เพียงอดทนและทำตามเท่านั้น
เด็กสาวรีบลงไปจับปลาในตาข่ายมาใส่กระชังจนหมด มือบางใช้เชือกมัดปากกระชัง ป้องกันมิให้ปลาดิ้นออก แล้วจึงนำกระชังปลาใส่ในตะกร้าสะพายหลัง ส่วนตาข่ายดักปลาก็วางไว้ที่เดิม
“ทำได้ดี เอาไว้ข้าจะเอ่ยชื่นชมเจ้าให้ท่านย่าได้ฟัง ทำงานแทนบิดามารดาได้เช่นนี้ ท่านย่าคงอยากจะเลี้ยงดูเจ้ากับน้องต่อ”
“…”
“น่าเสียดายที่บิดามารดาเจ้าตายไปเสียแล้ว หนาวนี้ท่านพ่อจึงลดเบี้ยหวัด ไม่ซื้ออาภรณ์ตัวใหม่ให้ข้า” ลี่มี่ได้ฟังซูเม่ยเอ่ยเช่นนั้น สีหน้าก็มืดครึ้มขึ้น สายตาเกรี้ยวโกรธถูกส่งไปให้คนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง
นางคิดเพียงว่าท่านพ่อท่านแม่ มีค่าเพียงเท่านั้นเองหรือ…
“หึ…เช่นนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าได้อาภรณ์ตัวใหม่ดีหรือไม่”
“เจ้า…ทำได้หรือ” ซูเม่ยมองมาที่ลี่มี่อย่างใคร่รู้
“ได้สิ ข้าทำให้เจ้าดู ดีหรือไม่”
“ดี! ทำเช่นไรหรือ”
“ก็ทำเช่นนี้อย่างไรเล่า” ลี่มี่ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ร่างบางเดินเข้าไปกระแทกไหล่ซูเม่ยด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนเด็กสาวแก้มแดงเซถลาล้มลงไป ด้วยบริเวณนั้นเป็นตลิ่งของแม่น้ำ จึงมิได้มีน้ำสูง ทว่าบริเวณนั้นกลับเต็มไปด้วยโคลนตมชื้นแฉะ
“กรี๊ดดดดดดดดด แหวะ! อาภรณ์ข้าเปื้อนหมดแล้ว ข้าจะฟ้องท่านย่า! จะให้ท่านย่าไล่เจ้าออกจากตระกูล ฮื่อ! ใบหน้าข้า ฮื่อ” ซูเม่ยกรีดร้อง ดีดดิ้นอย่างเด็กเอาแต่ใจ ลี่มี่เห็นดังนั้นก็สาแก่ใจไม่น้อย นัยน์ตาซุกซนจดจ้องไปที่ร่างของซูเม่ย ที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำ ใบหน้าที่แดงก่ำถูกโคลนกลบจนมิด
“โทษข้าได้อย่างไร เจ้าบอกว่าอยากได้อาภรณ์ใหม่มิใช่หรือ ฮ่าๆ กรีดร้องจนพอใจแล้วก็รีบตามมาเล่า ข้าจะนำปลากลับเรือนก่อน” ลี่มี่เดินกลับเรือนอย่างอารมณ์ดี ยอมรับตามตรงว่านางรู้สึกสะใจที่ได้เอาคืนซูเม่ย แม้จะรู้ว่าต้องถูกลงโทษที่กลั่นแกล้งลูกพี่ลูกน้องของตน แต่ทว่าก็คุ้มค่าไม่น้อย ใบหน้าน่ารักยกยิ้มเต็มปาก
แต่ทว่า…เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือน สองขากลับต้องหยุดชะงัก
“ฮึก โอ๊ย! ท่านป้า น้องเจ็บขอยับ อย่าตีน้อง โอ๊ย ฮื่อออ”
นั่นเสียงอาหมิงมิใช่หรือ
“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้“ขอบพระคุณขอยับ”“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือ
“ให้ยายดูสิ” เหมาไป่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลายสาวก็พบว่าเป็นดั่งที่หลานชายตัวน้อยเอ่ย มิเพียงเท่านั้นหน้าผากมนของหลานสาวยังมีรอยคล้ายปานรูปดอกบัวติดอยู่ปาน…ปานสีเงินอย่างนั้นหรือ!!?“…” ลี่มี่ที่ยังวิตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมิได้สบตาผู้ใด ปล่อยให้เหมาไป่และลี่หมิงมองสำรวจจนทั่ว“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าเล่าให้ยายกับน้องฟังเถิด” เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากหลานสาวทำให้เหมาไป่แทบมิอยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง“ท่านยาย…” สายตาที่ล่องลอยของลี่มี่ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบหลานนอกไส้“ดีเหลือเกินที่เจ้ามิบาดเจ็บที่ใด คราวหลังอย่าได้เข้าไปในป่าลึกเช่นนั้นอีกเล่า เข้าใจหรือไม่”“เจ้าค่ะ”“โอ๋ๆ นะขอยับ” มือเล็กป้อมยกขึ้นลูบใบหน้าพี่สาวเบาๆ ลี่มี่อดเอ็นดูกับท่าทีของน้องชายมิได้ จึงกอบกุมเอามือเล็กมาจุมพิต พร้อมกับสบสายตาเข้ากับดวงตาน้อยๆ ทั้งสองที่จดจ้องมาที่นัยน์ตาของนางด้วยแววตาที่หลงใหลและทันใดนั้น…“วันนี้เจ้ากินกุ้งแม่น้ำย่างอย่างนั้นหรือ”“เอ๋? มิได้กินขอยับ น้องกินผัดผัก”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายายย่างกุ้งให้พวกเจ้ากินในมื้อเย็น หรือว่ากลิ่นมันติดกายยายมาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ”“มิ
