เย็นวันนี้โจวเพ่ยชิงและนางซูหนานทำอาหารหลายอย่าง ส่วนหนึ่งแบ่งไปบ้านโจว และส่วนหนึ่งให้ลูกชายคนรองแบ่งเอาไปบ้านหลี่ เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า โจวเพ่ยชิงจึงเอ่ยเรื่องที่คุยกับนางซูหนานเมื่อตอนบ่ายให้ทุกคนฟัง
“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวานตอนที่ฉันค้าขายในตลาดมืดกลับเจอเข้ากับซินหง เธอมากับผู้ชายคนหนึ่ง ดูสนิทสนมกันไม่น้อย ด้วยสายตาอันแหลมคมของฉัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา นี่แหละคือปัญหาที่ฉันคิดไม่ตกตั้งแต่เมื่อวาน เพราะกลัวสิ่งที่ฉันคิดไม่ใช่เรื่องจริง” ซึ่งคำพูดนี้ไม่ผิดไปจากที่คุยกับนางซูหนานเลยสักประโยคเดียว
“น้องหมายความว่ายังไง เพ่ยชิง”
โจวว่านปิงเอ่ยถามน้องสาวสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่คิดมาก่อนว่าสะใภ้สามบ้านหลี่จะทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างนี้ และถ้าไม่ใช่เรื่องจริงเพ่ยชิงคงไม่กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น
“พี่รอง ไม่ต้องมีความเป็นสุภาพบุรุษแล้ว ฉันอายุแค่สิบห้ายังรู้ความหมายที่พี่สามบอกเลยว่าพี่ซินหงมีคนอื่น” เม่ยเม่ยพูดออกความเห็นขึ้นมาอย่างแก่นเซี้ยว
“เดี๋ยวเถอะ เป็นเด็กเป็นเล็ก ริอ่านออกความคิดเห็นเรื่องนี้ พี่รองเขาน่าจะฉลาดคิดเองได้” นางซูหนานเอ่ยปากดุลูกสาวคนเล็ก อายุแค่นี้ช่างแก่แดดแก่ลมเสียจริง
“แม่ครับ ดูเหมือนแม่จะเข้าข้างผมนะ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโดนแม่ด่าว่าโง่ล่ะ” โจวว่านปิงถามขึ้น ทำไมเขารู้สึกว่ากำลังโดนคนเป็นแม่กั่นแกล้งอีกแล้ว
“แม่ไม่ได้พูดนะอาปิง ลูกพูดเอง” นางซูหนานตอบกลับยิ้มๆ
เมื่อทำอะไรไม่ได้ โจวว่านปิงก็หน้ายู่ขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องสาวและทุกคนต่อ
“หากเรื่องที่เพ่ยชิงเห็นและสิ่งที่พี่คิดเป็นเรื่องจริง แม้ว่ายังไม่มีหลักฐานในมือ แต่พี่คงต้องพูดเตือนอาเสียนเสียหน่อย พี่รู้ว่าอาเสียนแต่งงานเพราะคำสัญญา แต่ความผูกพันย่อมต้องมีไม่น้อย อยู่ที่ว่าอาเสียนจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ไหม สงสารแต่เสี่ยวหลาน เพิ่งจะอายุแค่นี้จะต้องขาดแม่เสียแล้ว”
“นายก็พูดเกินไปเจ้ารอง ไม่แน่ว่าอาเสียนอาจจะยอมให้อภัยซินหง แล้วกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งก็ได้”
พี่ใหญ่ของบ้านเอ่ยขึ้น เขาพอจะรู้นิสัยของอาเสียนดี เจ้านี่อะไรก็ได้ ยิ่งไม่มีความรักให้กัน จึงไม่ใช่ปัญหาที่จะอยู่กันไปแบบนี้
“จริงด้วยพี่ใหญ่ ผมลืมคิดข้อนี้ได้ยังไง ขนาดเมียไม่กลับมาบ้านสองเดือน เขายังไม่คิดจะไปตาม จะมีใครซื่อบื้ออย่างอาเสียนอีกบ้าง” โจวว่านปิงพอนึกถึงเรื่องนี้ก็บ่นให้สหายไม่น้อย
หากเป็นเขา เขาไม่ยอมให้เมียตัวเองเข้าไปทำงานในเมือง แล้วต้องแยกกันอยู่แบบนี้แน่ เรื่องนี้เขายังเคยแซวสหาย แต่ไม่คิดว่าซินหงจะทำแบบนี้จริง ๆ
“ว่าแต่พี่เหวินเสียนซื่อบื้อ แต่พี่รองอย่าลืมนะว่า ตัวพี่เอง คนรักยังไม่มี แต่คนซื่อบื้ออย่างพี่เหวินเสียนกลับแต่งงานจนลูกสามขวบแล้ว” เป็นอีกครั้งที่เม่ยเม่ยเอ่ยแซวพี่ชายคนรองของตัวเอง
“นี่น้องเล็ก ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ แต่ละคำเจ็บเข้าไปถึงกระดูก ไม่ใช่พี่ไม่อยากแต่งงาน แต่เนื้อคู่พี่ยังไม่เกิด” ว่านปิงหันไปดุน้องสาวคนเล็กอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก
“ฮ่า ๆ เนื้อคู่พี่อาจจะเกิดแล้วแต่พี่ไม่รู้ตัว ยุวปัญญาชนหญิงหลายคนมองพี่รองกับพี่ใหญ่ยิ่งกว่าของหวานเสียอีก ระวังเถอะ ชอบเข้าป่าบ่อย ๆ ระวังจะโดนดักตีหัวเข้าข้างทาง”
โจวเม่ยเม่ยพูดไปแล้วก็หัวเราะร่า พี่ชายทั้งสองคนของเธอดีทุกอย่าง แต่เสียเรื่องเดียวคือซื่อบื้อ ไม่อย่างนั้นเธอคงได้พี่สะใภ้นานแล้วล่ะ ไม่รอจนถึงวันนี้หรอก
“เดี๋ยวเถอะ กล้าล้อเลียนพี่เหรอน้องเล็ก เนื้อคู่พี่ยังไม่เกิด ส่วนผู้หญิงพวกนั้นพี่ไม่ได้สนใจ และยังไม่มีใครเข้าตาเลยสักคน”
คราวนี้เป็นโจวเทียนอี้ พี่ชายคนโตพูดขึ้นบ้าง เพราะอยู่ ๆ เขาก็โดนพาดพิงจากการโต้เถียงของน้องชายและน้องสาว
“ก็ใครใช้ให้พี่ทั้งสองคนเลือกมากเอง ไม่งั้นฉันคงได้พี่สะใภ้นานแล้วล่ะ เลือกมากระวังจะได้คนไม่ดี ถ้าเกิดหาแบบไม่ดีมา ต่อให้ฉันจะเรียบร้อย ฉันก็แหกอกพี่สะใภ้ได้เหมือนกัน” เม่ยเม่ยเชิดหน้าตอบพี่ชายทั้งสองคน
“นี่เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” โจวว่านปิงขมวดคิ้วถามกลับไป
เขาทำสีหน้าขยาดน้องสาวตัวเอง หากน้องสาวทั้งสองคนเรียบร้อย ประเทศนี้คงไม่มีคนร้ายกาจแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าเม่ยเม่ย ก่อนหน้านี้จะดูหวาดกลัวเพ่ยชิงมาก แต่กับคนอื่นคือไม่ใช่อย่างที่เห็น เธอพร้อมจะสู้กลับทุกคน หากมีใครเข้ามาอย่างหวังร้าย
“เอาเถอะ อย่ามัวแต่เล่นกันอยู่เลย หากเรื่องที่เพ่ยชิงเล่ามาเป็นเรื่องจริง ฉันและนายควรจะเอ่ยเตือนอาเสียนสักหน่อย ยังไงก็เป็นน้องสามีของเพ่ยชิง ถ้ารู้แล้วไม่เตือน มันจะไม่ดีเอานะสิ”
พี่ใหญ่ของบ้านห้ามทัพน้องทั้งสอง ส่วนคนอื่นได้แต่ยิ้มขำ
พอกลับมาคุยเรื่องของหลี่เหวินเสียน ทุกคนจึงมีสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง
“อย่างนั้นเรื่องนี้พี่ใหญ่กับพี่รองรับหน้าที่นี้ไป ฉันจะเอาหลักฐานมาให้เอง ส่วนเรื่องน้องสามีจะเชื่อหรือไม่ ก็อยู่ที่เขาแล้ว”
“อืม พ่อเห็นด้วยกับความคิดเพ่ยชิง เราช่วยเท่าที่ช่วยได้เถอะ เตือนเท่าที่เตือนได้ ต่อให้ทั้งสองจะถูกจับคลุมถุงชนหรืออะไรก็ตาม อย่างน้อยเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนอาเสียนจะเชื่อหรือไม่ หรือจะตัดสินใจอะไรหลังจากนี้ก็แล้วแต่เขา หากก้าวก่ายมากเกินไป มันจะกลายเป็นเราไปสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวคนอื่น เข้าใจไหม” พ่อโจวที่นั่งฟังอยู่นานกล่าวขึ้นมาบ้าง
“ครับพ่อ / ค่ะพ่อ” สี่พี่น้องรับปากพ่อแข็งขัน
พ่อโจวเองก็ยิ้มกว้างและกินอาหารต่ออย่างมีความสุข แม้ว่าบ้านโจวจะไม่ร่ำรวย แต่เวลานี้คนเป็นพ่อเช่นเขามีความสุขมาก เนื่องจากลูกทั้งสี่รักใคร่กลมเกลียว และเพ่ยชิงเปลี่ยนตัวเองไปในทิศทางที่ดีและรักพี่รักน้องมากขึ้น
เมื่อจบมื้ออาหารแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงพาลูกที่เรียนเสร็จและกินข้าวเย็นเสร็จแล้วกลับบ้านของตนเอง
เธอถามลูกตลอดทางว่าสนุกไหม และชอบการเรียนหรือเปล่า พอสองแฝดตอบว่าชอบ โจวเพ่ยชิงจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน และปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่สดใส
จากนั้นเมื่ออาบน้ำเรียบร้อย โจวเพ่ยชิงจึงพาลูกทั้งสองคนเข้านอน โดยสองแฝดกลับไปนอนห้องตัวเอง เธอห่มผ้าให้ลูกๆ แล้วเดินออกมา
วันต่อมา…
สองพี่น้องบ้านโจวทำงานเกือบครึ่งวันจนถึงเวลาพักจึงได้ตัดสินใจขอคุยกับหลี่เหวินเสียน
“อาเสียน ฉันขอคุยด้วยหน่อย นายสะดวกไหม”
โจวเทียนอี้เรียกหลี่เหวินเสียนไว้ด้วยสีหน้าเคร่งครียด
“พี่เทียนอี้มีอะไรหรือเปล่าครับ ดูสีหน้าเคร่งเครียด นายก็เหมือนกันอาปิง เกิดเรื่องอะไรกันแน่”
