แสงแดดยามเช้าในวันต่อมาสาดกระทบหลังคาสังกะสีของตลาดจนเกิดเสียงดังแกร๊ง เบา ๆ ลมเช้าอ่อน ๆ พัดกลิ่นผักสด ผักชี ต้นหอม และกลิ่นข้าวต้มจากร้านข้าง ๆ ลอยมาแตะปลายจมูก
เช้านี้ทุกอย่างดูเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกในตลาดกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“เมื่อวานมันใช่นายทุนคนในข่าวไหมวะ ฉันเห็นหน้าในจอทุกวัน!”
“เออสิ คนแบบนั้นจะมาในที่แบบนี้ได้ไงวะ แล้วเขาจะมาพัฒนาตลาดเราให้ใหม่ขึ้นจริง ๆ เหรอ?”
“นั่นนะสิ ฉันเห็นเขายืนอยู่หน้าแผงผักยายสมพรด้วยนะ คะน้านี่เถียงกับเขาไม่กลัวอะไรเลย”
เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังเป็นระลอกจากหลังแผงผักและร้านข้าง ๆ แม่ค้าบางคนหัวเราะกลบความกังวล แต่แววตาแต่ละคู่ยังคงวูบไหวด้วยความกลัวและไม่มั่นใจในวันข้างหน้า
คะน้านั่งหลังตรงอยู่หลังแผงผักเหมือนทุกวัน มือเธอแยกถุง ตัดผัก ติดป้ายราคาเหมือนเคย แต่ทุกการขยับกลับมีแรงกดดันบางอย่างทาบลงมา ความทรงจำจากเมื่อวาน
เงาของตึกสูง รถหรู เสียงทุ้มเรียบนิ่งของหลงเฟย ยังไม่เลือนหายไปจากหัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“คะน้า เมื่อคืนได้นอนบ้างหรือเปล่า” แม่ค้าร้านข้าวแกงเดินเข้ามาทัก มือยังถือทัพพีไว้แน่น
“นอนจ้ะป้า แต่ฝันเห็นหน้าไอ้คนเมื่อวานมาสั่งรื้อที่ตลาดทั้งคืนเลย” คะน้าเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบาง ๆ
“เอาน่า เซ็น ๆ ไปเถอะเขาจะได้มาพัฒนาตลาดเรา” แม่ค้าร้านข้าวแกงทำหน้าบึ้งแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเป็นกังวลแฝงอยู่
“คะน้าเอ็งอย่าลืมนะ คนแบบนั้นไม่ใช่แค่คนรวยเฉย ๆ มันคือคนที่ขยับปากทีเดียว ชีวิตเราเปลี่ยนหมดเลย พวกป้ารอเงินชดเชยก้อนที่สองอยู่”
“เหมือนขายที่ดินทำมาหากินตัวเองชัด ๆ”
“ก็เขาจะมาพัฒนาตลาดให้มันใหม่ขึ้น ดีขึ้น เอ็งก็เซ็น ๆ ไป หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ เงินก้อนก็ได้มาตั้งหลักใหม่ ตลาดก็ใหม่ขึ้น”
“ไม่รู้แหละ ฉันจะสู้ ฉันว่าไม่มีใครเอาเงินก้อนมาทิ้งฟรี ๆ แบบนี้หรอก”
“สู้กับอะไรคะน้า เอ็งก็แค่เซ็น พูดยากพูดเย็นจริง ๆ” แม่ค้าร้านข้าวแกงถอนหายใจยาว มองไปทางปลายตลาดที่เมื่อวานยังเป็นจุดที่หลงเฟยยืนอยู่
“เอ็งไม่ยอมเซ็น เอ็งรู้ไหมว่าเอ็งจะทำให้พวกป้าเดือดร้อน เงินก้อนก็จะล่าช้าออกไปอีก แกไม่นึกถึงปากท้องพวกป้าหรือไงของก็ใช่ว่าจะขายดี”
คำพูดนั้นเหมือนถูกน็อตตอกลงกลางอกคะน้า เธอเม้มปากแน่นแต่ไม่ตอบอะไร
“คนรวยที่ไหนจะเอาเงินมาทิ้งให้มันสูญเปล่า โดยที่ไม่ได้ผลประโยชน์” คะน้าคิดในใจคนเดียวไม่ได้เอ่ยออกไป
ด้านยายสมพรที่นั่งแยกผักอยู่ข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคนั้นของแม่ค้าร้านข้าวแกง ดวงตาของยายอ่อนโยนแต่แฝงความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างใน ยายสมพรรู้ดีว่าหลานสาวคนนี้ใจดื้อแค่ไหน หากบอกว่าจะสู้ คะน้าก็สู้ไม่ถอยแน่และมันทั้งน่าภูมิใจและน่ากลัวไปพร้อมกัน
“ยาย พอขายของวันนี้เสร็จ บ่าย ๆ หนูจะไปเจอเขา” คะน้าพูดขึ้นมาเสียงนิ่ง
“ไปเจอเขา?”
“อืม ตามเอกสารเมื่อวานนั่นแหละ” เธอเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนอย่างใจเย็น
“คะน้า” ยายสมพรเรียกชื่อหลานเสียงสั่น ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนอยากห้ามแต่ไม่รู้จะพูดอะไร
“เอาน่ายาย ถ้าพวกป้า ๆ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดคิดว่ามันคือโอกาส หนูนี่แหละจะหาความจริงว่ามันคือหลุมพรางหรือเปล่า มีที่ไหนละยาย จะเอาเงินมาทิ้งฟรี ๆ ของฟรีไม่มีในโลกหรอกนะ”
เสียงในใจของคะน้าดังชัดเจนขึ้น เธอกำซองเอกสารสีน้ำตาลในกระเป๋ากางเกงแน่น นี่ไม่ใช่การตัดสินใจธรรมดา แต่มันคือก้าวแรกที่เธอกำลังจะเดินเข้าสู่เกมของมังกร
เสียงรถจักรยานพ่วงดังเอี๊ยดขณะคะน้าเลี้ยวออกจากตลาดในช่วงบ่ายแก่ ๆ แสงแดดสาดกระทบตึกสูงไกลลิบ ทำให้เงาเรียวยาวของเธอทอดไปตามพื้นถนนที่ปูด้วยคอนกรีตซีด ๆ ต่างจากถนนดินในตลาดที่คุ้นเคย
หัวใจเธอเต้นแรง ไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะรู้ว่าก้าวนี้จะเปลี่ยนทุกอย่าง
‘คนรวยที่ไหนจะเอาเงินมาทิ้งให้มันสูญเปล่า โดยที่ไม่ได้ผลประโยชน์’
คำพูดที่เธอพูดออกไปเมื่อเช้าดังก้องในหัวอีกครั้ง คะน้าสูดลมหายใจเข้าลึก มือกำซองเอกสารสีน้ำตาลในกระเป๋ากางเกงแน่นขึ้น เธอรู้ดีว่าคนที่รออยู่ปลายทางไม่ใช่คนธรรมดา
@ ล็อบบี้สำนักงานรองบริษัทหลงเฟยกรุ๊ป
ประตูกระจกใสของตึกสำนักงานเปิดออกพร้อมกับลมแอร์เย็นเฉียบกระแทกหน้า กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยมาพร้อมบรรยากาศเงียบกริบของโลกอีกใบ
โลกที่ไม่เหมาะกับคนใส่ผ้ากันเปื้อนและรองเท้าผ้าใบเก่า ๆ …
คะน้าเดินก้าวเข้าไปช้า ๆ พนักงานต้อนรับในชุดสูทเรียบเป๊ะปรายตาลงมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยความเงียบ แต่ความเงียบและสายตาเหล่านั้นเหมือนเข็มนับร้อยเล่มที่จิ้มลงกลางอกเธออย่างบอกไม่ถูก
“มาหาใครคะ” น้ำเสียงหนักงานหญิงเอ่ยสุภาพแต่เย็น
“คุณหลงเฟย ฉันมาเจอคุณหลงเฟยค่ะ” คะน้าตอบสั้น ๆ ขณะในดวงตาไม่สั่นแม้แต่นิด พนักงานชะงักไปชั่ววินาที ก่อนกดโทรศัพท์เบา ๆ พูดอะไรบางอย่างกับอีกฝั่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้น
“เชิญขึ้นไปที่ชั้น 35 คุณหลงเฟยรออยู่แล้วค่ะ”
“หึ! รออยู่แล้วงั้นเหรอ…ก็แปลว่าเขารู้ว่าฉันจะมา” คะน้าหัวเราะในใจนิด ๆ จากนั้นคนตัวบางก็เดินตามพนักงานชุดสุทเรียบเป๊ะไปยันลิฟต์หรู
“เชิญค่ะ”
ภายในลิฟต์มีเพียงเธอคนเดียว เสียงเครื่องยนต์ดังเบา ๆ ขณะตัวตึกพาเธอลอยสูงขึ้นทีละชั้น ตัวเลขไฟสีแดงบนหน้าจอเปลี่ยนไปทีละตัว 14…18…22…30…35 นี่ไม่ใช่แค่ตึกแต่มันคือกรงเล็กของหลงเฟย
ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมเสียงติ๊งเบา ๆ ห้องโถงด้านหน้าปูพรมสีเข้ม โต๊ะประชุมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง เบนสายตาไปที่ปลายโต๊ะ ชายร่างสูงในสูทสีดำเรียบยืนหันหลังมองวิวเมืองจากกระจกบานสูง
แสงแดดยามบ่ายทอดลงบนเรือนผมสีดำแซมเทาที่ถูกรวบเรียบ ดวงตาคมเรียบเย็นของหลงเฟยสะท้อนแสงเหมือนกระจกน้ำแข็งเมื่อเขาหันกลับมา
“ไม่คิดว่าเธอจะกล้ามาจริง ๆ” น้ำเสียงเรียบเย็นไม่มีแววแปลกใจ
คะน้าไม่ได้ตอบ เธอเดินเข้าไปข้างใน ก้าวเท้าเสียงชัดบนพื้นพรมอย่างตั้งใจ เธอรู้ดีว่าเขามองทุกก้าวของเธอและเธอก็จะไม่ยอมทำให้ตัวเองดูเล็กลง
“คุณเรียกฉันมาไม่ใช่เหรอ ในเอกสารนั่น” เธอพูดช้า ๆ
“ฉันไม่ได้เรียก” ริมฝีปากหนาสวยได้รูปยกยิ้มบาง ๆ มุมปาก
“ฉันแค่รู้ว่าเธอจะมาเองแค่เอกสารแผ่นเดียวที่ส่งไป”
สิ้นคำพูดเยิ้ยหยันของหลงเฟยคะน้ากำมือแน่นแต่สีหน้าไม่เปลี่ยน
หลงเฟยเดินมาหยุดตรงหน้าคะน้า ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป ดวงตาคมกริบจ้องลงมาเหมือนคนประเมินราคา
“คนทั้งตลาด…กำลังรอเธอแค่คนเดียว” น้ำเสียงเขาเรียบแต่แฝงแรงกดดันบางอย่างไว้ทุกถ้อยคำ
คะน้าเชิดหน้าขึ้น ดวงตากลมใสสู้กลับ
“แต่ฉันไม่ได้อยู่ในฝั่งพวกเขา” เธอตอบเสียงเรียบ ไม่มีสั่น ไม่มีลังเล
ด้านหลงเฟยเมื่อได้ยินคะน้าพูดเช่นนั้นมุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงถึงความขบขัน แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่ รู้ว่ามีไพ่เหนือกว่า
“แต่ยายของเธอ…” เสียงของเขาช้าลงอย่างจงใจ ก่อนขยับปลายนิ้วแตะกระดุมแขนเสื้อช้า ๆ ก่อนพูดต่อ
“รับเงินก้อนแรกจากบริษัทไปแล้ว”
“ว่าไงนะ?”
คะน้าชะงักเหมือนพื้นใต้เท้าลื่นวาบไปชั่วขณะ แต่เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาใสแข็งขึ้นเหมือนผลึกน้ำแข็ง
“ยายของเธอ…รับเงินก้อนแรกจากของฉันบริษัทไปแล้ว”
“ถ้าจริง…คุณก็เอาหลักฐานมา”
หลงเฟยแทบไม่ต้องออกแรง เขาเอี้ยวตัวไปหยิบแฟ้มสีเข้มจากปลายโต๊ะ เลื่อนเข้ามาตรงหน้าคะน้าอย่างใจเย็น แผ่นกระดาษเรียงเป็นระเบียบสำเนาหนังสือรับเงิน
ลายเซ็นชื่อ สมพร…พร้อมตราประทับบริษัทชัดเจน และท้ายแฟ้มมีกำหนดการดำเนินการปิดไว้ด้วยกระดาษคั่นสีแดง
คะน้ากวาดตาไปทีละบรรทัด ลมหายใจสั้นลงเล็กน้อย แต่ปลายนิ้วยังนิ่ง เธอหยุดอยู่ที่หัวข้อขั้นตอนถัดไป สามคำภาษาอังกฤษที่เธออ่านเข้าใจ Pending signature
“ทำไมต้องรอลายเซ็นฉันด้วย ในเมื่อคุณบอกว่าถือสิทธิ์แทบทุกอย่าง” คะน้ายกสายตาขึ้น
“เพราะกระบวนการมันต้องครบ…จบด้วยลายเซ็นบางลายเซ็น” มุมปากของหลงเฟยยกขึ้นน้อยจนแทบมองไม่เห็น เขาไม่เอ่ยชื่อ ใส่เพียงความนิ่งที่ชวนให้คนตรงหน้าคิดต่อเอาเอง
“…”
ความเงียบแทรกอยู่ระหว่างทั้งสองพักหนึ่ง มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเบา ๆ กับแสงเช้าที่หกทาบพื้นพรมเข้ม
“ฉันมาที่นี่เพื่อเจรจา ไม่ใช่มายอมเซ็นเอกสาร”คะน้าปิดแฟ้มอย่างระวัง
“เธอไม่มีอะไรจะวางบนโต๊ะนอกจากเวลา ซึ่งฉันก็มีมากกว่าเธอ”
“ถ้างั้นฉันจะเอาอย่างอื่นมาวาง” คะน้าตอบทันควัน
“ความจริงทั้งหมดของโครงการนี้คุณกล้าพอจะเปิดให้ฉันดูไหม แปลน โครงสร้าง ผลกระทบกับชุมชน ข้อตกลงกับผู้โอนขาย การชดเชยจริง ไม่ใช่แค่แผ่นโฆษณา”
หลงเฟยมองคะน้าเหมือนกำลังดูหมากตัวหนึ่งที่เดินเข้าหาเขาโดยไม่กลัว
“เพื่ออะไร ทำไมฉันต้องมานั่งอธิบายซ้ำ”
“เพื่อที่ฉันจะตัดสินใจบนข้อมูลจริงและเพื่อบอกคนในตลาดด้วย” คะน้าพูดเน้นช้า ๆ
“ถ้าเป็นแค่แผนสวย ๆ บนกระดาษแต่จะทิ้งคนทั้งตลาด ฉันจะไม่เซ็นอะไรทั้งนั้น”
แววตาหลงเฟยนิ่งก่อนจะก้มลงแตะปากกาโลหะบนโต๊ะ เล่นด้วยปลายนิ้วคล้ายกำลังคิดคำนวณ
“แล้วทำไมฉันต้องมาอธิบายอะไรกับเธอให้เสียเวลา เธอคิดว่าเสียงของเธอจะทำให้ฉันเปลี่ยนแบบแพลนได้งั้นเหรอ?”
“ฉันคิดว่าเสียงของฉันอาจทำให้กำหนดการของคุณช้าลง” คะน้าตอบตรง ๆ
“สื่อ ชุมชน ทนายอาสา ฉันอาจไม่มีเงิน แต่ฉันมีเวลาพอจะวิ่งหาเขา บอกความจริงฉันมา” ประกายบางอย่างวาบในดวงตาหลงเฟยไม่ใช่โกรธ แต่เป็นความสนใจแบบนักล่าที่เจอเหยื่อไม่ยอมวิ่งหนี
“เธอเลือกแล้วว่าไม่ยอมสินะ”
“ใช่ฉันเลือกแล้วว่าไม่ยอม” สิ้นเสียงคะน้า หลงเฟยจึงวางปากกา จัดแฟ้มให้ตรง
“ดี งั้นฉันก็จะไม่เสียเวลาเช่นกัน…ฉันจะให้ทางเธอหนึ่งเส้น”
คะน้าไม่กะพริบตา รอฟัง
“ฉันจะจัดเอกสารที่เธออยากเห็นให้สรุปโครงการ สัญญาชดเชย ระเบียบการจัดสรรพื้นที่ใหม่ รายชื่อผู้มีสิทธิตามกฎหมายทั้งหมด” หลงเฟยเงียบและเว้นจังหวะเล็กน้อย
“แลกกับเงื่อนไขง่าย ๆ สองข้อ”
คะน้าขยับคางน้อย ๆ เป็นสัญญาณให้พูดต่อ
“ข้อหนึ่งภายในเก้าสิบวัน ถ้าเธอหาวิธีนำ เงินก้อนแรกจำนวน 400,000 คืนบริษัทได้ ฉันจะยกเลิกโครงการโดยที่ไม่เรียกเงินกับทุกคนในตลาดสักแดงเดียว”