หลังจากตรวจตราร้านค้าเสร็จแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงเดินออกมาพร้อมกับตานเต๋อคง เพื่อไปดูโกดังที่ตานเต๋อคงเช่าไว้ไม่ไกลกับตลาดมืดมากนัก ซึ่งหากเธอมองว่าหากชายหนุ่มจะขนย้ายสินค้ามายังร้านค้า น่าจะไม่ใช่เรื่องยากหรือลำบากจนเกินไป
“โกดังแห่งนี้เจ้าของเขาตั้งใจขายครับ เพียงแต่เวลานี้รัฐเข้มงวดในการซื้อขาย เขาจึงไม่อยากมีปัญหาเลยให้เราเช่าก่อนเดือนละสิบหยวน แต่ถ้าเราจะซื้อ เขาขายในราคาเจ็ดร้อยหยวน”
“อืม ฉันขอดูเส้นสายอีกสักหน่อย ยังไงเช่าสักสองสามเดือนก่อนก็แล้วกัน ส่วนราคาที่ขายนั้นฉันคิดว่ามันไม่แพง จริงสิ นอกจากค้าขายในตลาดมืดแล้ว พี่คิดว่าเราควรทำการค้าอะไรอีกไหม”
“ตามความคิดผม เวลานี้อาหารและวัตถุดิบนั้นขาดตลาดไม่น้อย ร้านค้าที่มีผลกระทบเลยก็คือร้านอาหาร แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารของรัฐก็ตาม แต่ส่วนมากจะเป็นกลุ่มพ่อค้าทั่วไปที่ขอทำการค้ากับภาครัฐ เท่าที่ผมดูมา มีร้านอาหารหลายร้านปิดตัวลงเนื่องจากขาดวัตถุดิบ หากเราไปติดต่อทำการค้ากับร้านต่าง ๆ ในเมืองและในบริเวณใกล้เคียง ผมคิดว่าน่าจะดีและยอดขายคงมาก แต่ปัญหาอยู่ที่นายหญิงจะหาวัตถุดิบเพียงพอต่อความต้องการได้หรือไม่”
ชายหนุ่มไม่ได้ดูหมิ่นในความสามารถเจ้านาย แต่การจะหาอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร้านอาหาร และโรงงาน
ต่าง ๆ นั้น มันมีมากนัก มากจนโรงฆ่าสัตว์และรัฐผลิตไม่ทัน ดังนั้นเจ้านายเขาจะหามาได้อย่างไร
ทว่าเขาเชื่อในตัวนายหญิงเพ่ยเพ่ยว่ามีความสามารถ เท่าที่เขาพบเจอมาสองครั้ง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่เขาเชื่อว่าเธอนั้นมีความลับบางอย่าง ที่ไม่สามารถบอกใครได้ และไม่ได้บอบบางอย่างที่เห็น
“คำว่าไม่เพียงพอมันไม่ได้อยู่ในหัวคิดของฉัน ปัญหามันอยู่ที่พี่จะหาร้านค้าให้เราส่งวัตถุดิบได้หรือไม่ ฉันเชื่อว่าพี่มีเส้นสาย ในการเจรจาเรื่องนี้ และพี่สามารถหาคนมาทำงานด้วยกันกับเราได้ ฉันไม่มองว่าคนคนนั้นต้องใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเคยทำงานอะไร หรือเลวร้ายแค่ไหน หากกลับตัวกลับใจแล้ว ฉันยินดีที่จะรับเข้าทำงาน พี่เข้าใจความหมายและความต้องการฉันใช่ไหม โจวเพ่ยชิงคนนี้ ไม่หยุดเพียงแค่การค้าเล็ก ๆ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาในประโยคสุดท้าย บ่งบอกว่าหญิงสาวต้องการทำอย่างนั้นจริง ๆ เวลานี้ยังไม่รู้ว่าเธอและสามีจะไปในทิศทางไหน จะหย่ากันหรือไม่ หรือจะอยู่กินฉันสามีภรรยากันต่อ แต่หากยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เธอก็อยากเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมและยืนเคียงข้างเขา ไม่ใช่โจวเพ่ยชิง หญิงร้ายกาจประจำหมู่บ้าน และหญิงชั่วช้าที่ยอมทิ้งลูกและสามีเพื่อชายชั่วคนนั้น
น้ำเสียงและแววตาเด็ดเดี่ยวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย ทำให้ ชายหนุ่มเชื่อว่าเธอทำได้ และไปได้ไกลกว่าพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปแน่