หลี่เหวินเสียนเอ่ยถามสองพี่น้องบ้านโจวกลับไปอย่างสงสัย
เพราะทั้งสามมีความสนิทสนมกันไม่น้อย พอเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของพี่น้องบ้านโจว หลี่เหวินเสียนจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจและดูจะตกใจไม่น้อย
“นายไปคุยกับพวกเราที่บ้านโจวหน่อยได้ไหม จะได้กินมื้อเที่ยงพร้อมกัน” โจวเทียนอี้พูดขึ้นอีกครั้ง
“ครับพี่เทียนอี้”
หลี่เหวินเสียนตอบรับและเดินตามสองพี่น้องมายังบ้านโจว ก่อนจะนั่งลงในห้องโถงของบ้าน
“ตอนนี้นายกับหงอี้ยังใช้คำว่าสามีภรรยาหรือไม่”
เทียนอี้เปิดประเด็นด้วยการถามถึงความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยา
“พี่ก็ถามแปลก ถ้าไม่ใช่ผัวเมีย แล้วจะใช้คำไหนล่ะครับ”
หลี่เหวินเสียนขมวดคิ้วถามกลับไปอย่างแปลกใจ
“ตอนนี้ฉันยังไม่มีหลักฐานในมือ รอสองสามวันนี้ถ้าได้มาฉันจะเอาให้นาย และอยู่ที่นายจะตัดสินใจไปดูให้เห็นกับตาไหม”
“..?..” ยิ่งฟังหลี่เหวินเสียนยิ่งไม่เข้าใจ
“มีคนเห็นซินหงเดินคลอเคลียกับชายอื่นอย่างสนิทสนม และน่าจะไม่ใช่แค่คนรู้จัก นายเข้าใจใช่ไหม” โจวเทียนอี้บอกกับสหายของน้องชายเมื่อเห็นสีหน้างวยงงของหลี่เหวินเสียน
หลี่เหวินเสียนคล้ายกับฟ้าผ่ากลางหัว แม้จะไม่รักเต็มหัวใจ แต่ความผูกพันที่อยู่กันมาหลายปี เขามีให้ภรรยาไม่น้อย และซินหงยังมีลูกสาวให้เขา เรื่องนี้จึงทำให้หลี่เหวินเสียนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เมื่อผ่านไปจึงได้สติกลับมาและเอ่ยถามออกไป
“เข้าใจครับ แต่พี่บอกได้ไหมว่าใครเป็นคนไปพบซินหง”
“ฉันบอกนายไม่ได้หรอก แต่ฉันเชื่อถือคนคนนี้ นายจะไม่เชื่อคำพูดฉันก็ได้ นายควรจะคิดและไตร่ตรองให้ดี ฉันไม่ได้มาสร้างความแตกแยกให้นายกับเมียนาย ชาวบ้านเช่นเรา สัตว์เดินตัดหน้ายังต้องหยุด แต่มีคนมาบอก ฉันกับเจ้ารองจะไม่บอกนายก็ไม่ได้ เข้าใจฉันนะ เมื่อไหร่ที่หลักฐานอยู่ในมือ ฉันจะรีบมาส่งข่าวและเอามาให้นายดู กินข้าวเที่ยงเถอะจะได้เวลาไปทำงานภาคบ่ายแล้ว”
โจวเทียนอี้พูดขึ้น โดยไม่ยอมบอกว่าได้ข่าวมาจากเพ่ยชิง
โจวว่านปิงถลึงตาใส่พี่ชาย ตอนแรกตกลงกันดิบดีว่าจะให้เขาพูด แต่ไป ๆ มา ๆ พี่ชายตัวดีกลับพูดเสียเองทั้งหมด แล้วจะเอาเขามานั่งมองตาปริบ ๆ ทำไม
“ฉันเองก็ได้ยินกับหู จิ้งจกทักเรายังแทบไม่ออกจากบ้าน แต่นี่คนเห็น นายเก็บเอาไปคิดก็แล้วกัน จำไว้ว่าเราพี่น้องบ้านโจวหวังดีกับนายเสมอ กินข้าวกันดีกว่าจะได้มีเวลาเอนหลัง”
เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ต่อจากนี้ก็อยู่ที่หลักฐานและการตัดสินใจของหลี่เหวินเสียนแล้วล่ะว่าจะเอายังไง
หลังจากเลิกงาน หลี่เหวินเสียนไม่ออกมากินข้าวเย็น มัวแต่ครุ่นคิดเรื่องที่สองพี่น้องบ้านโจวมาคุยกับเขา โดยปกติแล้วไม่ว่าใครก็ตามในบ้านโจว มักจะไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่การที่ทั้งสองเข้ามาคุยและเตือนเขาย่อมมีความเป็นไปได้ ที่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง แม้เขาจะยังไม่เชื่อหมดใจ แต่อดที่จะคิดตามไม่ได้เช่นกัน
สองเดือนมานี้ซินหงไม่เคยกลับบ้านมาเลยสักครั้ง ไม่มาเขาไม่ว่า แต่ลูกเพิ่งสามขวบ ทำไมคนเป็นแม่ไม่คิดถึงลูกสาวบ้าง
หลี่เหวินเสียนนอนกอดลูกสาวด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก หากเป็นเรื่องจริงเขาจะทำยังไง ลูกจะอยู่โดยไม่มีแม่ได้ไหม
ความกังวลเกาะกุมจิตใจ สุดท้ายก็แพ้ความอ่อนเพลียและหลับไปในที่สุด
โจวเพ่ยชิงใช้เวลารอหลักฐานไม่นาน เพียงแค่สองวันเท่านั้นก็ได้หลักฐานและที่อยู่ของซินหงและชายคนนั้น
“ได้หลักฐานมาแล้วครับนายหญิง ชายผู้นั้นเป็นนายช่างของบริษัทรับเหมา เขามาสร้างโรงงานยาสูบของรัฐทำให้ทั้งสองเจอกัน ฝ่ายชายเองก็มีภรรยาและลูกแล้ว ส่วนนี่ที่อยู่ของทั้งสอง ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะลาออกจากงานแล้วครับ”
โจวเพ่ยชิงรับเอกสารหลักฐานมาตรวจดู และอ่านข้อมูลต่างๆ ทำให้รู้ว่าเวลานี้ซินหงไม่ได้ทำงานในโรงงานแล้ว ชายคนนั้นรับเลี้ยงเธอ โดยต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว แต่เพราะความมักมากและไม่รู้จักพอของฝ่ายชาย และความรักสะดวกสบายของฝ่ายหญิง ทำให้ทั้งสองทำเรื่องผิดบาปลงไป
“อืม ขอบคุณมากพี่ อย่าลืมจัดการค่าใช้จ่ายคนทำงานด้วย จริงสิ ฉันอยากเลี้ยงคนสักกลุ่มหนึ่ง คอยทำงานพวกนี้ให้ รวมถึงคนส่งของ อีกไม่กี่วันพี่เต๋อคงน่าจะมีสัญญาณตอบกลับเรื่องสัญญา วันนี้ฉันขอกลับก่อน ต้องรีบเอาหลักฐานไปให้พี่ใหญ่กับพี่รองทั้งสองจะได้รีบไปบอกน้องสามี”
คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็แปลกใจและสงสัย ที่นายหญิงไม่บอกเรื่องนี้กับน้องชายสามีด้วยตนเอง แต่อกผ่านพี่ชายทั้งสอง
“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยกันหรอก ฉันมันก็แค่ผู้หญิงที่ร้ายกาจประจำหมู่บ้าน ฉันไม่ใช่คนดีอย่างพวกพี่คิด ฉันกลับก่อนละ”
ถึงเธอจะไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่คนเลว แต่เมื่อไหร่ที่มีใครคิดทำร้ายคนที่เธอรักหรือคนในครอบครัว เธอก็พร้อมที่จะเล่นงานกลับเช่นกัน
ทันทีที่ได้หลักฐาน โจวเพ่ยชิงจึงรีบกลับเข้าหมู่บ้านเพื่อแจ้งเรื่องนี้กับพี่ชายทั้งสองคน
เมื่อมาถึงโจวเพ่ยชิงเอาหลักฐานมาให้พร้อมกับที่อยู่บ้านพักของทั้งสองคน“ได้มาแล้วพี่ใหญ่ พี่รอง” เธอส่งรูปถ่ายให้พี่ชายทั้งสองดู พร้อมกับที่อยู่ของบ้านหลังนั้น “คนที่เขาสืบเรื่องนี้ เขาบอกว่าซินหงนั้นลาออกจากงานเมื่อสองเดือนก่อนเพราะชายคนนั้นรับเลี้ยง อีกทั้งชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว เป็นนายช่างของบริษัทรับเหมาที่มาทำงานที่เมืองนี้”“เลว เลวที่สุด” โจวเทียนอี้เอ่ยอย่างแค้นเคืองเขาไม่เคยเห็นใครหน้าด้านอย่างนี้มาก่อน ตัวเองมีลูกและสามีแล้ว ยังทำตัวสำส่อนไปข้องเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาอย่างนี้แต่พอนึกถึงหลี่เหวินเสียน ก็อดที่จะสงสารไม่ได้“เราเอายังไงกันดีพี่ใหญ่ เพ่ยชิง” โจวว่านปิงแค้นเคืองไม่แพ้กัน ก่อนจะเอ่ยถามความเห็นของพี่ชายและน้องสาว“ในนั้นมีเบอร์โทรแนบมาด้วย น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์บ้านภรรยาของนายช่างคนนั้นไหม เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”โจวเพ่ยชิงรับอาสาที่จะโทรไปตามเบอร์โทรนั้นเอง เธอมั่นใจว่าเบอร์โทรที่เขียนไว้ น่าจะเป็นบ้านของชายคนนั้น แต่ถ้าเป็นบ้านเช่าในเมืองที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน เธอคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้“ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ส่วนเจ้ารอง นายไปกับฉัน คราวนี้อาเสียนต้องตัดสินใจแล
