LOGINรอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้างดงาม กับเสียงหัวเราะของบรรดาสตรีโฉมงามตรงหน้า ทำให้วั่งซูถึงกับเคลิบเคลิ้มราวต้องมนต์สะกด
“ซือซง หากเจ้าต้องการตามข้ามา เพียงเพราะได้มาพบเห็นบรรดาเทพธิดาเหล่านี้ เจ้ารั้งรอข้าอยู่ที่แดนปัญจธาตุก็ได้นะ ตามมาเช่นนี้หากท่านอาจารย์รู้เข้า ข้าคงถูกตำหนิ ซือซง…ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะได้ยินหรือไม่”
เฉิงวั่งซู ได้ยินทุกถ้อยคำ แต่กลับไม่สามารถโต้ตอบกับบุรุษชุดขาวที่อยู่ด้านหน้าตนเองได้ วั่งซูทำได้แค่มองดูเส้นผมสีดำเงางามเรียบสวย หัวไหล่แผ่นหลัง และกลิ่นกายของเขา ที่ช่างแสนคุ้นเคย บุรุษชุดขาวหยุดฝีเท้าที่ก้าวเดินกะทันหัน จนเฉิงวั่งซูต้องรีบหยุดเพื่อไม่ให้ชนเข้ากับคนตรงหน้า
บุรุษชุดขาวค่อย ๆ หันหลังมองมายังเขา ด้วยสายตาไม่พอใจ บุรุษขี้บ่นผู้นี้ มีใบหน้าสวยงามอ่อนหวานราวสตรี “เทพเจ้า ตงฉาง…”
ภาพทั้งหมดกลับพลิกหมุนเคว้งแล้วสลายหายไป ความรู้สึกของเฉิงวั่งซู เหมือนตนเองกำลังตกจากที่สูง ที่หาจุดสิ้นสุดของพื้นพิภพไม่ได้
“เฉิงวั่งซู จำเสียงข้าได้หรือไม่”
“ใคร นั่นใครกัน ข้าไม่เห็นหน้าจะรู้ได้เช่นไรว่าเป็นใคร” เฉิงวั่งซูตะโกนตอบสุดเสียงด้วยรู้สึกถึงแรงลมที่ปะทะร่างกาย
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างไร้ทิศทาง ในขณะที่ร่างของเฉิงวั่งซูก็หยุดลงในห้องที่มืดสนิท วั่งซูพยายามยันกายหยัดยืนให้มั่งคง แล้วหมุนตัวมองหาที่มาของผู้ทักทาย แต่รอบตัวนอกจากความมืดดำ เขาก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย
“ใคร…เจ้าเป็นใคร หากบริสุทธิ์ใจ เหตุใดจึงไม่แสดงตัวออกมา ทำเช่นนี้เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” วั่งซูเริ่มรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใดกันแน่
“เจ้าหนู เจ้าหนู ก่อนที่เจ้าจะได้พบข้า เจ้าต้องฝึกควบคุมอารมณ์ของเจ้าเสียก่อน”
“อารมณ์ของข้า มันมีปัญหาอะไรกับเจ้า เจ้าทำเรื่องทั้งหมดนี้เพื่ออะไร ออกมานะ ออกมาสิ…” ดวงตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงราวเปลวเพลิงที่ถูกจุดในดวงตา
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง พลันหนึ่งในมุมมืดปรากฏภาพเหตุการณ์ ความซุกซนของชายผู้หนึ่งที่ทำให้เหล่าเทพธิดาแห่งตำหนักแสงจันทร์ต้องปวดเศียรเวียนเกล้า ด้ายแดงมากมายพันเกี่ยวต้นพฤกษา จนไม่อาจแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยมนตราทั่วไป ต้องเดือดร้อนไปถึงเทพเจ้าเยว่เซียนเหล่าเหริน ที่ต้องมาเป็นผู้แก้ปัญหาเองอยู่หลายวัน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ด้ายที่เหลืออีกสิบเส้นสุดท้ายได้
“เฉิงวั่งซูนี่คือความผิดของเจ้า และมันก็เป็นหน้าที่ ที่เจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เจ้าก่อเรื่องให้ข้าเดือดร้อน จุติมาแดนมนุษย์แทนที่จะสำนึกรีบเร่งแก้ปัญหาที่ตนก่อไว้ กลับหลงระเริงต่อสิ่งยั่วยุ สหายเจ้าช่างแสนดี เลือกสถานที่กำเนิดให้เจ้าแสนสุขสบาย แต่ตัวเองกลับทุกข์ยากแสนเข็ญ"
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ใครกันสร้างปัญหา ภาพมายาที่เจ้าสร้างขึ้น เจ้าก็ทำขึ้นเอง ปีศาจเจ้ามันเป็นปีศาจ เรื่องหลอกลวงเช่นนี้ มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่ทำได้ โกหกกันทั้งนั้น ต่อให้ชายผู้นั้นมีใบหน้าคล้ายข้า แต่…แต่ก็ไม่ใช่ข้าอยู่แล้ว เจ้าดูสิตอนนี้ข้าเป็นเพียงเด็กอายุสิบขวบ แต่นั่น…ชายผู้นั้นโตกว่าข้าตั้งเยอะ เหตุใดแค่การสร้างเรื่อง เจ้ายังไม่ทำให้มันดูมีความน่าเชื่อถือ”
“เจ้า…ไอ้เด็กปากเสีย…”
วั่งซูรู้สึกเหมือนมีวัตถุบางอย่างตบลงบนใบหน้าของเขา จนถึงกับหน้าสะบัดเจ็บร้อน ต้องรีบยกมือขึ้นกุมแก้มของตนเอาไว้
“บังอาจนัก ข้าเป็นถึงบุตรชายท่านแม่ทัพในสังกัดท่านเสนาบดีโม่ว เจ้าทำเช่นนี้กับข้า ท่านพ่อไม่มีทางละเว้นเจ้าแน่...”
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