ตานเต๋อคงสัญญากับตัวเองอีกเช่นกันว่า จะขอยืนเคียงข้างนายหญิงเพ่ยเพ่ยคนนี้ตลอดไป
ไม่ว่าเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาพร้อมที่จะบุกน้ำลุยไฟไปกับเธอ ไม่ใช่เพราะเขาคิดไม่ซื่อ แต่เพราะเธอมีบุญคุณกับเขามาก เงินหลายร้อยหยวนที่เขาใช้หนี้นั้นไม่ใช่น้อย ๆ ด้วยฐานะและตัวเขาเอง จะมีปัญญาที่ไหนหามาจ่าย นอกจากจ่ายแค่ดอกเบี้ย ตัวเขาคนเดียวไม่เท่าไร แต่เขายังมีอาโมว่ น้องชายที่กำลังเรียน และยังเป็นความหวังของเขาและแม่ผู้ล่วงลับ
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขากล้าสาบานกับตัวเองว่าจะทำงาน และอยู่เคียงข้างนายหญิงเพ่ยเพ่ย ในฐานะลูกน้องตลอดไป!
“ครับ”
“ฉันจะสั่งจักรยานและจักรยานสามล้อไว้ด้วย พี่พอจะมีเส้นสายเรื่องขอใบอนุญาตไหม ถ้ามี พี่เอาไปไว้ใช้หนึ่งคัน เผื่อฉันหนึ่งคันด้วย และสามล้อไว้ส่งของด้วย จริงสิ บ้านเช่าของพี่มีไฟฟ้าใช่ไหม แล้วตลาดมืดล่ะ”
“มีครับ”
“ดีมากเลย ฉันจะได้สั่งเครื่องใช้ไฟฟ้ามาลงให้ เพราะของบางอย่างมันต้องแช่เย็น ไม่งั้นมันจะเน่าเสีย ที่นี่ก็มีสินะ”
“โกดังแห่งนี้มีไฟฟ้าใช้ เจ้าของขอไว้หมดแล้ว หากนายหญิงตัดสินใจซื้อ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น”
“ตกลง อย่างนั้นวันนี้พี่ไปหาคนที่จะมาช่วยทำงานเถอะฉันขอดูอีกพื้นที่บริเวณนี้สักพักก็จะกลับแล้ว”
“ครับนายหญิง นี่กุญแจทั้งสองที่ครับ วันนี้ผมขอตัวก่อน”
“อืม ปิดประตูหน้าโกดังให้ด้วย”
“ครับนายหญิง” ตานเต๋อคงไม่มีคำถามใด ๆ ดี เขาเดินออกมาพร้อมกับปิดประตูโกดังให้อย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินไปจัดการงานของตนเอง
หลังจากเหลือเพียงตนเอง โจวเพ่ยชิงมองซ้ายมองขวา จากนั้นจึงดึงของออกมาจากมิติ และจัดเป็นสัดส่วนอย่างที่ต้องการ ในส่วนของอาหารสด เธอดึงตู้แช่ขนาดใหญ่ออกมาและเอาเนื้อสัตว์และอาหารสดไว้ในนั้น
“เฮ้อ... เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ยังเหลือที่ร้านอีก”พอคิดว่ายังเหลือร้านค้าที่ต้องเอาของออกมาไว้ จึงรีบเดินออกจากโกดังและปิดล็อกประตูทันที
เมื่อจัดการเติมของและจัดเตรียมร้านเสร็จแล้ว หญิงสาวกลับคิดถึงสามีขึ้นมา ในเมื่อเวลานี้อาหารล้วนขาดแคลนหลายพื้นที่ อย่างนั้นสามีเธอคงลำบากไม่น้อย
ดีที่เธอเก็บของหลายอย่างเข้ามิติ หนึ่งในนั้นคือซองส่งเงินที่สามีส่งกลับมาทุกเดือน หน้าซองมีที่อยู่ของค่ายทหาร
ทันทีที่ได้ที่อยู่ หญิงสาวจึงเตรียมของหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง เสื้อผ้า และของใช้ที่คิดว่าจำเป็นต่อสามี สุดท้ายจึงได้กล่องใหญ่ไม่น้อย ก่อนจะเดินไปยังไปรษณีย์ที่รับส่งของ
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โจวเพ่ยชิงหลบเข้ามุมมืด และตัดสินใจเอาจักรยานออกมาใช้ เธอเชื่อว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ตานเต๋อคงน่าจะจัดการเรื่องใบอนุญาตจักรยานได้
จากนั้นจึงปั่นจักรยานกลับเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับอาหารมากมายผูกไว้ท้ายจักรยานทันที
สายตาชาวบ้านมองมายังจักรยานที่โจวเพ่ยชิงปั่นมาอย่างอิจฉา จะมีสักกี่บ้านกันเชียวที่มีจักรยานใช้ หมู่บ้านนี้มีเพียงหัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้ากองพลน้อยเท่านั้น
“นี่ดูนั่นสิ สะใภ้รองบ้านหลี่ซื้อจักรยานคันใหม่ด้วยล่ะ”
“นั่นสิ คงถลุงเงินที่ฮั่นตงส่งมาให้ปรนเปรอความสบายของตัวเองน่ะสิ”
“แล้วหล่อนจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับชีวิตเขา นายทหารหลี่แต่งงานมาก็หลายปี ส่งเงินมาให้แต่ละเดือนก็มากอยู่ ฉันได้ข่าวว่าเดือนละยี่สิบหยวนเชียวนะ หากสะใภ้รองหลี่จะซื้อจักรยาน ก็ไม่น่าจะแปลก ในเมื่อนายทหารหลี่ส่งเงินมาให้ขนาดนั้น”
ชาวบ้านคนนี้ไม่อยากวุ่นวายกับหลี่ฮั่นตง และรู้ว่าเขาเป็นทหาร เธอจึงเรียกขานเขาว่านายทหารหลี่ แทนที่จะเรียกฮั่นตง
“แต่มันเกินความจำเป็นไหม เป็นเมียนายทหารนี่มันดีจริงเชียว นอกจากไม่ต้องทำงาน ยังซื้อจักรยานมาเฉิดฉายได้อีก”
บทสนทนาเหล่านี้ ล้วนไม่เข้าถึงหูของโจวเพ่ยชิงเลยสักนิด หรือต่อให้ได้ยิน เธอก็ไม่คิดจะสนใจ เหตุผลหลักที่เธอตัดสินใจเอาจักรยานมาใช้เพราะจะหาข้ออ้างเรื่องเข้าเมืองนั่นเอง ตอนนี้เม่ยเม่ย ยังต้องไปเรียนทุกวัน และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเธอทำการค้า นี่จึงเป็นข้ออ้างอย่างดี ในการออกไปพร้อมกับน้องสาว
“แม่กลับมาแล้ว อาเฉิน ซานซาน อยู่ไหนลูก”
มาถึงบ้านก็ร้องเรียกหาลูกทั้งสองคน เมื่อไม่มีการตอบรับ จึงคิดว่าน่าจะอยู่บ้านตายาย ดังนั้นจึงปั่นจักรยานไปยังบ้านโจว และเจอลูกน้อยทั้งสองคนเล่นกันอยู่หน้าบ้าน
“แม่กลับมาแล้ว โอ๊ะ! แม่ซื้อจักรยานเหรอคะ” หลี่ซานซาน ถามด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเดินเข้ามาลูบคลำด้วยท่าทางดีใจ
“ใช่แล้ว! อาเฉินกับซานซานอยากจะขี่เล่นไหม”
“เย่!” เด็กน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แม้หลี่รุ่ยเฉินจะมีท่าทีสงบนิ่ง แต่แววตากลับตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อเห็นลูกทั้งสอง ดีใจ คนเป็นแม่เช่นเธอจึงได้แต่ยิ้มตาม “แล้วลูกอยู่กับใครล่ะเนี่ย”
“อยู่กับยายค่ะ วันนี้ยายไม่ทำงาน เลยไปรับพวกเรามาอยู่ที่นี่รอแม่กลับมา”
“เหรอ งั้นเราเข้าบ้านกันไหม แล้วลูกกินข้าวเที่ยงหรือยัง”
จากนั้นสามคนแม่ลูกก็พากันเดินเข้าบ้านพร้อมกับรอยยิ้มของลูกทั้งสองคน
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอเพ่ยชิง” นางซูหนานเอ่ยถามลูกเลี้ยงต่อให้จะไม่ใช่แม้ที่แท้จริงแต่เวลานี้โจวเพ่ยชิงดูแลเธอและบุตรสาวไม่ต่างจากครอบครัวเดียวกัน แม้ที่ผ่านมาต่อให้โจวเม่ยเม่ยจะเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่ก็ต่างแม่ โจวเพ่ยชิงจึงมักจะจิกกัดและพูดจากระทบกระทั่งอยู่ตลอดเวลา“ค่ะแม่ แล้วนี่แม่ป่วยหรือเปล่าคะถึงไม่ไปทำงาน แม่ไปโรงพยาบาลไหม”“อย่าเลยลูก วันนี้แม่ปวดหลังเลยไม่ทำงาน ให้สามคนพ่อลูกไปกันเอง”นางซูหนานไม่ได้ป่วยอะไรหรอก