หลังจากรถยนต์ภรรยานายช่างเคลื่อนตัวไปแล้ว หลี่เหวินเสียนปรายตามองซินหงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา“ผมจะไปรอที่สำนักงานพลเรือน ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และอย่าคิดไม่ซื่อ เพราะเธอจะได้ไม่คุ้มเสีย ซินหง”จากนั้นหลี่เหวินเสียนและสองพี่น้องบ้านโจวจึงเดินจากมาโดยไม่สนใจชาวบ้านที่สอดสายตาอย่างอยากรู้อยากเห็น“กรี๊ดดดดด ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไม”ซินหงกรีดร้องโวยวาย และถามดินถามลม ว่าทำไมมันต้องจบแบบนี้ ทว่าเมื่อเจอสายตาของชาวบ้าน จึงรีบเข้าบ้านและเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะไปพบกับหลี่เหวินเสียนที่สำนักงานพลเรือนสุดท้ายแล้วหลี่เหวินเสียนหย่ากับอดีตภรรยา โดยไม่คิดฟ้องร้อง แต่ลูกอย่างหลี่อี้หลานต้องอยู่ในความดูแลของเขาเท่านั้น การหย่าในวันนี้จึงจบลงด้วยดี“หากฉันคิดถึงลูก ฉันขอไปเยี่ยมได้ไหม”ซินหงเอ่ยร้องขอด้วยความอ้อนวอน ไม่ใช่เพราะคิดถึงลูก แต่เธอพยายามหาข้ออ้างเพื่อกลับไปบ้านอดีตสามี เพื่อจะขอคืนดีกับเขา แต่ต้องรอจังหวะและเวลาเสียก่อน รอให้เขาหายโกรธเถอะ“อย่าเลย มันไม่เหมาะหรอก เราหย่ากันแล้ว”หลี่เหวินเสียนพูดจบก็เดินจากมาพร้อมสองพี่น้องบ้านโจวซินหงมองตามหลังอย่างขัดใจ อย่าคิดว่าเธอจะยอมแ
ย้อนกลับมาทางด้านหลี่ฮั่นตงเวลานี้ร่างกายของเขาเป็นปกติแล้ว และอีกไม่นานเขาจะเดินทางกลับบ้าน ทว่าเวลานี้กลับมีสหายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักของชายหนุ่ม พร้อมกับกล่องพัสดุหนึ่งใบ“นายกองหลี่ มีพัสดุส่งมาให้ เซ็นรับด้วยครับ”หลี่ฮั่นตงแม้จะงงงวยกับกล่องพัสดุกล่องนี้ แต่ก็ยอมเซ็นรับแต่โดยดี ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เตียงนอนของตน โดยมีสายตาของสหายทหารคนอื่น ๆ มองตามอยากรู้อยากเห็นพอเห็นชื่อคนส่งเท่านั้น ชายหนุ่มกลับแปลกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่คิดว่าชื่อผู้ส่งจะเป็นภรรยาของตนจากนั้นจึงหยิบมีดพกที่เหน็บข้างเอวออกมาแกะกล่องพัสดุ เมื่อกล่องเปิดออกกลิ่นขนมและอาหารฟุ้งกระจายไปทั่ว“ฮั่นตง ใครส่งของให้นาย กล่องใหญ่มาก”สหายสนิทอย่างหว่านซีห่าวเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นของด้านใน“เมีย” นี่เป็นคำตอบเดียวที่ได้กลับมาหว่านซีห่าวกลับไม่สนใจปฏิกิริยาของสหาย เนื่องจากรู้ว่าสหายผู้นี้มักจะมีสีหน้าและท่าทางเย็นชาอย่างนี้เสมอ จึงไม่คิดจะถือสา แต่เขากำลังสนใจสิ่งที่อยู่ในกล่องพัสดุมากกว่าหลี่ฮั่นตงหยิบของออกมาดูแต่ละชิ้น ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับเขาไม่น้อย ในกล่องนี้ล้วนเป็นของกินแทบทั
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านมาสองสัปดาห์ ยอดขายร้านเพ่ยเพ่ยมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง อีกทั้งเวลานี้ตานเต๋อคงยังติดต่อทำการค้ากับร้านอาหารของรัฐอีกหลายแห่ง ทำให้แต่ละคนแทบไม่มีเวลาพัก“เวลานี้คนงานของเราแทบจะไม่พอแล้วนะพี่เต๋อคง เราน่าจะรับคนมาเพิ่ม” โจวเพ่ยชิงดูบัญชีอยู่หลังร้านเอ่ยขึ้นมาเธอมองว่าคนงานมีแค่นี้น่าจะไม่เพียงพอแล้ว และเธอต้องการขยายร้านค้าอีกด้วย“ครับนายหญิง เวลานี้คนงานเราแทบไม่พอจริง ๆ”ตานเต๋อคงเห็นด้วยกับนายหญิง เรื่องที่จะรับคนงานเพิ่ม เวลาที่เขาออกไปส่งของ ที่ร้านจะมีเพียงสามคน ซึ่งไม่เพียงพอและยิ่งถ้าเมื่อไหร่ลูกค้าที่มาสั่งซื้อของ แล้วให้ไปส่งสินค้าที่บ้าน หมายความว่าที่ร้านจะเหลือเพียงสองคน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดูแลร้าน เนื่องจากลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก“ถ้าอย่างนั้นพี่ติดป้ายรับสมัครคนงานสักสี่คน ฉันต้องการขยายร้านเพ่ยเพ่ยในกลุ่มการค้าตลาดมืด ส่วนพี่ทั้งสามคนนั้น ให้เขาดูแลและคุมร้านค้าที่จะเปิดใหม่ พี่คิดว่าอย่างไร”หญิงสาวคล้ายจะขอความคิดเห็น เธอตั้งใจจะขยายร้านค้าในกลุ่มตลาดมืด ส่วนจะขยายไปต่างเมืองหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้เธอยังไม่มีรถยนต์หรือรถบรรทุก
ทันทีที่เหวินเทาเดินออกมา ทั้งสามกอดกันตัวกลมด้วยความดีใจ ที่เวลานี้รอดตายจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่แล้ว“อาข่าย ตั้งใจทำงานให้ดีนะลูก นายหญิงดีกับเราขนาดนี้อย่าทำอะไรให้นายหญิงเดือดร้อนเด็ดขาดนะ อีกหน่อยพวกเราก็เก็บเงินส่งอาหัวเล่าเรียนได้เหมือนเด็กคนอื่นแล้ว”นางหว่ายเจียพูดกับลูกชาย เธอไม่คิดเหมือนกันว่าหญิงสาวในวันนั้น จะเป็นผู้มีพระคุณของเธอในวันนี้อีกครั้ง ไม่เพียงลูกชายได้ทำงาน หญิงแก่เช่นเธอก็มีงานให้ทำเหมือนกัน“ครับแม่ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงาน จะเก็บเงินเพื่อให้พวกเราสบาย แล้วจะไม่หักหลังหรือคิดร้ายต่อนายหญิงเด็ดขาด”“ดีแล้วลูก เราต้องรู้จักบุญคุณคน” นางบอกสอนลูกชายห้“ครับ ถึงผมไม่รู้ว่านายหญิงเป็นใคร แต่เธอคือผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา ผมจะตอบแทนบุญคุณนายหญิงแน่นอนครับ ส่วนเรื่องบ้านนั้น แม่ปล่อยวางเถอะครับ วันหนึ่งกฎแห่งกรรมจะมาถึงคนพวกนั้นเอง” หลังจากนี้โกวข่ายคิดว่าตนเองนั้นมีแค่แม่กับลูกเท่านั้นส่วนโจวเพ่ยชิงเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว หญิงสาวก็ทำกิจวัตรประจำวันปกติ ก่อนจะไปกินอาหารมื้อเย็นที่บ้านโจวเช่นเคย และรับลูกทั้งสองคนกลับมานอนบ้านด้วยกันเช้าวันต่อมา...โจวเพ่ยชิงยังคงปั่
ทันทีที่กลับมาจากคฤหาสน์ของนายพลอาวุโสซี โจวเพ่ยชิงรีบตรงมายังโกดัง หญิงสาวตัดสินใจเข้ามิติและดูร้านค้าที่มีอยู่ส่วนมากวัตถุดิบที่ท่านนายพลสั่งคือเนื้อสัตว์และข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงพืชผักต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบอาหาร ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนมีในห้างสรรพสินค้าทั้งนั้นปัญหาของเธอคือขับรถไม่เป็นนี่สิ แล้วเธอจะทดสอบได้อย่างไร ว่าสมรรถภาพของรถคันนี้เป็นอย่างไรเมื่อทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวจึงมาดูด้านหลังรถ ไม่รู้เพราะว่าอุณภูมิในมิติทำให้อาหารไม่เน่าเสีย หรือเพราะความเย็นจากตู้ขนส่งของรถกันแน่“ต่อไปคงต้องหัดขับรถเองซะแล้วละมั้ง เฮ้อ…”หญิงสาวบ่นกับตัวเอง ก่อนจะรีบจัดการเอาของทุกอย่างมาเติมในโกดังและนำรถกระบะตู้แช่เย็น ออกมาจอดเรียงรายไว้ ส่วนรถยนต์โจวเพ่ยชิงรู้สึกว่าดูสมัยใหม่จนเกินไป เรื่องนี้คงต้องรบกวนนายพลอาวุโสซีจัดการให้ดีกว่าเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเดินไปยังร้านเพ่ยเพ่ย เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการค้ากับนายพลอาวุโสให้ตานเต๋อคงและคนอื่นรับรู้ โจวเพ่ยชิงกลับมาถึงร้าน จึงพยักหน้าให้ตานเต๋อคงเดินตามเข้ามา เธอต้องการแจ้งข่าวเรื่องทำการค้ากับนายพลอาวุโสซีให้รับรู้ และอยากถามด้วยว่
แม่หลี่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน พอเห็นแล้วเป็นลูกสะใภ้คนรองจึงเรียกไว้ “มีอะไรหรือเพ่งชิง ทำไมไม่เข้ามาในบ้านก่อน”“ฉันเพิ่งกลับมาจากในเมืองค่ะแม่ ไปส่งเม่ยเม่ยมา เลยแวะซื้ออาหารเข้าบ้าน นี่ส่วนของบ้านหลี่ค่ะแม่” หญิงสาวหันมาตอบด้วยท่าทางนอบน้อม ต่อให้ยังไงคนตรงหน้าก็คือแม่สามีของตนเอง“ซื้อมาทำไมมันสิ้นเปลือง อีกหน่อยสองแฝดก็ต้องร่ำเรียนแล้ว เก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมลูกเถอะ”แม่หลี่แม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้นึกถึงตนเองและครอบครัว แต่ไม่วายที่จะตำหนิเรื่องการใช้เงิน เธอกลัวว่าหลานฝาแฝดทั้งสอง จะไม่ได้ร่ำเรียนเหมือนลูกหลานบ้านอื่น“ที่ผ่านมาฉันเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยทำตัวสมเป็นลูกสะใภ้ แม่อย่าห้ามฉันเลยนะ นี่เป็นลูกอมและขนมของเด็ก ๆ ฝากให้หลาน ด้วยนะคะ ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะแม่ ขาดเหลืออะไรแม่สามารถบอกฉันได้เสมอ อย่าลืมว่าเวลานี้ฉันยังเป็นสะใภ้รองของบ้านหลี่”แม่หลี่อดน้ำตาซึมไม่ได้ ที่ลูกสะใภ้คนนี้ปรับปรุงตัวเองไปในทิศทางที่ดี หวังว่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เกิดกับลูกชายคนที่สาม เป็นลูกสะใภ้คนนี้ที่สืบข่าวและตักเตือนเธอจึงเอ่ยขอบคุณ“ขอบใจมากนะสะใภ้รอง ส่วนเรื่องเจ้าสามและสะ
“ไม่คิดว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยจะอายุน้อย แต่กลับมีใจนักเลงรู้จักหลบรู้จักหลีกในเกมธุรกิจ” นายพลอาวุโสซีมองตามหลังนายหญิงเพ่ยเพ่ยแล้วพูดขึ้นมากับลูกชาย“แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอทำการค้า คนครอบครัวยังไม่รู้นะครับพ่อ อีกทั้งตัวเธอเองเป็นลูกสะใภ้คนรองบ้านหลี่ ไม่รู้ว่าสามีทหารของเธอจะรู้ไหม ว่าภรรยาแอบทำการค้า”ผู้กองคล้ายกับหัวเราะเล็กน้อย คนหนึ่งเป็นทหารที่อยู่ในกฎระเบียบ คนหนึ่งเป็นนายหญิงเพ่ยเพ่ยที่แทบจะก้าวมาเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลของเมืองนี้แล้ว ผู้เป็นสามีรู้เข้าจะทำอย่างไร“เอาเถอะปิดตาไว้บ้าง ขนาดเราเองยังทำการค้าเลย พ่อถึงบอกยังไงล่ะ ว่าหญิงสาวคนนี้มีดีกว่าที่เราคิด การที่เธอปิดบังตัวตนโดยให้คนสนิทออกหน้าแทน นั่นก็เพราะความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว รวมถึงหน้าที่การงานของสามี พ่อเชื่อนะ วันหนึ่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยคนนี้จะเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลที่สุด ไม่เพียงแค่ที่เมืองนี้เท่านั้น แต่ขยายอิทธิพลไปแทบทุกมณฑล ไม่เชื่อก็ลองดูว่ามันจะเป็นอย่างที่พ่อพูดไหม” นายพลอาวุโสซีพูดกับลูกชาย มั่นใจว่าในเวลาอีกไม่นานชื่อของนายหญิงเพ่ยเพ่ยต้องขยายอิทธิพลไปแทบทุกมณฑลผู้กองพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผู้
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส
ตอนพิเศษ 1 โจวเม่ยเม่ย – ตานเต๋อคงหลังจากผ่านพ้นการปฏิวัติ มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านโจว โดยเฉพาะการตัดสินใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ‘โจวเม่ยเม่ย’ น้องสาวของบ้านนั่นเองการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ ได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอย่างแข็งขัน ทำให้โจวเม่ยเม่ยมีกำลังใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนกระทั่งหลังออกจากห้องสอบ หญิงสาวถึงได้โล่งอก ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอ ทำให้ทุกคนวางใจ และไม่มีใครถามถึงเพื่อไม่เป็นการกดดันน้องสาวไม่นานหลังจากนั้น บ้านโจวก็ได้รับจดหมายตอบรับ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มาถึงหูของโจวเพ่ยชิงก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะมาถึงเสียด้วยซ้ำทำให้เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาถึง ก็พบว่ามีผู้คนมากมายออกมารอรับจดหมายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ยื่นซองเอกสารที่ลงทะเบียนให้แก่หญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้ม“ยินดีด้วยนะ คุณหนูโจว” เมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วจึงเดินหันหลังกลับไป โดยไม่ได้พูดอะไรต่อคำยินดีเป็นเพียงคำมงคลที่บุรุษไปรษณีย์มีให้เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอยู่แล้ว แต่เสียงเฮที่ตามหลังมา ทำให้เขาอมยิ้มมากขึ้น เพราะรู้ว่าจดหมายตอบรับนั้นเป็นข่าวดี“ยินดีกับน้องด้วยนะ”
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการห้าปีต่อมา...เวลานี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โจวเพ่ยชิงแนะนำนายพลข่ายและนายพลซีให้เลือกฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ว่าทั้งสองจะสงสัยว่าโจวเพ่ยชิงรู้ได้อย่างไร ก็ไม่มีใครคิดที่จะถาม เมื่อเลือกฝ่ายที่ถูกต้อง ตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองจึงมั่นคงขึ้น นี่จึงทำให้ สายป่านของโจวเพ่ยชิงยิ่งยาวเข้าไปอีกห้าปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลี่หรือบ้านโจว พี่ใหญ่โจวอย่างโจวเทียนอี้ ไม่รู้ว่าไปพบรักกับคุณหนูโม่ตอนไหน ทว่าเวลานี้ทั้งสองแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและพี่ใหญ่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับเมืองลุยจืองานทางนั้นก็มากพอตัว อีกทั้งโรงงานที่ทำร่วมกับตระกูลโม่ก็มียอดขายเข้ามาไม่น้อย ซึ่งของขวัญวันแต่งงานสำหรับพี่ชายคนนี้โจวเพ่ยชิงมอบทรัพย์สินให้ไม่น้อย รวมถึงโรงงานที่เมืองลุยจือหากพูดถึงพี่ใหญ่แล้ว จะไม่พูดถึงพี่รองอย่างโจวว่านปิงคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าชายที่หวงตัวเองไปหลงรักเซียงเหมยได้ยังไง มารู้ข่าวอีกทีพี่รองของเธอ ก็ให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหญิงสาวคนนี้เสียแล้วแต่ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกับใคร พี่สะใภ้ของเธอจะเป็นคุณหนูหรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา โจ
“นายหญิงเพ่ยเพ่ย!!” หว่านซีห่าวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว“ขอบใจนะที่ยังจำกันได้ คุณซีห่าว”แม้จะโกรธแค้นแค่ไหน ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่วู่วาม เพราะเธอมีเรื่องบางอย่างที่จะสอบถามหว่านซีห่าว“มีใครบ้างไม่รู้จักนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มการค้าเพ่ยเพ่ย ว่าแต่นายหญิงที่เข้ามาเยือนที่นี่ มีเรื่องอะไรจะสอบถามใช่หรือไม่ เพราะการกระทำของพวกเราในวันนี้ น่าจะทำให้นายหญิงต้องการเอาชีวิตพวกเรามากกว่า”“ถูกต้องแล้ว ความแค้นที่ฉันมีต่อคุณ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยด้วยซ้ำ แต่ฉันมีข้อข้องใจบางอย่างที่อยากจะถาม นอกจากคุณที่แฝงตัวเข้าในทีมของพี่ฮั่นตงแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกคุณคงไม่หนีหายและหลุดรอดออกไปได้เช่นนี้จนย้อนกลับมาทำร้ายพี่ฮั่นตงอีกครั้ง”นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ คนสนิทอย่างตานเต๋อคงได้รายงานบางอย่าง และก็ทำให้เธอคิดได้ แล้วเลือกที่จะถามก่อนที่จะจัดการเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ภารกิจที่พวกเราได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ไม่ใช่ฮั่นตง แต่เป็นตัวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย เองต่างหาก”หว่านซีห่าวรู้ว่าอีกฝ่ายกำ