แค่ก แค่ก แค่ก
เสียงไอถี่ของนายท่านเจ้าของจวนดังออกมาให้ได้ยินทันทีที่หญิงสาวย่างเท้าก้าวเข้ามาภายในบริเวณห้องหนังสือที่เจ้าของจวนมักจะหมกตัวอยู่ในนั้น เรียกว่าอีกฝ่ายแทบจะกินนอนอยู่ที่นี่ นั่นทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก ภายในอกรู้สึกวูบไหวจนสะท้าน
"ท่านพ่อ"
เสียงเรียกของผู้มาใหม่ทำให้บุรุษทั้งสองที่กำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียดหันกลับมามองนางในทันที ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
"ยัยหนูม่านม่านมาหาพ่อเช่นนี้ เจ้าหายขุ่นเคืองพ่อแล้วหรือ"
บุรุษวัยกลางคนท่าทางใจดีกล่าวกับนางในทันที ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มยินดี
แต่เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้นาง ก็ทำให้เจียงม่านถึงกับชะงักนิ่งงัน รับรู้ได้ว่าหัวใจของนางเต้นแรงขึ้น ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยสายหนึ่งโอบรัดนางไว้กับคนตรงหน้า รอยยิ้มของคนผู้นี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับมารดาของนางที่อยู่ในความทรงจำเหลือเกิน และภาพวาดขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ทางด้านหลังของเขา ยิ่งทำให้นางยิ่งรู้สึกมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลทางฝั่งมารดาของนางไม่ผิดแน่ เพราะสตรีในรูปนั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับมารดาของนางถึงแปดส่วน
เจียงม่านรวบรวมสติและความตื่นเต้นของตนให้กลับเข้าที่เข้าทาง หันไปทักทายผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เป็นคนสนิทของบิดาและอยู่เคียงข้างบิดาของนางมาอย่างยาวนานด้วยความเคารพ
"ท่านลุงเหวิน"
จากนั้นก็หันไปสนใจผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของนาง ความห่วงใยฉายชัดในดวงตาของหญิงสาว ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความกังวลและความเหนื่อยล้าที่สะท้อนออกมา ซึ่งมันกระแทกใจของนางจนรู้สึกปวดร้าว ที่ผ่านมาอีกฝ่ายคงจะพบเจอความกดดันและความลำบากมามาก อารมณ์พลุ่งพล่านและความรู้สึกมากมายตีบตันอยู่ในอกของนาง จนรับรู้ได้ถึงขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้น ตอนนี้นางได้คำตอบแล้วว่านางจะไม่ยอมปล่อยให้หอสุราตระกูลเจียงจบสิ้นลง นางจะทำทุกวิถีทางให้หอสุราตระกูลเจียงกลับมาเป็นหอสุราอันดับหนึ่งอีกครั้งให้จงได้
"ท่านพ่อ"
เจียงม่านคุกเข่าลงตรงหน้าของผู้เป็นบิดา ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นทั้งตกใจและประหลาดใจ
นายท่านเจียงตกใจกับการกระทำนั้นของบุตรสาว รีบลุกขึ้นมาพยุงเจ้าของร่างบอบบาง บุตรสาวผู้เป็นดั่งดวงใจของเขาอย่างรวดเร็ว
"ยัยหนูม่านม่าน ทำอันใดเช่นนี้ ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเร็วเข้า"
นายท่านเจียงเอ่ยเร่งบุตรสาว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล ไม่เข้าใจว่าทำไมบุตรสาวถึงคุกเข่าต่อหน้าตนเช่นนี้ แต่นางช่างดื้อดึงนักไม่ยอมลุกขึ้นตามการประคองของเขา
"ไม่เจ้าค่ะ ลูกจะไม่ลุก จนกว่าท่านพ่อจะรับปากว่าจะไม่ขายหอสุราของเรา"
ได้ยินคำประกาศอันแน่วแน่นั้น นายท่านเจียงจึงได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า แล้วเอ่ยกับบุตรสาวของตน
"ม่านเอ๋อร์ ลูกอย่าทำเช่นนี้ อย่างไรเราก็ไม่อาจที่จะพลิกฟื้นหอสุราได้อีกแล้ว ไม่สู้ขายมันไปเสีย นำเงินส่วนที่เหลือจากการชดใช้หนี้สิน เก็บเอาไว้สำหรับเป็นสินเดิมของเจ้า ยามเมื่อเจ้าต้องแต่งออกไปจะได้ไม่ลำบาก"