เพียงแค่เมื่อวานต้องก้มหน้าตลอดเพื่อดำนา อาการปวดหลังเลยถามหา วันนี้เลยขอลาหยุดก็แค่นั้น ไม่คิดว่าจะสร้างความกังวลให้กับลูกสาวคนโต“เอาอย่างนี้ไหมแม่ ต่อไปแม่ไม่ต้องทำงานแล้ว บ้านโจวมีคนทำตั้งสามคน หัวหน้าคอมมูนคงไม่ว่าอะไร แม่มาเลี้ยงเด็ก ๆ ดีกว่า หลังจากนี้ฉันก็คงไม่ค่อยว่างช่วงเช้า อีกทั้งเวลาที่พี่ใหญ่หลุนมาสอนหนังสือพวกเด็ก ๆ จะได้ไม่มีคำครหา เรื่องอาหารการกินของบ้านโจว เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”“แล้วเพ่ยชิงจะไปไหนทุกเช้าล่ะลูก แม่ว่าวันสองวันแม่ก็หายป่วยแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดหยุดงานหรอก ส่วนเรื่องอาหาร จะให้บ้านโจวไปรบกวนลูกได้ยังไงกัน อย่าลืมว่าเวลานี้เพ่ยชิงเองก็มีครอบค
ทันทีที่ตานเต๋อคงพาสหายทั้งสามมาถึงโกดัง เขาไขกุญแจและพาทุกคนเข้ามาด้านใน“โกดังแห่งนี้แม้จะขนาดกลาง แต่ถ้าลงของเต็มโกดัง คงใช้เงินหลายหมื่นหยวน ดีไม่ดีอาจจะหลักแสนหยวนเลยนะ”เหวินเทาพูดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ หากเจ้านายคนใหม่ลงสินค้าเต็มโกดัง แสดงว่าเจ้านายคนนี้คงร่ำรวยมาก“อืม เดี๋ยวฉันจะพาไปดูด้านใน”และทันทีที่ประตูด้านในเปิดออก ตานเต๋อคงแทบล้มทั้งยืน ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นว่าในนี้จะเต็มไปด้วยข้าวของมากมายภายในหัวคล้ายจะตบตีกันเอง เนื่องจากเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่แยกกัน สามารถจัดหาสินค้ามามากมายอย่างนี้ นายหญิงเพ่ยเพ่ยสามารถทำได้อย่างไรกันนะ“โอ้โหอาคง สินค้าเต็มไปหมด ยังมีอาหารสดอีกนะ เจ้านายของนายคงจะเส้นใหญ่ไม่น้อย ถึงสามารถหาของพวกนี้ได้มากมาย ทั้งที่สถานการณ์บ้านเมืองขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อชาวบ้าน”“นั่นสิ แบบนี้ฉันมีที่คุ้มกะลาหัวแล้ว และขอสาบานเลยว่าจะทำงานให้เจ้านายด้วยใจที่ซื่อสัตย์ จะไม่มีวันหักหลัง วันใดที่ฉันคิดไม่ซื่อ ขอให้ตายอย่างไม่มีดินกลบหน้า”ต่อให้เงินจะสำคัญ แต่สำหรับเหว่ยซ่านนั้น เรื่องอาหารสำคัญกว่า และหวังว่าเจ้านายคนนี้จะไม่ปล่อยให้เขาต้องอดยาก
“นี่คือตัวอย่าง ลองเอาไปขายดูก่อนนะ ถ้ามีคนสนใจก็จดรายการ พี่จะไปเอาของมาให้”“ตกลงค่ะพี่สาม”โจวเม่ยเม่ยยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือไปรับของจากพี่สาว และรีบเก็บเข้ากระเป๋า ทว่าสายตากลับเห็นสหายอย่างตานโมว่ จึงได้กวักมือเรียก “อาโมว่ มานี่สิ ยืนทำไมตรงนั้น”ตานโมว่จึงเดินเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างไม่รีรอ เพราะเขามีจดหมายจากพี่ชายมาถึงนายหญิง เขาเลยเลือกที่จะมาดักรอหน้าโรงเรียน“สวัสดีครับนาย เอ่อ พี่เพ่ยชิง” ตานโมว่เกือบหลุดคำว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยออกมา ดีที่ยั้งคำไว้ทัน“มีอะไรหรือเปล่า”“พี่ใหญ่ฝากจดหมายมาครับ”“อืม ขอบใจมาก ยังไงฝากดูเม่ยเม่ยด้วยนะ”พอได้ยินว่าตานเต๋อคงฝากจดหมายมาให้จึงยื่นมือมารับ ก่อนมาจึงเอ่ยฝากฝังให้ดูแลน้องสาว“ครับพี่เพ่ยชิง”“เอาละ เข้าโรงเรียนกันได้แล้ว ส่วนนี่อาหารเที่ยง แบ่งกันกินนะ” โจวเพ่ยชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วปั่นจักรยานไปยังตลาดมืดพอมาถึงโจวเพ่ยชิงจึงแอบหลบเข้ามิติเพื่ออ่านจดหมายของตานเต๋อคง ในนั้นเขียนว่าเขาได้คนแล้วและพร้อมเปิดร้านวันนี้ ส่วนเรื่องหาลูกค้าเขาขอเวลาอีกสองสามวันเพื่อให้ร้านอยู่ตัวสักเล็กน้อย“ไม่มีคำถามเรื่องสินค้า ถ้าเป็นอย่างนี้นายและฉันสามารถ
“มีเสื้อผ้าขายด้วยใช่ไหม ฉันอยากได้ชุดสวย ๆ สักสามสี่ชุด” หญิงสาวแต่งตัวดีคล้ายกับคนมีเงินถามขึ้นมา พร้อมกับเหยียดสายตามองตานเต๋อคงอย่างรังเกียจ เพราะคิดว่าเขาเป็นเพียงคนงาน“สักครู่ครับ” ตานเต๋อคงตอบกลับก่อนส่งสายตาให้ลูกน้องเหว่ยซ่านพยักหน้ารับ ก่อนจะไปหยิบสมุดภาพแบบชุดผู้หญิงออกมาให้“สวย ๆ ทั้งนั้นเลย พี่ซื้อให้ฉันได้ไหม”“ได้สิ ซินหงอยากได้ชุดไหนก็เลือกเอาเลย พี่ซื้อให้”ภาพคลอเคลียของทั้งสองคน ทำให้โจวเพ่ยชิงที่แอบมองอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว ใช่แล้ว! ซินหงคนนี้ก็คือสะใภ้สามบ้านโจว หรือน้องสะใภ้สามีเธอนั่นเอง ไม่คิดว่าสะใภ้สามจะกล้าคบชู้ ทั้งที่ลูกสาวอายุเพียงสามขวบเท่านั้น แต่ผู้ชายคนนี้รู้หรือเปล่า ว่าหญิงสาวที่ตนคบหาด้วยนั้นมีครอบครัวอยู่แล้ว“ฉันเอาสี่ชุดนี้ ราคาชุดเท่าไร”“ชุดละสามสิบหยวนครับ รอสักครู่ ผมขอไปดูว่าขนาดที่ลูกค้าต้องการนั้นมีหรือไม่” เหว่ยซ่านตอบกลับ ก่อนจะเดินหลบเข้าหลังร้านเพื่อไปเอาชุดทั้งสี่มาให้ลูกค้าโจวเพ่ยชิงที่แอบมองอยู่เมื่อเห็นลูกน้องเดินเข้ามาหยิบชุด จึงเอ่ยห้ามไว้ และสั่งงานบางอย่าง“พี่เหว่ยซ่าน พี่พอจะรู้จักใครไหม ช่วยตามสืบหญิงชายคู่นี้ให้หน่อยว่าพั
“ครับ ราคานี้ และไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหา เวลานี้นายหญิงคิดเรื่องขอใบอนุญาตการค้า เพียงแค่ต้องรอเวลาอีกหน่อย ส่วนเรื่องราคาอาจจะขยับขึ้นไปเล็กน้อย เพราะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐ หวังว่าผู้จัดการหวูคงจะเข้าใจ”นี่เป็นการเจรจาธุรกิจในแบบฉบับของตานเต๋อคงเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายทำสัญญาหลายปี ส่วนเรื่องราคาเท่าที่คุยกับนายหญิงอาจจะขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อนำไปจ่ายภาษีให้กับภาครัฐ แต่ถามว่าทุกอย่างไหมที่จะขึ้นทะเบียนการค้า ตอบเลยว่าคงไม่ เพราะมีบางส่วนที่ค้าขายในตลาดมืด และนั่นไม่ต้องจ่ายภาษีนอกจากค่าเช่าร้านและค่าจ้างคนงาน เรื่องนี้เขาได้ปรึกษานายหญิงเรียบร้อยแล้วเรื่องการต่อรองและเจรจาการค้าครั้งนี้“แล้วทางคุณตานและนายหญิงของคุณมองไว้หรือไม่ว่าสัญญาแต่ละฉบับจะทำเป็นรายเดือนหรือรายปี”“เรื่องซื้อขายผ้าจะไม่มีสัญญารายเดือนครับ นายหญิงต้องการทำสัญญารายปี รายสามปี และรายห้าปีครับ แต่นายหญิงมีข้อเสนออีกอย่างมาให้ คือการส่งวัตถุดิบเข้าโรงครัวของโรงงาน ทางร้านเพ่ยเพ่ยสามารถจัดหาวัตถุดิบให้ได้ตามที่ต้องการเช่นกัน”“รวมถึงเนื้อและธัญพืชใช่ไหม”“ครับ นี่คือรายการที่ทางร้านสามารถจัดหาได้” ตานเต๋อคง
เย็นวันนี้โจวเพ่ยชิงและนางซูหนานทำอาหารหลายอย่าง ส่วนหนึ่งแบ่งไปบ้านโจว และส่วนหนึ่งให้ลูกชายคนรองแบ่งเอาไปบ้านหลี่ เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า โจวเพ่ยชิงจึงเอ่ยเรื่องที่คุยกับนางซูหนานเมื่อตอนบ่ายให้ทุกคนฟัง“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวานตอนที่ฉันค้าขายในตลาดมืดกลับเจอเข้ากับซินหง เธอมากับผู้ชายคนหนึ่ง ดูสนิทสนมกันไม่น้อย ด้วยสายตาอันแหลมคมของฉัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา นี่แหละคือปัญหาที่ฉันคิดไม่ตกตั้งแต่เมื่อวาน เพราะกลัวสิ่งที่ฉันคิดไม่ใช่เรื่องจริง” ซึ่งคำพูดนี้ไม่ผิดไปจากที่คุยกับนางซูหนานเลยสักประโยคเดียว“น้องหมายความว่ายังไง เพ่ยชิง”โจวว่านปิงเอ่ยถามน้องสาวสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่คิดมาก่อนว่าสะใภ้สามบ้านหลี่จะทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างนี้ และถ้าไม่ใช่เรื่องจริงเพ่ยชิงคงไม่กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น“พี่รอง ไม่ต้องมีความเป็นสุภาพบุรุษแล้ว ฉันอายุแค่สิบห้ายังรู้ความหมายที่พี่สามบอกเลยว่าพี่ซินหงมีคนอื่น” เม่ยเม่ยพูดออกความเห็นขึ้นมาอย่างแก่นเซี้ยว“เดี๋ยวเถอะ เป็นเด็กเป็นเล็ก ริอ่านออกความคิดเห็นเรื่องนี้ พี่รองเขาน่าจะฉลาดคิดเองได้” นางซูหนานเอ่ยปากดุลูกสาวคนเล็ก อาย
เมื่อมาถึงโจวเพ่ยชิงเอาหลักฐานมาให้พร้อมกับที่อยู่บ้านพักของทั้งสองคน“ได้มาแล้วพี่ใหญ่ พี่รอง” เธอส่งรูปถ่ายให้พี่ชายทั้งสองดู พร้อมกับที่อยู่ของบ้านหลังนั้น “คนที่เขาสืบเรื่องนี้ เขาบอกว่าซินหงนั้นลาออกจากงานเมื่อสองเดือนก่อนเพราะชายคนนั้นรับเลี้ยง อีกทั้งชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว เป็นนายช่างของบริษัทรับเหมาที่มาทำงานที่เมืองนี้”“เลว เลวที่สุด” โจวเทียนอี้เอ่ยอย่างแค้นเคืองเขาไม่เคยเห็นใครหน้าด้านอย่างนี้มาก่อน ตัวเองมีลูกและสามีแล้ว ยังทำตัวสำส่อนไปข้องเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาอย่างนี้แต่พอนึกถึงหลี่เหวินเสียน ก็อดที่จะสงสารไม่ได้“เราเอายังไงกันดีพี่ใหญ่ เพ่ยชิง” โจวว่านปิงแค้นเคืองไม่แพ้กัน ก่อนจะเอ่ยถามความเห็นของพี่ชายและน้องสาว“ในนั้นมีเบอร์โทรแนบมาด้วย น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์บ้านภรรยาของนายช่างคนนั้นไหม เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”โจวเพ่ยชิงรับอาสาที่จะโทรไปตามเบอร์โทรนั้นเอง เธอมั่นใจว่าเบอร์โทรที่เขียนไว้ น่าจะเป็นบ้านของชายคนนั้น แต่ถ้าเป็นบ้านเช่าในเมืองที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน เธอคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้“ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ส่วนเจ้ารอง นายไปกับฉัน คราวนี้อาเสียนต้องตัดสินใจแล
หลังจากรถยนต์ภรรยานายช่างเคลื่อนตัวไปแล้ว หลี่เหวินเสียนปรายตามองซินหงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา“ผมจะไปรอที่สำนักงานพลเรือน ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และอย่าคิดไม่ซื่อ เพราะเธอจะได้ไม่คุ้มเสีย ซินหง”จากนั้นหลี่เหวินเสียนและสองพี่น้องบ้านโจวจึงเดินจากมาโดยไม่สนใจชาวบ้านที่สอดสายตาอย่างอยากรู้อยากเห็น“กรี๊ดดดดด ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไม”ซินหงกรีดร้องโวยวาย และถามดินถามลม ว่าทำไมมันต้องจบแบบนี้ ทว่าเมื่อเจอสายตาของชาวบ้าน จึงรีบเข้าบ้านและเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะไปพบกับหลี่เหวินเสียนที่สำนักงานพลเรือนสุดท้ายแล้วหลี่เหวินเสียนหย่ากับอดีตภรรยา โดยไม่คิดฟ้องร้อง แต่ลูกอย่างหลี่อี้หลานต้องอยู่ในความดูแลของเขาเท่านั้น การหย่าในวันนี้จึงจบลงด้วยดี“หากฉันคิดถึงลูก ฉันขอไปเยี่ยมได้ไหม”ซินหงเอ่ยร้องขอด้วยความอ้อนวอน ไม่ใช่เพราะคิดถึงลูก แต่เธอพยายามหาข้ออ้างเพื่อกลับไปบ้านอดีตสามี เพื่อจะขอคืนดีกับเขา แต่ต้องรอจังหวะและเวลาเสียก่อน รอให้เขาหายโกรธเถอะ“อย่าเลย มันไม่เหมาะหรอก เราหย่ากันแล้ว”หลี่เหวินเสียนพูดจบก็เดินจากมาพร้อมสองพี่น้องบ้านโจวซินหงมองตามหลังอย่างขัดใจ อย่าคิดว่าเธอจะยอมแ
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส
ตอนพิเศษ 1 โจวเม่ยเม่ย – ตานเต๋อคงหลังจากผ่านพ้นการปฏิวัติ มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านโจว โดยเฉพาะการตัดสินใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ‘โจวเม่ยเม่ย’ น้องสาวของบ้านนั่นเองการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ ได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอย่างแข็งขัน ทำให้โจวเม่ยเม่ยมีกำลังใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนกระทั่งหลังออกจากห้องสอบ หญิงสาวถึงได้โล่งอก ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอ ทำให้ทุกคนวางใจ และไม่มีใครถามถึงเพื่อไม่เป็นการกดดันน้องสาวไม่นานหลังจากนั้น บ้านโจวก็ได้รับจดหมายตอบรับ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มาถึงหูของโจวเพ่ยชิงก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะมาถึงเสียด้วยซ้ำทำให้เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาถึง ก็พบว่ามีผู้คนมากมายออกมารอรับจดหมายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ยื่นซองเอกสารที่ลงทะเบียนให้แก่หญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้ม“ยินดีด้วยนะ คุณหนูโจว” เมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วจึงเดินหันหลังกลับไป โดยไม่ได้พูดอะไรต่อคำยินดีเป็นเพียงคำมงคลที่บุรุษไปรษณีย์มีให้เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอยู่แล้ว แต่เสียงเฮที่ตามหลังมา ทำให้เขาอมยิ้มมากขึ้น เพราะรู้ว่าจดหมายตอบรับนั้นเป็นข่าวดี“ยินดีกับน้องด้วยนะ”
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการห้าปีต่อมา...เวลานี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โจวเพ่ยชิงแนะนำนายพลข่ายและนายพลซีให้เลือกฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ว่าทั้งสองจะสงสัยว่าโจวเพ่ยชิงรู้ได้อย่างไร ก็ไม่มีใครคิดที่จะถาม เมื่อเลือกฝ่ายที่ถูกต้อง ตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองจึงมั่นคงขึ้น นี่จึงทำให้ สายป่านของโจวเพ่ยชิงยิ่งยาวเข้าไปอีกห้าปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลี่หรือบ้านโจว พี่ใหญ่โจวอย่างโจวเทียนอี้ ไม่รู้ว่าไปพบรักกับคุณหนูโม่ตอนไหน ทว่าเวลานี้ทั้งสองแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและพี่ใหญ่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับเมืองลุยจืองานทางนั้นก็มากพอตัว อีกทั้งโรงงานที่ทำร่วมกับตระกูลโม่ก็มียอดขายเข้ามาไม่น้อย ซึ่งของขวัญวันแต่งงานสำหรับพี่ชายคนนี้โจวเพ่ยชิงมอบทรัพย์สินให้ไม่น้อย รวมถึงโรงงานที่เมืองลุยจือหากพูดถึงพี่ใหญ่แล้ว จะไม่พูดถึงพี่รองอย่างโจวว่านปิงคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าชายที่หวงตัวเองไปหลงรักเซียงเหมยได้ยังไง มารู้ข่าวอีกทีพี่รองของเธอ ก็ให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหญิงสาวคนนี้เสียแล้วแต่ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกับใคร พี่สะใภ้ของเธอจะเป็นคุณหนูหรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา โจ
“นายหญิงเพ่ยเพ่ย!!” หว่านซีห่าวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว“ขอบใจนะที่ยังจำกันได้ คุณซีห่าว”แม้จะโกรธแค้นแค่ไหน ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่วู่วาม เพราะเธอมีเรื่องบางอย่างที่จะสอบถามหว่านซีห่าว“มีใครบ้างไม่รู้จักนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มการค้าเพ่ยเพ่ย ว่าแต่นายหญิงที่เข้ามาเยือนที่นี่ มีเรื่องอะไรจะสอบถามใช่หรือไม่ เพราะการกระทำของพวกเราในวันนี้ น่าจะทำให้นายหญิงต้องการเอาชีวิตพวกเรามากกว่า”“ถูกต้องแล้ว ความแค้นที่ฉันมีต่อคุณ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยด้วยซ้ำ แต่ฉันมีข้อข้องใจบางอย่างที่อยากจะถาม นอกจากคุณที่แฝงตัวเข้าในทีมของพี่ฮั่นตงแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกคุณคงไม่หนีหายและหลุดรอดออกไปได้เช่นนี้จนย้อนกลับมาทำร้ายพี่ฮั่นตงอีกครั้ง”นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ คนสนิทอย่างตานเต๋อคงได้รายงานบางอย่าง และก็ทำให้เธอคิดได้ แล้วเลือกที่จะถามก่อนที่จะจัดการเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ภารกิจที่พวกเราได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ไม่ใช่ฮั่นตง แต่เป็นตัวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย เองต่างหาก”หว่านซีห่าวรู้ว่าอีกฝ่ายกำ