Share

วิวาห์ขม

Author: Luffy.g
last update Last Updated: 2025-05-20 01:30:35

บทที่ 3 วิวาห์ขม

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ฉู่อันหลานที่เอาแต่คลุกตัวอยู่แต่ภายในจวนสกุลฉู่โดยมิยอมพบปะกับผู้ใด นับตั้งแต่เกิดเรื่อง เสวียนเฟยหลงก็มิได้มาพบกับนางอีกเลย มีเพียงข่าวคราวที่หลงจู สาวใช้ของนางมาบอกเล่าให้ฟังแต่เพียงเท่านั้น

“คุณหนู...ข้าได้ยินมารัชทายาทเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อให้ทรงยกเลิกราชโองการ ฝ่าบาทพิโรธหนักจึงสั่งกักบริเวณรัชทายาทให้อยู่แต่ภายในตำหนัก”

“เช่นนั้นหรือ”

“คุณหนู...ข้าว่ารัชทายาทยังคงมีเยื่อใยกับคุณหนูยิ่งนัก...หากคุณหนูต้องการ ข้าจะหาทางนัดพวกท่านให้ได้พบกัน” หลงจูกล่าวออกมาด้วยความหวังดี

“ช่างเถิด...รักแล้วอย่างไรเล่า บัดนี้ข้ามิคู่ควรกับพี่เฟยหลงอีกแล้ว” ฉู่อันหลานกล่าวอย่างนึกปลง “นี่ก็ใกล้ถึงวันฤกษ์แล้ว...ข้ามิอยากคิดถึงสิ่งใดอีกแล้ว”

และแล้ววันกำหนดแต่งงานของฉู่อันหลานก็มาถึง ขบวนขันหมากเรียงรายยาวเหยียดอยู่บริเวณหน้าจวนสกุลฉู่ ดนตรีบรรเลงอย่างเร่งเร้า เสียงฆ้องกลองก้องกังวานเพื่อเฉลิมฉลองงานสมรสระหว่างบุตรสาวคนเดียวของอัครเสนาบดีกับองค์ชายต่างแคว้น

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นเป็นระลอกๆ อย่างสนุกปากกับเรื่องราวของเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน ที่ร่วมกันทำเรื่องงามหน้า จนองค์รัชทายาทถึงกับประกาศตัดสัมพันธ์และต้องแต่งงานกันอย่างเร่งด่วนเช่นนี้

ฉู่อันหลานแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวสีแดงสด ปักลายเมฆาด้วยดิ้นทองอย่างประณีต นางจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองผ่านกระจกทองเหลืองตรงหน้าด้วยใบหน้าที่หม่นหมองไร้ซึ่งความสุขเฉกเช่นเจ้าสาวโดยทั่วไป

“คุณหนูเจ้าคะ... ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ...” เสียงแผ่วเบาจากหลงจูสาวใช้ผู้ภักดีเอ่ยเตือนสติขึ้นอีกครั้ง

ฉู่อันหลานปรายสายตาไปมองหลงจูเพียงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับอย่างไร้สุ้มเสียงอันใด

ฉู่อันหลานย่างกรายออกมาด้านนอกราวกับคนไร้ซึ่งวิญญาณ ทว่าความงามของนางในชุดเจ้าสาวกลับงดงามจนคนรอบข้างต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความตื่นตะลึง

เนื่องจากหยางตงหยางเป็นองค์ชายตัวประกันของแคว้นหนาน ดังนั้นตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในแคว้นเว่ย เขาก็ถูกกักขังอยู่แต่ภายในวังหลวงโดยมิได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับผู้ใด ดังนั้นเมื่อมีราชโองการสมรสเกิดขึ้น หยางตงหยางจึงต้องแต่งเข้าสกุลฉู่ไปโดยปริยาย

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ฉู่อันหลานก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมสำหรับพิธีการ ด้านข้างของนางคือบุรุษที่พรากศักดิ์ศรีและทุกสิ่งของนางไปจนหมดสิ้น