นายท่านเจียงกลัวว่าการรักษากิจการไว้จะยิ่งสร้างปัญหาทางการเงินมากขึ้น เขากล่าวให้นางเข้าใจสถานการณ์ที่ยากลำบากที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
เจียงม่านน้ำตาคลอเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ตอนนี้คือบิดาของนาง เห็นความรักที่คนตรงหน้ามีต่อผู้เป็นบุตรสาวเอ่อล้นอยู่ในแววตาของเขา
"ท่านพ่อ ลูกรู้ว่าที่ผ่านมาลูกโง่เขลาทำตัวแย่ขนาดไหน แต่ตอนนี้ลูกสำนึกได้แล้ว ท่านพ่อ ท่านให้โอกาสลูกได้แก้ตัวได้หรือไม่เจ้าคะ ให้โอกาสลูกได้ฟื้นฟูกิจการหอสุรา พลิกฟื้นกอบกู้มันขึ้นมาใหม่ด้วยมือของลูก"
หญิงสาววิงวอนร้องขอ น้ำเสียงและแววตาของนางเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
นางปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ในใจนั้นมุ่งมั่นที่จะหาหนทางฟื้นฟูหอสุรา แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายก็ตาม นางเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุรานะ เป็นคอสุราตัวยง ทั้งยังมีความรู้อีกมากมาย นางเป็นหญิงสาวที่มาจากโลกอนาคต มาจากโลกที่เจริญล้ำหน้าไปไกลแล้ว นางจะพ่ายแพ้ให้กับผู้คนในยุคนี้ที่ยังไม่ก้าวล้ำได้อย่างไรกัน มันเสียศักดิ์ศรีและเสียหน้าอย่างหาที่ใดเปรียบ
ด้วยความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของบุตรสาว ทำให้หัวใจของนายท่านเจียงอ่อนลง เขาจ้องมองนางอย่างจริงจัง เห็นความตั้งใจที่ลุกโชนในดวงตาคู่นั้นที่เหมือนกับภรรยาผู้ล่วงลับ เปลวไฟแห่งความหวังและความมุ่งมั่นส่องสว่างอยู่ในตัวขอนาง
รอยยิ้มอันอ่อนโยนจึงระบายเต็มใบหน้าของนายท่านตระกูลเจียง
บุตรสาวของเขาโตแล้วจริงๆ
ในที่สุดยัยหนูม่านม่านของเขาก็รู้ความแล้ว และเขาพึ่งจะได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของนาง บุตรสาวตัวน้อยของเขาดูอวบอิ่มขึ้น นางดูมีเนื้อมีหนัง มีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเดิมจนดูแปลกตาไป ซึ่งนางดูงดงามขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
นั่นจึงทำให้รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจยิ่งฉีกกว้างขึ้น น่าเอ็นดู เป็นเช่นนี้นางช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ดังนั้นนายท่านเจียงถงจึงพยักหน้าให้บุตรสาวที่รักของเขา ในดวงตานั้นมีน้ำตาเอ่อคลอ
"ลุกขึ้นเถอะนะ พ่อให้โอกาสเจ้า พ่อจะช่วยเจ้าทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อรักษาหอสุราของเราให้คงอยู่ เราจะเอาชนะและทำให้มันประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยกัน"
เจียงม่านประทับใจกับคำพูดของบิดาของนางมาก ลุกขึ้นยืนตามการประคองของอีกฝ่าย การสนับสนุนของบิดา ความรู้สึกแห่งความหวัง กำลังใจและความมุ่งมั่นเติมเต็มหัวใจของนาง
"อาเหวินเจ้าเห็นหรือไม่ ยัยหนูม่านม่านของเรารู้ความแล้ว เจ้าช่างเป็นตัวเงินตัวทองของพ่อเช่นดังที่ท่านนักพรตบอกจริงๆ"
"ใช่แล้วขอรับ บ่าวเองก็จะช่วยเหลือนายท่านและคุณหนูอย่างเต็มที่เช่นกันขอรับ"
ท่านลุงเหวินเอ่ยด้วยความยินดีเช่นกัน ในที่สุดตระกูลเจียงก็มีผู้สืบทอด
เจียงม่านมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที เมื่อความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของนาง
เมื่อครั้งที่ร่างนี้อายุครบสิบขวบมีนักพรตผู้ที่กล่าวกันว่ามีญาณวิเศษชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับถือของผู้คนในใต้หล้า เดินทางผ่านมาทางเมืองฉาง นักพรตท่านนั้นได้กล่าวว่านางเป็นสตรีผู้มีบุญญาธิการเป็นดั่งตัวเงินตัวทองนำพาให้ตระกูลเจริญก้าวหน้ามั่งคั่งร่ำรวย เป็นบุตรที่จะคอยเกื้อหนุนตระกูล นำพากิจการของตระกูลให้ยิ่งรุ่งโรจน์เจริญก้าวหน้าและงอกงาม มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดิน
ตัวเงินตัวทองที่นักพรตผู้นั้นกล่าวถึงอาจจะหมายถึงตัวเหี้ยก็ได้
เพราะเจียงม่านผู้นั้นเล่นล้างผลาญจนตระกูลแทบจะล่มจมซะขนาดนี้
ว่าแล้วนางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยถามผู้เป็นบิดา
"ท่านพ่อเหตุใดจึงได้ปล่อยให้คุณชายสามเว่ยขนทรัพย์สินของเราออกไปมากมายเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ"
เจียงม่านเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายสะบัดหน้าออกไป นางก็ได้ยินอีกฝ่ายร้องสั่งให้คนของตนขนข้าวของมีค่าออกไปอย่าให้เหลือ
"เรื่องนั้นช่างมันเถิด เราเป็นหนี้ก็ย่อมต้องชดใช้มิใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็ต้องได้รับดอกเบี้ยบ้าง จะให้หยิบยืมโดยไม่ชำระดอกเบี้ยได้อย่างไร"
นายท่านเจียงเอ่ยบอกบุตรสาวโดยไม่คิดที่จะใส่ใจข้าวของเหล่านั้น เพราะมันมีค่าไม่ได้กึ่งหนึ่งของเงินที่เขาหยิบยืมอีกฝ่ายมาเสียด้วยซ้ำ ทั้งอีกฝ่ายยังไม่เคยทวงถามทั้งที่ผ่านมาเนิ่นนาน จนเป็นเขาเสียเองที่รู้สึกอับอาย หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับของมีค่าเหล่านั้นไว้ในครั้งนี้ เขาก็คงจะขายให้กับผู้อื่นแล้วนำเงินไปให้อีกฝ่ายแทน เดิมทีเขาจะมอบของเหล่านั้นเพื่อเป็นดอกเบี้ยให้อีกฝ่าย แต่คุณชายสามเว่ยกลับไม่ยอมรับ บอกเพียงว่าจะให้ราคาอย่างยุติธรรมและหักล้างกับหนี้สิน เขาจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่ใจนั้นตั้งใจเอาไว้แล้ว โดยไม่รู้เลยว่าบุตรสาวของตนนั้นกำลังสาปแช่งอีกฝ่ายตั้งแต่ได้ยินคำว่าดอกเบี้ยแล้ว
หน็อย ไอ้ตี๋อันธพาลหน้าเลือด ขูดเลือดขูดเนื้อกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ อย่าให้ถึงทีของนางก็แล้วกัน
ตระกูลเจียงในตอนนี้เป็นตระกูลอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องสุรา สุราของตระกูลเจียงกลายเป็นสุราสร้างชื่อของเมืองฉาง ทั้งยังโด่งดังไปทั่วทั้งแคว้นและแคว้นข้างเคียง เพียงเวลาไม่นานกิจการของหอสุราตระกูลเจียงก็ขยับขยายใหญ่โต และกำลังดำเนินการที่จะขยายกิจการไปยังเมืองต่างๆ รวมไปถึงเมืองหลวงของแคว้น และคาดว่าต่อไปในอนาคตก็จะไปเปิดกิจการยังต่างแคว้นอีกด้วย เรียกได้ว่าตระกูลเจียงเข้าสู่ยุคที่รุ่งโรจน์จนฉุดไม่อยู่ส่วนหอสุราตระกูลหม่านั้น ในตอนนี้ได้ปิดตัวลง หันมาเอาดีทางด้านการค้าข้าวสารและธัญพืช โดยมีหม่าลู่เฟิงที่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเป็นผู้ดูแลกิจการด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่ากิจการนั้นจะไปได้ดีอยู่ไม่น้อยถึงแม้ว่าจะมีร้านค้าใหญ่อยู่หลายร้านก็ตาม ส่วนหม่าลี่เซียนข่าวว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเถ้าแก่เผย แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เถ้าแก่เผยได้ประกาศวางมือจากกิจการทั้งหมดและยกทุกอย่างให้บุตรชายของเขา ส่วนตนนั้นใช้เวลาอยู่กับภรรยาและเหล่าอนุทั้งหลาย จากบุรุษผู้รักมั่นในตัวภรรยาผู้ล่วงลับ แต่ยามเมื่อได้สัมผัสอารมณ์ความใคร่อีกครั้งกลับกลายเป็นบุรุษผู้หมกมุ่นในกามา บัดนี้จึงมีอนุภรรยาอยู่เต็มจวนเมืองฉางในตอ
"คนเก่งของข้า ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนเถิด"เว่ยซีหยวนเอ่ยเรียกสตรีที่นอนสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงอยู่บนเตียงน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยรอยยิ้ม ประคองถาดใบเล็กที่มีข้าวต้มหอมกรุ่นและถ้วยยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆ มาวางลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ก่อนจะโน้มกายลงจุมพิตแก้มนวลของสตรีที่ยังหลับตาพริ้มอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้นางช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก เขามีความสุขจนแทบจะล้นออกมานอกอก นางนั้นแสนซนและอยากรู้อยากลองไปเสียทุกอย่างแม้เขาคิดจะยั้งมือเมื่อรู้ว่าเป็นครั้งแรกของนาง แต่ถูกยั่วยวนเช่นนั้นก็หมดสิ้นความยับยั้งช่างใจ นางออดอ้อนน่าเอ็นดูถึงเพียงนั้น ใครจะไปอดใจได้ไหว จึงได้จัดหนักจัดเต็มจนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วยาม และนางเองก็ยังสู้ไม่ถอย สภาพจึงได้ออกมาเช่นตอนนี้หักโหมถึงเพียงนั้นเขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าหลังจากนั้นนางจะต้องป่วยเป็นแน่ จึงได้ลุกขึ้นไปเคี่ยวยาเตรียมไว้ให้นางตั้งแต่รุ่งสางและนางก็ป่วยจริงๆใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวในคราแรก ตอนนี้ซับสีเลือดจนแดงก่ำมาจนถึงลำคอ แพขนตางอนขยับยุกยิก นั่นทำให้ชายหนุ่มที่คลอเคลียนางอยู่ไม่ห่างยกยิ้มขึ้น ดวงตาคมเผยประกายเจ้าเล่ห์สอดฝ่ามืออุ่นร้
เจียงม่านหัวใจเต้นแรงเมื่อถูกชายหนุ่มยกตัวจนลอยขึ้นจากพื้น ทั้งที่ริมฝีปากของทั้งสองยังคงแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม สองแขนของนางกอดกระชับลำคอแข็งแกร่งเอาไว้ ยามเมื่ออีกฝ่ายก้าวเดินสองขาเรียวก็ยกขึ้นเกี่ยวรัดสะโพกสอบทรงพลังไว้แน่นจนเมื่อเขาวางนางลงบนเตียง ชายหนุ่มถึงได้ยอมปล่อยให้นางได้พักหายใจ แต่กระนั้นทั้งจมูกและริมฝีปากร้อนผ่าวก็หาได้ผละออกห่างจากใบหน้าของนางแม้แต่น้อย เขายังคงคลอเคลียพรมจูบไปทั่วใบหน้าของนางอย่างรักใคร่หลงใหล"ม่านม่าน เราแต่งงานกันเถอะนะ"เขาไม่อยากห่างจากนางอีกแล้ว ไม่อยากให้นางมองบุรุษอื่นอีก อยากให้ทั้งหัวใจและสายตาของนางมีเพียงแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเสียงกระซิบแหบพร่าร้องบอกหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส ดวงตาคู่งามฉ่ำหวาน เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ หญิงสาวไม่ได้ยินที่เขาเอ่ยถามแม้แต่น้อย ในแววตาของนางมีเพียงความสับสนมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลงเจียงม่านไม่รู้เลยว่าการนิ่งเงียบไม่ตอบคำของนาง จะทำให้ชายหนุ่มที่เฝ้ารอคำตอบรู้สึกเช่นไร ความผิดหวังน้อยใจไหววูบในดวงตาของเขา หัวใจปวดหนึบวูบโหวง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็แทนที่ด้วยคว
ผ่านมาสองวันเจียงม่านก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเว่ยซีหยวน อีกฝ่ายจงใจที่จะหลบหน้านางแน่แล้ว เพราะเขาหายหน้าหายตาไป ไม่มาหานางที่จวนเช่นดังปกติที่มักจะมาขลุกอยู่กับนางหรือมารับนางออกไปยังหอสุราด้วยกัน จนเรียกได้ว่าทั้งสองแทบจะตัวติดกันตลอดเวลาเขามักจะทำตัวติดกับนางเสมอ หรือหากแม้ว่ามีธุระก็จะส่งคนมาแจ้งพร้อมด้วยของฝาก แต่ครั้งนี้กลับหายหน้าหายตาไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อนางเลือกที่จะเป็นฝ่ายไปหาเขาก่อน คนของอีกฝ่ายกลับแจ้งกับนางว่าเขาไม่ได้อยู่ในจวน เมื่อนางถามว่าอีกฝ่ายไปไหน กลับตอบกลับมาว่าไม่ทราบ ไม่รู้ว่าผู้เป็นนายไปไหนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังไม่ยอมที่จะสบตานาง ท่าทางมีพิรุธเช่นนั้น พวกเขาคิดว่านางโง่หรืออย่างไร รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมโผล่หัวมา จนย่างเข้าวันที่สาม ยอมรับว่าตอนนี้นางมีโทสะอยู่เต็มท้องคนบ้าผู้นั้นหลบหน้านางทำไมกัน นางไปทำอันใดให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เหตุใดจึงไม่ยอมบอกกล่าว เล่นหายไปแบบนี้ใครมันจะไปรู้หรือจะเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดมิใช่หรอกหรือ ตอนนี้ยังมีข่าวว่าเถ้าแก่เผยส่งแม่สื่อไปจวนตระกูลหม่าแล้ว อีกไม
"เจ้าจะยังรั้งรออันใด หรืออยากจะเป็นคนที่ขึ้นไปนอนบนเตียงนั่นเอง"เว่ยซีหยวนเมื่อตั้งสติได้ก็หันมาถลึงตาใส่กวนป๋อเหวินที่กำลังใช้สายตาต่อว่าเขากวนป๋อเหวินส่งค้อนวงโตให้ผู้เป็นสหายป่าเถื่อนของตน ก่อนจะลากร่างที่หนักอึ้งของเถ้าแก่เผยไปโยนลงบนเตียงด้วยแรงที่ไม่เบานัก ทั้งยังจับอีกฝ่ายเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าหม่าลี่เซียนที่เห็นการกระทำของคนทั้งสองก็เบิกตาโพลง รับรู้ได้ว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด แต่ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์กำยานปลุกกำหนัดทั้งยังความเจ็บปวดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้นางไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ดั่งใจ ตอนนี้ความร้อนรุ่มกำลังเล่นงานนางอย่างหนัก อยากจะปลดปล่อยความต้องการภายในร่างกาย แต่การจะต้องร่วมเตียงกับชายแก่อ้วนฉุเช่นเถ้าแก่เผยนั้นทำให้นางไม่อาจที่จะยอมรับได้ จึงกัดกระพุ้งแก้มของตนอย่างแรงเพื่อรั้งสติเอาไว้ จนรสเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปากดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำจ้องมองบุรุษที่นางหลงใหลด้วยสายตาเจ็บปวดและเจ็บแค้น ก่อนที่เสียงหัวเราะขื่นขมจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีซีดฮ่าฮ่าฮ่าหม่าลี่เซียนหัวเราะออกมาเสียงขื่น ในขณะที่น้ำตาของนางไหลพราก ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนั
งานเลี้ยงในวันนี้เริ่มขึ้นได้สักพักแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง เพราะผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ล้วนเป็นเหล่าคหบดี พ่อค้าแม่ค้า และคนที่รู้จักมักคุ้นกันดีในเมืองฉางแห่งนี้เจียงม่านอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อเป็นตัวนางเองที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางแผนการร้ายของผู้อื่น ยามเมื่อคอยลุ้นในซีรี่ย์ที่เคยดูนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากแล้ว ยามนี้กลับยิ่งตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าแม้ว่าจะรู้ตัวล่วงหน้า แต่พวกนางยังไม่รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายคิดจะวางยาเว่ยซีหยวนเช่นไร หันไปมองเจ้าตัวก็เห็นว่าเขาไม่ยอมแตะต้องเครื่องดื่มหรืออาหารบนโต๊ะแม้แต่น้อย นั่นทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล หากเป็นเช่นนี้เรื่องราวจะเป็นไปตามแผนการของอีกฝ่ายได้อย่างไรกันใช่ว่านางจะไม่หวงแหนหรือเป็นห่วงเขาแต่นางลงทุนลงแรงไปถึงเพียงนี้จะให้สูญเปล่าได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียวันนี้หม่าลี่เซียนก็จะต้องมีสามีที่ไม่ใช่บุรุษของนางนางยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อว่าจ้างคนมีฝีมือที่เป็นวรยุทธ์คอยดูแลอยู่ห่างๆ อย่างไรก็มั่นใจว่าเขาจะต้องปลอดภัย ก่อนที่จะถูกหญิงนางนั้นกลืนลงท้อง อีกทั้งยังมีคนของคุณชายกวนที่กระจายตัวอยู่อีกอย่างใช่ว่าพ่ออันธพาลของนางจะร