“แค่ 90 วันเนี่ยนะ”
“ฉันกำหนดเส้นตายให้ 90 วัน นั่นถือว่าฉันใจดีมากแล้วนะ” เสียงทุ้มเรียบของหลงเฟยยังคงเยือกเย็นพอจะปิดทางหนีทุกเส้นทางของคะน้า
ทางด้านคะน้าเมื่อได้ยินหลงเฟยพูดเช่นนั้น ใบหน้าเรียวใสของเธอก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้ พลางกำมือน้อย ๆ แน่นใต้โต๊ะจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ
“90 วัน ถ้าคิดว่าฉันทำไม่ได้ ก็คอยดูให้ดีเถอะ” คะน้าคิดในใจ
“90 วันก็ 90 วัน ฉันจะหาเงินมาคืนคุณให้ได้”
“ดี…พอถึงวันเธออย่าลืมคำพูดตัวเองก็แล้วกัน”
หลงเฟยมองคนตรงหน้า แววตานิ่งเหมือนอ่านหนังสือเปิดหน้า ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายเหมือนคนที่รู้ดีว่า ต่อให้ให้เวลานานแค่ไหน คนหาเช้ากินค่ำอย่างคะน้าก็ไม่มีทางหาได้
เสียงแชะ จากปลายปากกาที่วางลงบนโต๊ะเบา ๆ ดังชัดเจนเกินจำเป็น ทำให้หัวใจของคะน้าสะดุ้งวูบ
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าในเก้าสิบวันเธอจะไม่หายหัวไปกลางทาง”
“คุณหมายความว่าไงอีก” คะน้าขมวดคิ้ว
“ง่าย ๆ ฉันไม่ไว้ใจเธอ ตราบใดที่เธอยังไม่เซ็นเอกสาร”
“ถ้างั้น…เธอต้องอยู่ในสายตาฉันตลอด เพื่อให้ฉันมั่นใจว่าเธอจะไม่หายหัวไปกลางทาง”
“สายตาคุณ?” เธอทวนเสียงแข็ง ความร้อนจากข้างในแล่นขึ้นมาที่อก
มุมปากของเขายกขึ้นช้า ๆ เป็นรอยยิ้มบางที่เย็นเหมือนคมมีดซ่อนใต้กำมือ
“ย้ายมาอยู่ที่เพนส์เฮาต์ที่ฉันจัดเตรียมให้ จนกว่าจะครบเก้าสิบวันที่เธอต้องหาเงินมาคืนบริษัทฉัน”
ประโยคนั้นเหมือนหมากตัวสุดท้ายที่หลงเฟยปาใส่กระดาน มันไม่ใช่คำขอ แต่มันคือคำสั่งและคะน้ารู้ทันทีว่าเขากำลังปิดทางหนีให้เธอทุกด้าน และนี่มันไม่ใช่แค่การเจรจาแต่มันคือกรงที่เขาสร้างขึ้นด้วยมือของเขาเอง
“นี่เป็นทางเดียวที่ทำให้ฉันมั่นใจว่าเธอจะไม่หายไประหว่างที่หาเงินมาคืน” หลงเฟยเอนตัวพิงเก้าอี้อีกครั้ง นิ่งและเยือกเย็น
“หรือถ้าเธอไม่ย้ายมา เราก็ไม่ต้องพูดถึงเงื่อนไขเก้าสิบวันอีกต่อไป เซ็นเอกสารแล้วออกไปซะ”
“คุณกำลังบังคับฉันสินะ” เสียงคะน้าพูดเบาแต่เย็น
“ไม่เรียกว่าบังคับหรอก เรียกว่าสร้างความมั่นใจให้ทั้งสองฝ่าย” หลงเฟยตอบเรียบ ก่อนเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเต็มตัวราวกับกำลังดูผลลัพธ์ของเกมที่ตัวเองควบคุมอยู่
“…” คะน้านิ่งไปสักพัก แต่ไม่ใช่เพราะเธอกลัว แต่เพราะกำลังคำนวณ เสียงหัวใจตัวเองดังกลบเสียงแอร์ เธอรู้ดีว่าการตอบเพียงคำเดียวในตอนนี้ จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล แต่ไม่นาน…
“ตกลง! ฉันจะย้ายมาอยู่เพนส์เฮาต์ที่คุณจัดเตรียมไว้ให้” ร่างบางหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ดวงตากลมใสของเธอแข็งขึ้นทีละนิด ความกลัว ความเจ็บใจ ความดื้อรั้นตีกันยุ่งในอก แต่สุดท้ายสิ่งที่ชนะคือความไม่ยอมแพ้
เสียงตอบของเธอไม่ได้ดังแต่หนักแน่นพอจะกรีดอากาศในห้องโถงใหญ่ของตึกสูงให้ขาดครึ่ง เธอรู้ว่าแค่คำว่า ‘ตกลง’ คำเดียวคำนี้กำลังพาเธอเข้าไปอยู่ในโลกของเขาหรือที่เรียกว่ากรงมังกรนั่นเอง
“เธอจะได้ทุกอย่างที่เธอเสนอฉันมา ถ้าเธอหาเงินมาคืนฉันได้แต่ถ้าหาเงินมาคืนไม่ได้” หลงเฟยโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาคมกริบจ้องเข้าในดวงตากลมไม่กะพริบ
“เธอต้องเซ็นเอกสารให้สิทธิ์ของตลาดนี้กลายเป็นของฉันทั้งหมด” สิ้นคำพูดหลงเฟย คะน้ากัดฟันแน่น ความร้อนวิ่งวูบวาบไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะเธอกลัว แต่เพราะเธอกังวลโกรธและรู้ว่าเขาคิดว่าเธอไม่มีทางทำได้
“งั้นก็ดูให้ดี…ว่าเก้าสิบวันของฉันจะจบยังไง”
หลงเฟยเลิกคิ้วด้วยความประมาท มุมปากกระตุกยิ้มบาง ๆ นี่แหละคือยิ้มของนักล่าที่เห็นเหยื่อกำลังจะเดินเข้ากรงด้วยตัวเอง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับ”
“เชิญ”
เสียงประตูกระจกดัง ปัง! เมื่อคะน้าเดินออกจากตึกยามค่ำ อากาศเย็นเฉียบปะทะผิวแต่ดับความอึดอัดในอกไม่ได้เลย
เสียงรองเท้าผ้าใบเก่า ๆ กระทบทางเท้าไปทีละก้าว สอดรับกับเสียงรถบนถนนที่ไหลผ่านอย่างไม่สนใจโลกของใคร
“เก้าสิบวันวัน… แค่เก้าสิบวัน ฉันต้องหาเงินให้ได้” จมูกเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกและคิดคนเดียวในใจ ก่อนจะมองไปข้างหน้าและเดินต่อใต้เงาไฟถนนที่ทอดยาวเป็นแนวแสงสีเหลืองส้ม พาดผ่านเงาร่างของเธอที่กำลังเดินกลับบ้านไม้หลังเล็ก
“ยายทำแบบนั้นเพราะอนาคตและความฝันของฉัน จำไว้ให้ดี
คะน้ายายไม่ผิด” คะน้าคิดคนเดียวในใจ
สองเท้าเล็กจอดนิ่งอีกครั้ง ใบหน้าเรียวใสเงยหน้ามองฟ้าที่มืดสนิท ดวงดาวไม่ชัดเจนเท่าแสงไฟจากตึกสูงที่เธอเพิ่งจากมา
“ฉันจะต้องหาเงินมาคืนคุณให้ทันเวลาไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”
พูดจบคะน้าก็ก้าวเดินต่อเพื่อกลับไปยังบ้านไม้หลังเล็กของเธอและยาย เมื่อถึงสองเท้าเล็กจึงเดินเข้าบ้านอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตารอบ ๆ ตัวบ้าน จนกระทั่งเห็นไฟในห้องครัวเล็ก ๆ ที่ยังคงเปิด
กลิ่นน้ำซุปจากหม้อที่ตั้งทิ้งไว้อบอวลไปทั่วบ้าน ยายสมพรนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หน้าห้อง คราบเหงื่อยังติดอยู่บนหน้าผากจากการขายของทั้งวัน
ตึกตัก… ตึกตัก… ตึกตัก…
หัวใจของคะน้าเต้นแรงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะคำพูดของหลงเฟยแต่มันเป็นเพราะภาพตรงหน้าของยายสมพรคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหมือนโลกทั้งใบของเธอ
“ยายทำแบบนี้…ก็คงเพราะอยากให้ฉันมีอนาคต เงินค่าเทอมที่จ่ายไปก่อนนั่น คงจะมาจากเงินก้อนนี้” คะน้าคิดในใจ
“กลับมาแล้วเหรอลูก คะน้า” ยายสมพรเงยหน้าขึ้นยิ้มจาง ๆ ดวงตาขุ่นมัวเพราะความเหนื่อยล้า แต่คำเอ่ยถามหลานสาวของหญิงชราก็ยังอบอุ่นเหมือนเดิม
“จ้ะยาย…” คะน้าตอบสั้น ๆ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ยายสมพรหันไปคนหม้อแกงต่อ ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวใหญ่แค่ไหนกำลังโหมอยู่ข้างนอกแต่คะน้ารู้ดีและไม่อยากให้ยายต้องรู้
“ยายอุตส่าห์ทำเพราะรักฉัน ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธยายเลย” คะน้าพูดคนเดียวในใจ
ร่างบางเดินเข้าไปหายายช้า ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เงียบ ๆ มือเล็กเอื้อมไปจับมือเหี่ยวย่นของคนที่เลี้ยงดูเธอมาทั้งชีวิต
“ยาย…” เสียงเธอเบาและอ่อนโยน
“หืม? เป็นอะไรลูก?” ยายสมพรหันมายิ้มให้ ทั้งที่รอยยิ้มมีความเหนื่อยซ่อนอยู่
“ไม่มีอะไรหรอก…แค่คิดว่า ยายเหนื่อยมามากแล้วเนอะ” คะน้าส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่เหนื่อยหรอกลูก ยายทำเพื่อคะน้ายายอยากให้หนูได้เรียน ได้มีชีวิตดี ๆ กว่ายาย”
คำพูดของยายเรียบง่าย แต่กลับแทงเข้าใจกลางหัวใจของคะน้า
“ใช่…ยายไม่ได้อยากจะขายที่ ยายพยายามช่วยเราเท่าที่ยายทำได้” คะน้าคิดคนเดียวในใจ
เด็กสาวกำพร้ากอดยายแน่น น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ทั้งวันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเล็กน้อย ในอ้อมกอดนั้นไม่มีความโกรธ มีแต่ความรัก ความซาบซึ้ง และความตั้งใจเงียบ ๆ
“ไม่ว่ายังไงหนูก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เราเสียสมบัติชิ้นสุดท้ายในชีวิตไปนะยาย” คะน้ายังคงคิดคนเดียวในใจพลางแนบหน้าเรียวใสลงกับไหล่ของยายสมพร กลิ่นสบู่เก่ากับกลิ่นผักสดที่ติดอยู่บนเสื้อของยายอบอวลอยู่รอบตัว
มันคือกลิ่นเดียวของความทรงจำและสมบัติชิ้นเดียวที่เธอจะไม่ยอมให้ใครมารื้อออกจากชีวิต ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามเธอก็จะยอมแลก