หยางตงหยางยืนอยู่ด้วยชุดเจ้าบ่าวผ้าไหมแดงปักดิ้นทองอย่างสง่างาม ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเคย หากแต่ภายในดวงตาสีนิลนั้นกลับฉายแววเย็นเยือกอย่างลึกล้ำสุดใจ

พิธีการเริ่มต้นขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางเหล่าขุนนางและมิตรสหายที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน ฉู่อันหลานภายใต้ผ้าคลุมสีแดงในเวลานี้กลับมีสีหน้าเย็นชาและเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่หยดน้ำตาไหลรินออกมาเช่นที่เคย หัวใจของนางด้านชาราวกับยอมจำนนต่อชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าเสียแล้ว

 หยางตงหยางเบือนหน้ามองเจ้าสาวของเขาผ่านผ้าคลุมบาง เผยให้เห็นเงาร่างนั้นอย่างเลือนรางด้วยรอยยิ้มบางที่มุมปาก

“คำนับฟ้าดิน”

เสียงเจ้าพิธีดังกังวาน

“คำนับบิดามารดา”

ทั้งสองโค้งตัวอย่างพร้อมเพรียง มือของฉู่อันหลานสั่นเทาเล็กน้อย มือบางเกร็งแน่นขณะจับชายผ้า

“คำนับซึ่งกันและกัน”

เสียงฆ้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้คนรอบข้าง หยางตงหยางขยับกายเข้ามาใกล้ฉู่อันหลาน พริบตานั้น เขาก็โน้มกายเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างใบหูฉู่อันหลานด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

“นับแต่นี้...เจ้าเป็นของข้า”

น้ำเสียงเย็นเยียบของหยางตงหยางทำให้ฉู่อันหลานถึงกับสันหลังเย็นวาบ นางกัดริมฝีปากแน่นด้วยความแค้นเคือง เลือดซึมออกมาจางๆ สร้างความเจ็บแสบขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมิเท่าความเจ็บแสบที่หัวใจของนาง

ฉู่อันหลานมิได้ตอบกลับสิ่งใดออกมาแม้ว่าอยากจะกรีดร้องใส่หน้าบุรุษตรงหน้าให้คลายความอึดอัด แต่นางก็ยังคงรักษากิริยาเอาไว้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งพิธีการเสร็จสิ้นลง ฉู่อันหลานถูกพาตัวกลับไปยังเรือนพักที่จัดเตรียมไว้สำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ในขณะที่หยางตงหยางยังคงอยู่ด้านหน้าจวนเพื่อคอยรับแขกที่มี

แม้ว่าแขกเหรื่อภายในงานจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก แต่คนทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนฝูงและแขกเหรื่อของจวนสกุลฉู่แทบทั้งสิ้น หยางตงหยางที่สิ้นไร้ไม้ตอกจึงได้แต่ยืนนิ่งอยุ่เช่นนั้นอย่างรอคอยเวลาให้จบสิ้นไป

ในที่สุดงานเลี้ยงก็จบสิ้นลงไป หยางตงหยางปลีกตัวกลับมาที่เรือนพัก เขาแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าที่บัดนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่แข่งกันทอแสงประกายเจิดจรัสออกมาอย่างละลานตา

หยางตงหยางยกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพึมพำออกมาในที่สุด “ในที่สุด...ข้าก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้ว”

หยางตงหยาง องค์ชายแห่งแคว้นหนาน ผู้ที่เกิดจากสนมไร้ฐานะถูกส่งมาเป็นตัวประกันตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดปี ชีวิตของเขาในวังหลวงแคว้นเว่ยไม่ต่างจากการเป็นนักโทษ เขาถูกกลั่นแกล้งจากทั้งเหล่าโอรสและธิดา รวมถึงขันทีและนางกำนัลในวัง บ้างก็ถูกจับโยนไปไว้ในโรงเก็บฟืน บ้างก็ถูกทุบตีอย่างไร้เมตตา อาหารการกินของเขาแทบไม่ต่างจากขอทานข้างถนน บางวันก็เย็นชืด บางวันก็บูดเน่า องค์ชายเช่นเขาเรียกได้ว่าเป็นตัวตลกของวังหลัง “องค์ชายที่ไร้บัลลังก์” ที่ทุกคนต่างเย้ยหยันและหยามเกียรติ

“วันหนึ่ง...ข้าจะยืนอยู่เหนือพวกเจ้า และทำให้พวกเจ้าต้องชดใช้กับสิ่งที่กระทำกับข้า”

หยางตงหยางเฝ้าฝืนอดทนและยอมศิโรราบต่อทุกการกระทำ แต่ถึงกระนั้นสายเลือดมังกรเช่นเขาก็หาได้ยอมจำนนได้ไม่ เขาสู้อุตส่าห์หาโอกาสเพื่อจะพลิกฟื้นศักดิ์ศรีของเขากลับมาอีกครั้ง โอกาสที่เขาจะกลับมาผงาดเฉกเช่นมังกรทองดั่งสายเลือดในกาย และแล้วโอกาสทองของเขาก็มาเยือน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   วันใหม่

    บทที่ 58 วันใหม่ ฤดูใบไม้ผลิที่แคว้นหนานกลับมาอีกครา กลีบดอกเหมยผลิบานสะพรั่งไปทั่วลานกว้างในสวนหลวง ทว่าครั้งนี้กลับอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หยางตงหยางเดินเคียงข้างมากับฉู่อันหลาน ฮองเฮาของเขา และหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในวังหลังแห่งนี้ แม้ว่าจะมีเสียงทัดทานมากมายที่ต้องการให้ชายหนุ่มรับสนมเข้ามาภายในวังหลังเพื่อเติมเต็มอำนาจและบารมีของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับยืนกรานเสียงแข็งและมิยอมรับหญิงใดเข้ามาแม้แต่คนเดียว ร่างสูงใหญ่โอบประคองร่างระหงอย่างแนบแน่นและทะนุถนอม ทั้งสองเดินทอดน่องไปตามทางเดินในสวนหลวงอย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนสุขราวกับช่วงเวลาได้หยุดชะงักลงไป “หลานเอ๋อร์...” หยางตงหยางเอ่ยขึ้นพร้อมเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เหตุใดวันนี้เจ้าลูกดื้อทั้งสองถึงได้เงียบเชียบนัก มิเห็นวิ่งวุ่นสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัวเหมือนเช่นเคย” ฉู่อันหลานหัวเราะเบาๆ พร้อมยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โดยมิได้กล่าวสิ่งใด หากนางบอกออกไปมีหวังชายหนุ่มคงได้ควันออกหูอีกครั้งเป็นแน่ ณ ศาลาริมสระ หยางฟางซินและหยางซูเมิ่งน

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   ร่ำลา

    บทที่ 57 ร่ำลา ข่าวการเสียชีวิตของฮองเฮาแห่งแคว้นเว่ยพร้อมกับบุตรทั้งสองถูกกระพือไปทั่วแคว้นไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง ภายในวังหลวงของแคว้นเว่ย จัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เสวียนเฟยหลงในฉลองพระองค์สีขาวขลิบทองยืนอยู่ด้านหน้าโลงเปล่า ใบหน้าที่เรียบเฉยจ้องมองโลงเปล่านั้นด้วยแววตาเศร้าหมองคล้ายจะอาลัยอยู่ในที “ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขในหนทางที่เจ้าเลือก” ชายหนุ่มพึมพำออกมาราวกับกระซิบให้กับหญิงอันเป็นที่รักยิ่งเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากพิธีศพผ่านพ้นไปได้ไม่นาน เหล่าขุนนางต่างพากันยื่นฎีกาขึ้นมาหลายต่อหลายฉบับ...เรียกร้องให้เสวียนเฟยหลงแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่โดยเร็ว ด้วยเหตุผลที่ว่าแคว้นเว่ยต้องการผู้ปกครองที่เหมาะสมในวังหลังเพื่อให้บัลลังก์มั่นคงและเป็นปึกแผ่น และผู้ใดจะเหมาะสมไปกว่า "โม่ชิงโหล" สนมเฟยผู้เป็นที่โปรดปราน ธิดาของใต้เท้าโม่ซางเหวินไปได้ เสวียนเฟยหลงปรายตามองฎีกาเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เฉยชา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากราวกับคนที่มีแผนการในใจ “เรียกตัวแม่ทัพหลี่มาเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้” แม่ทัพหลี่มาถึงในเวลาไม่ช้า พร้อมกับคุกเข่าลง “ฝ่าบาท...มีรับสั่งสิ่งใ

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   ถวิลหา

    บทที่ 56 ถวิลหา หลังจากฉู่อันหลานพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งกลับเรือน นางก็อยู่กล่อมบุตรชายบุตรสาวจนกระทั่งพวกเขาเข้านอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังเรือนนอนของหยางตงหยางอีกครั้ง “เฮ้อ..เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักดังถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉู่อันหลานถึงกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างนึกขบขันและเห็นใจชายหนุ่มในเวลาเดียวกัน เวลานี้หยางตงหยางยังคงนอนเอนกายก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ สายตาเหม่อลอยจ้องมองไปยังเพดานอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดอย่างหนักกับความสัมพันธ์ของบุตรทั้งสอง แม้ว่าเวลานี้ระยะห่างระหว่างเขากับเด็กน้อยจะเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด แต่ก็ระยะห่างนั้นกลับช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกแผ่วเบาตามด้วยร่างระหงของฉู่อันหลานที่ย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาทอดมองไปยังหยางตงหยางพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้านวล หยางตงหยางสะดุ้งเฮือกสุดตัว พร้อมหยัดกายขึ้น ดวงตาของเขาเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง หกเดือนแล้วที่ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวตาละห้อย คำพูดน้อยครั้งทีเดียวที่นางจะยอมปริปากพูดคุยกับเ

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   เปิดใจ

    บทที่ 55 เปิดใจ วันถัดมาหยางตงหยางออกไปเดินด้านนอกและเห็นเสวียนซูเมิ่งที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ตามลำพัง ดวงหน้าเล็กแต่กลับจิ้มลิ้มน่ารัก บัดนี้เปื้อนดินเปื้อนทรายเต็มไปหมด “เจ้าชอบดอกเหมยหรือ” หยางตงหยางเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ พร้อมหย่อนกายนั่งลงด้านข้าง เสวียนซูเมิ่งหันมองหน้าชายหนุ่มที่มารดาบอกว่าเป็นบิดาของตนอย่างนึกชั่งใจ แม้ว่านางจะมิได้รู้สึกรังเกียจอันใด แต่เมื่อพี่ชายไม่คิดจะยอมรับเขา เช่นนั้นนางเองก็ต้องทำตามเช่นกัน “เสด็จพ่อบอกว่าดอกเหมยแม้จะดูบอบบาง แต่กลับทนทานหิมะยิ่ง...ข้าก็อยากเป็นเช่นนั้น” หยางตงหยางยิ้มกริ่มออกมาอย่างใจชื้นเมื่อบุตรสาวตัวน้อยยอมพูดคุยกับเขาขึ้นมา “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนข้าอายุเท่าเจ้า...ข้าก็ปลูกดอกเหมยเช่นกัน...แต่ทว่ากลับไม่มีต้นใดรอดเสียเลย...นั่นเพราะว่าข้ารดน้ำให้มันมากเกินไป” เสวียนซูเมิ่งอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้เป็นบิดาของนางนั้นช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย “ข้าว่าเพราะท่านดูแลต้นเหมยไม่เป็นอย่างใดเล่า...ท่านมาช่วยข้าปลูกเสียสิ...รับรองต้นเหมยของท่านต้องงอกงามเป็นแน่” หยางตงหยางเ

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   พิสูจน์ตนเอง

    บทที่ 54 พิสูจน์ตนเอง นับตั้งแต่สงครามสงบลง หยางตงหยางก็ย้ายมาปักหลักอยู่ที่แคว้นเว่ย ข้อตกลงหนึ่งปีที่เขาต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้ตามสัญญา ชายหนุ่มพักอยู่ที่จวนร่วมกับฉู่อันหลานและบุตรทั้งสอง โดยฉู่อันหลานมิยอมให้เขาร่วมห้องกับตนเองเป็นอันขาด ทางด้านแคว้นหนาน หยางตงหยางที่วางรากฐานการปกครองอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเรื่องปัญหาจุกจิกต่างๆ เขาจึงมอบหมายให้จางเซี่ยเหวิน ขุนนางผู้ภักดีเป็นผู้ตัดสินใจแทน จะมีก็เพียงเรื่องเร่งด่วนที่จางเซี่ยเหวินจะส่งม้าเร็วมามอบสารให้แก่เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ในขณะที่ราชวังแคว้นเว่ย ข่าวลือเรื่องอาการเจ็บป่วยของฮองเฮาและบุตรทั้งสองแพร่กระจายไปทั่ว โรคประหลาดที่หมอหลวงทั้งหลายต่างจนปัญญาจะรักษาทำให้สามแม่ลูกต้องย้ายออกมาพำนักอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเพื่อหาวิธีรักษาตัว โดยมิให้ผู้ใดรบกวนเป็นอันขาด ในช่วงเย็นวันหนึ่งหยางตงหยางนั่งอยู่ที่ห้องอักษร สองมือกำพู่กันค้างอยู่เหนือแผ่นกระดาษ สายตาพยายามจับจ้องตัวอักษรตรงหน้า แต่สมาธิกลับมิได้จดจ่อแต่อย่างใด สุดท้ายเขาก็กระแทกพู่กันลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์อย่างแรง ยิ่

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   หาข้อยุติ

    บทที่ 53 หาข้อยุติ ฉู่อันหลานหลับตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองเริ่มตั้งท่าจะฟาดฟันกันอีกหน นางพยายามข่มกลั้นโทสะที่มีเอาไว้และรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับบุรุษทั้งสองที่ทำตัวราวกับเด็กอมมือก็ไม่ปาน “พวกท่านเมื่อไหร่จะพอเสียที” ฉู่อันหลานกล่าวคำหนักออกมาอีกครั้ง พร้อมกับจ้องหน้าคนทั้งสองอย่างต้องการเอาเรื่อง “พวกท่านต่างบอกว่ารักข้า...แต่สิ่งที่พวกท่านทำล้วนแล้วแต่เห็นข้าเป็นเพียงสิ่งของที่คิดจะแย่งชิงกันไปมา...นี่นะหรือสิ่งที่พวกท่านต่างกล่าวว่ารักข้า” หญิงสาวพูดพลางหันไปจ้องหน้าของเสวียนเฟยหลงและหยางตงหยางสลับกันไปมา พร้อมทอดสายตาที่เจ็บปวดและผิดหวังอย่างรุนแรง บุรุษทั้งสองได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความจนใจที่จะหาเหตุผลในการโต้เถียงนาง เมื่อทุกสิ่งที่หญิงสาวพ้อออกมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกต้องทุกประการ เสวียนเฟยหลงเงยหน้าขึ้นทอดมองหญิงสาวตรงหน้าสายตาที่อ่อนโยนและจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าเล่า...เจ้าอยากอยู่ที่ใด” ฉู่อันหลานนิ่งเงียบไป ในขณะที่เสวียนเฟยหลงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกปลง “หลานเอ๋อร์...ตั้งแต่วันแรกที่ข้าขอเจ้าแต่งงานจนกระทั่งถึงวันนี้...ขอเ

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   เจรจา

    บทที่ 52 เจรจา ฉู่อันหลานก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถงด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและมั่นคง หญิงสาวกวาดตามองไปยังบุรุษทั้งสองซึ่งยืนอยู่ในห้องด้วยแววตาที่ทั้งเฉียบคมและยากจะคาดเดา ก่อนที่สายตาของนางจะอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กทั้งสองที่วิ่งปรี่เข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่...พวกข้าคิดถึงท่าน” เด็กน้อยทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มด้วยความคิดถึงมารดาอย่างเต็มหัวใจ เสวียนฟางซินโผเข้ากอดขาข้างหนึ่งของนาง ขณะที่เสวียนซูเมิ่งก็เกาะขาอีกข้างหนึ่งแน่นไม่แพ้กัน ฉู่อันหลานคุกเข่าลงโอบกอดบุตรชายบุตรสาวเอาไว้แน่น ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวในเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและคิดถึง “แม่ก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน...พวกเจ้าสบายดีหรือไม่...มีใครรังแกพวกเจ้าหรือเปล่า” “ไม่เลย...ข้าทำตามที่เสด็จแม่บอกทุกอย่าง...ข้าปกป้องเมิ่งเอ๋อร์มิยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้แม้แต่น้อย” เสวียนฟางซินเงยหน้าขึ้นพร้อมยืดอกกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าก็ทำตามที่เสด็จแม่สั่ง...ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่มิได้เกเรแม้แต่น้อย” เสวียนซูเมิ่งกล่าวเอาความดีความชอบกับนางอย่างไม่น้อยหน้าเช

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   เผชิญหน้า

    บทที่ 51 เผชิญหน้า “ท่านเป็นใครกัน...บังอาจยิ่งนัก...ปล่อยเสด็จพ่อของข้าเดี๋ยวนี้นะ” เสียงฝีเท้าวิ่งตึงๆ เข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมเสียงตะโกนของเด็กทั้งสองที่ดังก้องไปทั่วห้องโถง เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิงปรี่เข้ามาด้านในห้อง เด็กชายพุ่งตัวเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าของเสวียนเฟยหลง พร้อมกับยกมือขึ้นขวางกั้นชายหนุ่มเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง สายตาแข็งกร้าวจ้องมองหยางตงหยางอย่างไม่กะพริบตาหรือกลัวเกรงอันใด ในขณะที่เด็กหญิงกลับตรงเข้าไปโอบประคองเสวียนเฟยหลงที่นั่งอยู่กับพื้นเอาไว้แน่น ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความเป็นห่วงสุดกำลัง “เสด็จพ่อ...ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” “พวกเจ้ามาที่นี่ได้เช่นใด...ข้าสั่งแล้วมิใช่หรือว่าให้รอที่จวนเจ้าเมือง...เหตุใดจึงกล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้” เสียงของเสวียนเฟยหลงดังแทรกขึ้นมาทันควัน ชายหนุ่มรีบดึงบุตรทั้งสองเอาไว้แนบกายพร้อมกับเอ็ดตะโรออกมาด้วยความตื่นตระหนก เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เสวียนฟางซินจะเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว “พวกเราเป็นห่วงเสด็จพ่อ” เสวียนซูเมิ่งก็ตอบกลั

  • ใต้เงาจันทราข้านี้มิอาจเร้น   นัดพบ

    บทที่ 50 นัดพบ เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะอย่างเร่งรีบ ก่อนที่รถม้าจะหยุดลงด้านหน้าจวนเจ้าเมืองตงหลาน เสวียนเฟยหลงก้าวลงจากรถม้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาฉายแววความร้อนรุ่มที่อยู่ภายในใจ เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่ง รีบตามลงมาติดๆ ดวงตาของเด็กทั้งคู่จับจ้องไปยังแนวค่ายอย่างตื่นเต้นและระแวดระวัง “ถวายพระพรฝ่าบาท” เจ้าเมืองตงหลานรีบเข้ามาคำนับชายหนุ่มด้วยความกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาทเวลานี้เมืองตงหลานมิปลอดภัยนัก เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมาโดยลำพัง” “ไม่ต้องมากพิธี...ข้ามาในครั้งนี้มิได้บอกผู้ใด เจ้าเองก็จงปิดปากเงียบเสีย” เสวียนเฟยหลงสั่งการเสียงเข้ม ก่อนจะเดินตรงไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพาบุตรทั้งสองเข้าพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งเข้านอนจนเป็นที่เรียบร้อย เสวียนเฟยหลงก็กลับมายังเรือนพักของตน เขาหยิบพู่กันขึ้นมาพร้อมกับเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้องครักษ์ประจำกาย “เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งมอบให้หยางตงหยางด้วยมือของตนเอง” องครักษ์รับคำพร้อมกับเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างไม่ปริปากอันใด

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status