ดอกบัวสีขาวเพียงดอกเดียวเบ่งบานกลางสระน้ำ ทั้งที่บริเวณโดยรอบมิได้มีสิ่งใดอยู่เลย สองขาเรียวก้าวเข้าไปยืนที่ขอบสระ ยื่นคอดูภายในสระจนทั่ว เพื่อสำรวจหาปลาหากว่าได้ปลากลับไปให้ท่านยายและอาหมิงคงจะดีไม่น้อยเพียงแค่คิดเช่นนั้น ก็มีฝูงปลาหลายสิบตัวแหวกว่ายในสระสีมรกต! ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลี่มี่มองไม่เห็นปลาแม้แต่ตัวเดียว ฝูงปลามากมายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กสาวตกใจจนพลาดพลั้งเหยียบไปบนโขดหิน ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ“ว๊าย!” ร่างบางซวนเซ ร่วงลงในสระน้ำจนเปียกปอนไปหมดทั้งตัวตุ้ม!!!“ฮื่อ ลี่มี่นะลี่มี่ มิระวังเอาเสียเลย” ปากเล็กบ่นให้กับความมิระมัดระวังของตนเอง ยังดีที่ของในตะกร้าสานนั้นเปียกน้ำได้ มิเสียหาย มิเช่นนั้นนางคงต้องทุบศีรษะตนเองสักทีสองทีลี่มี่นำตะกร้าออกจากหลังและยกไปไว้ริมสระน้ำ แต่ยังไม่ทันที่นางจะขึ้นจากสระ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรนางก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว ขอไปดูดอกบัวกลางสระให้หายแคลงใจเสียหน่อย ด้วยสงสัยว่าเหตุใดจึงมีดอกบัวเพียงดอกเดียวที่ขึ้นกลางน้ำ ทั้งยังมิเห็นกอบัวเลยสักกอเดียวร่างระหงที่แต่งกายและรวบผมราวกับชายหนุ่ม กำลังแหวกว่ายไปบริเวณกลางสระ ชะโงกหน้าเข้าไป
“แล้วข้าต้องแสดงออกเช่นนางหรือเจ้าคะ”“มิต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ยายอยากให้เจ้ารู้ว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง เวลาใดควรแสร้ง เวลาใดควรซื่อตรง หากเจอผู้ที่จริงใจ เราย่อมต้องจริงใจต่อเขา แต่หากว่าเขาไม่ เราก็ไม่ เท่านั้นเอง” เหมาไป่พบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ วิธีรับมือคือตัวเราเองต้องปรับตัวให้ทัน อย่างเจียวมี่มารดาของลี่มี่ นางเป็นคนแข็ง พูดตรง ผู้คนจึงมักมองว่านางปากร้าย มิน่าคบ ต่างกับชุนเจียงที่ทั้งพูดจาไพเราะ อ่อนโยน“ข้าจะพยายามเจ้าค่ะท่านยาย”“หลานยายต้องทำได้แน่ สำคัญอย่าได้ละเลยตัวตนของตนเองเล่า อีกอย่าง ยายรู้ว่าการสูญเสียนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยามนี้เจ้าคงอยากเข้มแข็งเป็นที่พึ่งของยายและน้อง แต่ยายยังอยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่สดใส ช่างพูดช่างถาม อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง”“เอ่อ…ท่านยายมิได้ว่าข้าพูดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปากเล็กเบะยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู“ฮ่าๆ มิได้ว่า” ท่าทีเช่นนี้แหละที่เหมาไป่อยากเห็นเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ข่าวลือของลี่มี่ก็เบาบางลง ยังมีบางคนที่มองมาทางนางด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือน
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ท่านเอ่ยมานั้น หมายถึงข้าใช่หรือไม่” ลี่มี่หน้าตึง เดินตรงไปหากลุ่มคนที่นินทานางอยู่ ลี่มี่ตั้งใจจะไปเอ่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้สตรีเหล่านั้นได้ฟัง แล้วให้พวกนางพิจารณากันเอง แต่หญิงเหล่านั้นกลับเอ่ยวาจาก่อกวน“ข้าได้เอ่ยนามเจ้าหรือ” สีหน้ายียวนจากคนเหล่านั้น ทำให้ลี่มี่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับไป นางมิได้ขอข้าวผู้ใดกินอีกต่อไปแล้ว จากนี้นางมิจำเป็นต้องยอมอ่อนให้ผู้ใด ดีมาย่อมดีตอบ แต่หากว่ามาร้ายก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลย ว่าลี่มี่ผู้นี้จะมิอยู่เฉย“หึ! กล้านินทาผู้อื่น แต่มิกล้ารับผิด ทำตนเช่นคนขลาดเขลา หวาดกลัวกระทั่งเด็ก น่าสมเพชเสียจริง”“นี่เจ้ากล้าเอ่ยว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร!” กลุ่มสตรีที่ยืนพูดคุยกันอยู่ถึงกลับตกใจที่ตนเองถูกเด็กสาวว่ากล่าวต่อหน้าต่อตา“ข้าได้เอ่ยนามพวกท่านหรือ…เช่นนั้นจะร้อนรนไปไย” ลี่มี่เอ่ยถามตาใส เมื่อเห็นว่าสตรีเหล่านั้นตกใจ หน้าเสียจนหลงลืมแม้กระทั่งวิธีพูด ร่างบางจึงมิใส่ใจ เดินตรงไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้านทันที โดยที่มิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ยิ่งทำให้ข่าวลือความอกตัญญูของลี่มี่ถูกเล่าลือยิ่งขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะอกตัญญูทำร้ายคนในครอบครัวแ
“เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง“ดีขอยับ ดีที่สุด”“รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่“เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง“ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป”“ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”“มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป”“แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคน