“อ้าวกลับมาแล้วเหรอเพ่ยชิง” นางซูหนานเอ่ยถามลูกเลี้ยง
ต่อให้จะไม่ใช่แม้ที่แท้จริงแต่เวลานี้โจวเพ่ยชิงดูแลเธอและบุตรสาวไม่ต่างจากครอบครัวเดียวกัน แม้ที่ผ่านมาต่อให้โจวเม่ยเม่ยจะเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่ก็ต่างแม่ โจวเพ่ยชิงจึงมักจะจิกกัดและพูดจากระทบกระทั่งอยู่ตลอดเวลา
“ค่ะแม่ แล้วนี่แม่ป่วยหรือเปล่าคะถึงไม่ไปทำงาน แม่ไปโรงพยาบาลไหม”
“อย่าเลยลูก วันนี้แม่ปวดหลังเลยไม่ทำงาน ให้สามคนพ่อลูกไปกันเอง”
นางซูหนานไม่ได้ป่วยอะไรหรอก เพียงแค่เมื่อวานต้องก้มหน้าตลอดเพื่อดำนา อาการปวดหลังเลยถามหา วันนี้เลยขอลาหยุดก็แค่นั้น ไม่คิดว่าจะสร้างความกังวลให้กับลูกสาวคนโต
“เอาอย่างนี้ไหมแม่ ต่อไปแม่ไม่ต้องทำงานแล้ว บ้านโจวมีคนทำตั้งสามคน หัวหน้าคอมมูนคงไม่ว่าอะไร แม่มาเลี้ยงเด็ก ๆ ดีกว่า หลังจากนี้ฉันก็คงไม่ค่อยว่างช่วงเช้า อีกทั้งเวลาที่พี่ใหญ่หลุนมาสอนหนังสือพวกเด็ก ๆ จะได้ไม่มีคำครหา เรื่องอาหารการกินของบ้านโจว เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”
“แล้วเพ่ยชิงจะไปไหนทุกเช้าล่ะลูก แม่ว่าวันสองวันแม่ก็หายป่วยแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดหยุดงานหรอก ส่วนเรื่องอาหาร จะให้บ้านโจวไปรบกวนลูกได้ยังไงกัน อย่าลืมว่าเวลานี้เพ่ยชิงเองก็มีครอบครัวแล้ว อย่าให้ใครมาตำหนิได้นะลูก”
โจวเพ่ยชิงหลับตาพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่เธอแอบเข้าไปค้าขายในตลาดมืดให้แม่ฟัง แต่ยังคงปิดบังเรื่องการค้า ที่เธอให้ตานเต๋อคงออกหน้า เพราะไม่อยากให้แม่และทุกคนเป็นห่วง หากทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เธอจะต้องบอกทุกคนแน่นอน แต่ต้องรอให้ถึงวันนั้นเสียก่อน
“ตายแล้ว! ทำแบบนี้มันเสี่ยงอันตรายนะลูก เกิดพวกทหารแดงหรือใครรู้เข้า ลูกจะเป็นอันตรายนะเพ่ยชิง”
นางซูหนานตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อรู้ว่าลูกเลี้ยงที่เธอรักไม่ต่างจากเลือดในอก เข้าไปค้าขายในตลาดมืดอย่างนั้น ต่อให้ชาวบ้านส่วนมากจะแอบไปขายของก็ตาม แต่โจวเพ่ยชิงเป็นเพียงหญิงสาวเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร
“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ อย่าลืมความร้ายกาจที่ฉันเคยมีสิ ยังไงฉันก็เอาตัวรอดได้แน่ แต่แม่สัญญาได้ไหมว่า จะหยุดงานไปช่วยเลี้ยงหลานช่วงเช้า ฉันจะหาข้ออ้างว่าไปส่งเม่ยเม่ยไปเรียน เวลานั้นสักชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วฉันจะรีบกลับ”
หญิงสาวรีบพูดให้แม่เข้าใจ พอเห็นนางซูหนานมีท่าทีสงบนิ่ง เธอจึงพูดประโยคต่อมา
“เรื่องระหว่างฉันกับพี่ฮั่นตง ยังไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบใด วันนี้ฉันส่งของให้เขาด้วยนะ ได้ข่าวว่าอาหารขาดแคลนหลายพื้นที่ ฉันคิดว่าพี่ฮั่นตงคงไม่ได้กินดีอยู่ดี เลยซื้ออาหารแห้งและของใช้จำเป็นส่งไปให้”
“ดีแล้วล่ะลูก ฮั่นตงจะต้องเห็นความตั้งใจดีของเพ่ยชิงแน่”
“ฉันไม่หวังว่าเขาจะซาบซึ้งใจและให้อภัยกับสิ่งที่ฉันได้กระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรอกค่ะแม่ฉันแค่อยากทำหน้าที่ภรรยาบ้างก็เท่านั้น ส่วนเรื่องจะหย่าร้างหรือไม่ ฉันยังยืนยันคำเดิม หากพี่ฮั่นตงอยากมีชีวิตของตัวเอง ฉันยินดีที่จะหย่าให้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันต้องทำงานหาเงิน โดยการแอบเข้าไปขายของในตลาดมืด เพราะหากมีการหย่าเกิดขึ้นจริง ลูกทั้งสองต้องอยู่ในความดูแลของฉัน”
พอฟังเหตุผลมากมายของลูก นางซูหนานจึงพยักหน้ารับ และตัดสินใจว่าจะช่วยลูกเลี้ยงหลาน
“ตกลง แม่จะเลี้ยงหลานให้เอง ส่วนเรื่องอาหาร เพ่ยชิงไม่ต้องดูแลบ้านโจวหรือให้อะไรแม่หรอก ยังไงอาเฉินและซานซานก็หลานแม่เหมือนกัน แม่ช่วยเลี้ยงได้ อีกอย่างแรงงานบ้านโจวมีตั้งสามคน ส่วนแบ่งและอาหารที่ได้มาก็เพียงพอต่อครอบครัวอยู่”
นางซูหนานพูดความจริงจากใจ เพราะลูกสาวแต่งงานออกไปแล้ว ก็จะต้องมีหน้าที่ดูแลครอบครัวตัวเองถึงจะถูก
“ฉันเข้าใจ แต่ให้ฉันได้ทำหน้าที่ลูกบ้าง แม่รู้ไหมว่าสองครั้งที่ฉันแอบไปขายของมา กำไรที่ได้มานั้นเกือบสามร้อยหยวน วันนี้ฉันเลยซื้อจักรยานมาด้วยหนึ่งคัน เพื่อสะดวกต่อการทำงาน อีกทั้งยังไปส่งเม่ยเม่ยที่โรงเรียนได้ด้วย”
“หา!! สามร้อยหยวน” นางซูหนานตกใจยิ่งกว่ารู้เรื่องที่โจวเพ่ยชิงเข้าไปขายของในตลาดมืดเสียอีก แต่แววตาของเธอกลับไม่มีความละโมบ มีแต่ความเป็นห่วงเท่านั้น
พอเห็นอาการของแม่เลี้ยง หญิงสาวจึงยิ้มกว้างออกมา และโทษตัวเอง ว่าแม่เลี้ยงไม่มีความละโมบนอกจากความรักและเป็นห่วงที่แท้จริงมอบให้เธอและครอบครัว ทำไมชาติที่แล้วและก่อนหน้านี้ เธอจึงจงเกลียดจงชังแม่เลี้ยงคนนี้นัก ทั้ง ๆ ที่แม่เลี้ยงไม่ได้แย่งชิงพ่อของเธอมา เพียงแค่แต่งเข้ามาหลังจากแม่ของเธอตายไป
“อย่างนั้นก็เก็บเงินไว้ อย่าใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่มีใครรู้หรอกนะ ว่าอนาคตจะเป็นยังไงและจะเกิดอะไรขึ้น อาเฉินและ
ซานซานยังต้องเรียนอีกเป็นสิบปีกว่าจะดูแลตัวเองได้ หาเงินได้แล้วก็เก็บหอมรอมริบ เข้าใจไหมลูก”
นางซูหนานไม่วายสั่งสอนให้เก็บหอมรอมริบไว้ แม้จะหาเงินได้ง่าย แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่ชีวิตลูกและหลานมีกินมีใช้ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว
ตลอดช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็น โจวเพ่ยชิงยังคงอยู่บ้านโจว เมื่อพ่อและพี่ชายกลับมา เธอจึงตัดสินใจบอกกล่าวเรื่องค้าขายในตลาดมืด เหมือนกับบอกนางซูหนานก่อนหน้านี้ โดยมีเม่ยเม่ยเป็นลูกคู่ เพราะเม่ยเม่ยเองต้องการหารายได้ โดยการรับสินค้าต่อจากพี่สาวเช่นกัน
แม้ทุกคนจะตกใจและไม่เห็นด้วยในตอนแรก แต่โจวเพ่ยชิงและโจวเม่ยเม่ยยืนยัน ว่าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทำให้ไม่มีใครคัดค้านอีก แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งพ่อและพี่ชายทั้งสองคน ไม่วายกำชับให้ดูแลตัวเองดี ๆ
หลังจากจบมื้อเย็น โจวเพ่ยชิงจึงพาลูกทั้งสองขี่จักรยานกลับบ้าน โดยบอกน้องสาวว่าพรุ่งนี้มาเจอกันที่บ้าน เพราะจะได้ไปส่งโรงเรียน
ย้อนกลับมาทางตานเต๋อคง
หลังจากที่ออกมาจากโกดังได้พักใหญ่ เขาจึงไปหากลุ่มสหายและชวนมาทำงานด้วยกัน แม้จะคุ้นเคยกันไม่น้อย แต่ทุกคนไม่คิดว่าตานเต๋อคงจะมีคนกล้าจ้างทำงาน โดยให้เป็นคนดูแลร้านค้า เพราะก่อนหน้านี้ สหายคนนี้ยังหาเงินเพื่อจ่ายดอกเบี้ยอยู่เลย
“หากนายทั้งสามคนไม่เชื่อสิ่งที่ฉันพูด ฉันจะพาไปดูร้านและโกดังตกลงไหม”
“ไม่ใช่เราไม่เชื่อใจนายนะอาคง แต่นายรู้ว่าพวกเรามีประวัติไม่ดี แม้จะไม่เคยลักขโมยก็ตาม แต่คนจรแบบพวกเรา ใครกันจะกล้าจ้างทำงาน” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“นั่นสิ ใครจะมารับคนจรแบบพวกเรากัน นายอย่ามาให้ความหวังพวกเราดีกว่า” เพื่อนอีกคนสนับสนุนทันที
“เรื่องนี้ฉันเข้าใจพวกนาย เวลานี้ฉันจะพานายทั้งสามคนไปดูร้านและโกดัง ส่วนจะตัดสินใจทำงานหรือไม่ ค่อยตอบฉันทีหลัง ถ้าเกิดตัดสินใจว่าจะทำงานด้วยกัน ฉันจะขอนายหญิงให้เช่าห้องพักให้พวกนายอยู่ จะได้ไม่ต้องค่ำไหนนอนนั่นแบบตอนนี้
แต่พวกนายเข้าใจใช่ไหม ว่าการค้าในตลาดมืดย่อมเสี่ยงไม่น้อย วันใดเกิดทหารแดงหรือเจ้าหน้าที่บุกเข้าไป จะต้องไม่พูดว่าใครคือเจ้านายที่แท้จริง”
เรื่องนี้ชายหนุ่มเชื่อว่าสหายทั้งสามคนไม่มีทางหักหลังแน่ ต่อให้จะพบเจอกับนายหญิงเพ่ยเพ่ยแล้วก็ตาม
“เรื่องนี้นายน่าจะรู้นิสัยพวกฉันทั้งสามคนนะอาคง หากว่างานดี เจ้านายดี ฉันไม่มีวันหักหลังแน่นอน”
“อืม ฉันด้วย”
“ฉันก็เช่นกัน”
“ เอาไงเอาด้วยกัน”
พอได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากสหายทั้งสาม ตานเต๋อคง จึงพาทั้งสามออกจากตลาดมืดเพื่อไปดูโกดัง โดยไม่เอะใจเลยว่าภายในนั้นจะมีสินค้าพร้อมขายและมีครบทุกอย่าง ที่คิดว่าชาวบ้านต้องการ
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส