“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้
“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น” ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว “ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้ “อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ “เปล่าหรอกเจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้ “ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาให้แก่เจ้า” เจ้าของดวงหน้างามยิ้มแย้มออกมาเมื่อท่านย่ากล่าวเช่นนี้ออกมา นางลุกขึ้นคำนับสตรีสูงวัยตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยขอตัวไปพบมารดาเพื่อบอกกล่าวถึงเรื่องที่นางได้พูดคุยกับท่านย่า ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้รั้งหลานสาวเอาไว้ นางมองตามร่างเล็กที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อนเดินจากไป ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเผยรอยยิ้มแห่งความสบายใจออกมา ก่อนหน้านี้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามีแต่ความกังวล กลัวว่าหลานสาวคนโตจะอายุไม่ยืนยาว พอนางกลับมาแข็งแรงได้เช่นนี้ก็ทำให้นางคลายความกังวลได้ไม่น้อย แต่ก็รู้สึกตงิดในใจเรื่องที่หลานสาวบอกว่าจะไม่แต่งงาน นางก็หวังเพียงว่าที่หลานกล่าวมานั้นเป็นเพียงความคิดของเด็กๆ เท่านั้น ร่างเล็กเดินไปถึงเรือนใหญ่ของบิดาและมารดา น้องชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นพี่สาว ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินทรุดนั่งลงกับพื้นเพื่อรับร่างเล็กของหลานชายในชาติภพก่อนเข้ามาในอ้อมกอด “หลงเอ๋อร์ของพี่” ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มของน้องชายวัยห้าขวบ สาวรับใช้คนสนิทของทั้งโจวเจินเจินและโจวเจินหลงต่างมองมายังสองพี่น้องด้วยแววตาแสดงออกมาถึงความเอ็นดู คุณหนูใหญ่และคุณชายรองรักกันเสียจริง และถ้านายหญิงใหญ่จะมีทายาทมาเพิ่มก็คงจะมิได้มีปัญหาอย่างแน่นอน “ท่านพี่ใหญ่ ท่านหายดีเล่นกับข้าได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ” เด็กชายเอ่ยถามผู้เป็นพี่สาวออกมา ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู หลานชายตัวน้อยถึงจะมิค่อยสนิทกับนางเท่าโจวเจินเจินแต่ทว่าเขาก็เป็นหลานชายที่นางรักและเอ็นดูอีกคน อาจจะเป็นเพราะนางมิได้มีโอกาสมีบุตรเป็นของตน จึงทำให้รักและเอ็นดูเด็กทั้งสองเป็นพิเศษ “ใช่แล้วจ้ะ… ต่อไปนี้พี่สามารถเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้แล้ว” น้องชายเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับร้องไชโยออกมา ร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอดของพี่สาวแล้ววิ่งไปรอบๆ ตัวนาง “เย้ๆๆๆ ท่านพี่ใหญ่แข็งแรงแล้ว ข้ามิต้องได้ทนเหงาอีกต่อไปแล้ว” แม้ว่าใต้เท้าโจวจะมีภรรยารองแต่บุตรของรองนั้นก็เจียมตนจนมิกล้าย่างกรายมาคลุกคลีกับคุณชายรองอย่างเขา พอพี่สาวร่างกายมิแข็งแรงก็ทำให้เด็กกำลังซนเช่นเขารู้สึกเหงา แต่พอมาบัดนี้ได้ยินว่าพี่สาวแข็งแรงขึ้นมาก และนางก็บอกว่าสามารถเล่นเป็นเพื่อนเขาได้แล้ว จึงทำให้เขาแสดงความดีใจออกมา “เจ้ากินมื้อเช้าหรือยัง พี่เพิ่งจะไปกินกับท่านย่าที่เรือน กลางมา” “ข้ากินแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นเราไปเล่นกันได้หรือยังขอรับ ข้าเบื่อที่จะต้องเล่นกับพวกอาลู่แล้ว พวกผู้ใหญ่เล่นด้วยไม่สนุกเลย” เสียงเล็กพูดคุยออกมาอย่างยืดยาวจนคนฟังอดที่จะอมยิ้มมิได้ “พี่จะไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ก่อน เจ้าจะเข้าไปด้วยกันหรือไม่” นางเอ่ยถามน้องชายออกมา เด็กชายพยักหน้า สองพี่น้องจึงจูงมือกันไปยังเรือนใหญ่รั้งท้ายด้วยบ่าวและสาวรับใช้ที่ติดตามเด็กๆ ทั้งสอง “เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างเล็กคำนับบิดามารดาทันทีที่ถึงเรือนใหญ่ “ลูกรองคารวะท่านพ่อ ลูกรองคารวะท่านแม่” เด็กชายคำนับบิดาและมารดาเช่นเดียวกับพี่สาวของตน “ตามสบายเถิดพวกเจ้า นี่ไปเจอกันที่ใดมาล่ะ เจินเอ๋อร์เจ้ารับมื้อเช้ากับท่านย่ามาแล้วใช่หรือไม่” ใต้เท้าโจวเอ่ยขึ้นจากนั้นจึงถามไถ่บุตรทั้งสองด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าสองพี่น้องมาคำนับเขาและฮูหยินพร้อมๆ กัน “เจอกันระหว่างทางที่จะเดินมาเรือนใหญ่เจ้าค่ะท่านพ่อ… ถูกแล้วเจ้าค่ะ ลูกเพิ่งรับมื้อเช้าพร้อมท่านย่าเสร็จ จากนั้นจึงแวะมาคำนับพวกท่านต่อ” ผู้เป็นพี่สาวตอบออกมาตามตรง ใต้เท้าโจวได้ฟังเช่นนั้นจึงพยักหน้า “มานั่งข้างๆ แม่นี่มา ทั้งสองคนนั่นแหละ” ฉินเซี่ยหรงบอกบุตรีและบุตรชายทั้งสอง “หลงเอ๋อร์… ถึงพี่สาวของเจ้าจะแข็งแรงมากขึ้นแล้ว แต่ก็มิควรที่จะชวนนางเล่นมากเกินไปนะรู้หรือไม่” ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินถึงกับอมยิ้มเมื่อได้ยินน้องสาวในอดีตชาติของนางสอนบุตรชาย สกุลนี้มิว่าหญิงหรือชายก็มีความสำคัญเช่นกัน แต่สำหรับบางสกุล บิดาและมารดามักจะให้ความสำคัญแก่บุตรชายมากกว่า โจวเจินเจินโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นบุตรีของสกุลโจว แต่โชคร้ายที่ต้องมาจากไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงวัยสาว “ลูกเข้าใจขอรับ ลูกจะมิชวนท่านพี่ใหญ่เล่นซนจนเกินไป แต่ลูกจะไม่ต้องเหงาเช่นแต่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” โจวเจินหลงช่างเจรจายิ่งนัก น้องชายของโจวเจินเจินรู้ความแม้จะยังเยาว์วัยก็ตามที น้องสาวของนางช่างโชคดีโดยแท้ มีสามีที่รักและมีลูกๆ ที่มาเป็นสายใยสานความสัมพันธ์ให้กันและกัน สี่คนพ่อแม่ลูกนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไป เรื่องสุขภาพร่างกายและเรื่องของอนาคตภายภาคหน้า เรื่องที่สองสามีภรรยาถึงกับคิดไม่ตกก็ยามเมื่อได้ยินโจวเจินเจินกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นว่านางจะไม่แต่งงาน หรือถ้าหากนางจะต้องแต่งจริงๆ นางก็อยากจะขอเลือกบุรุษที่นางรักและเขาก็รักนางเป็นสามี ทั้งสองมิได้คิดไปไกลตัว แต่ทว่ากลับคิดไปถึงเรื่องราวของพี่สาวอย่างฉินเซี่ยหรูผู้ล่วงลับ บุตรสาวอาจจะเห็นชีวิตของท่านป้าของนางต้องผิดหวังในความรักจนมีจุดจบแบบนั้นจึงทำให้ฝังใจและไม่อยากแต่งงาน ทั้งใต้เท้าโจวและฉินเซี่ยหรงก็ได้แต่หวังว่าในภายภาคหน้าบุตรีของตนจะได้พบกับบุรุษที่รักนางและนางรักตามที่นางต้องการ โจวเจินเจินในยามนี้มิใช่สตรีที่อ่อนแอและโหยหาความรักเช่นเจ้าของจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างของนางอย่างฉินเซี่ยหรูอีกแล้ว นางจะใช้ชีวิตของหลานสาวให้แตกต่างจากเดิม นางจะมิเดินตามรอยเดิมของนางเด็ดขาด ท่านเทพเซียนบนสรวงสรรค์ให้นางได้มีโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่ นางก็ต้องอยู่ในชาติภพนี้ให้ดี ทำหน้าที่ลูกสาวที่กตัญญูและสร้างคุณความดีให้แก่หลานสาวที่จากไปแต่จิตวิญญาณแล้วสละร่างกายนี้ไว้ให้แก่นาง“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู