กลุ่มอาชาของราชทูตจากเป่ยฮั่นใกล้เข้ามา กองทหารแคว้นซีตันออกมารอต้อนรับ รวมถึงองค์ชายหนานเจินหยางและองค์หญิงหนานอันรั่ว
พอเงาของกลุ่มคนชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ คิ้วคมเข้มของหนานเจินหยางก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
สตรีที่นั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันกับเขาไม่ใช่ว่าเป็นน้องสาวเขาหรอกหรือ
หนานอันรั่วเองก็เช่นกันไหนว่าหนานรั่วซีพักผ่อนอยู่ในห้อง เหตุใดจึงโผล่มาที่นี่พร้อมกับคนจากเป่ยฮั่น
หยวนไป๋เจียนลงจากม้าก่อน เขารอรับเพื่อประคองนางตอนลงจากม้า
แต่เมื่อเห็นสีหน้าขององค์ชายหนานเจินหยาง เขาจึงปล่อยให้พี่ชายนางเป็นคนมารับแทน
“เชิญองค์ชาย”
หนานเจินหยางส่งมือให้น้องสาว เด็กคนนี้ดื้อนักขนาดร่างกายไม่แข็งแรงยังสามารถเอาเรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดออกไปเล่นซนข้างนอกได้อีก
“เสด็จพี่” นางทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม แต่เพราะตอนนี้ร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มคล้ายกับจะเป็นไข้ เห็นท่าทางเช่นนั้นของน้องสาวหนานเจินหยางจึงเปลี่ยนเป็นอุ้มลงมาจากม้าแทน
“ท่านอ๋องลำบากท่านแล้ว น้องสาวข้าคนนี้ซุกซนนัก” เขาพูดทั้งที่ยังอุ้มนางอยู่ “ตอนนี้ข้าคงต้องพานางกลับเข้าไปด้านในก่อน รั่วซีร่างกายไม่แข็งแรง ข้าจะให้องค์หญิงอันรั่วเป็นผู้รับรองท่านแทน”
หยวนไป๋เจียนไม่ใช่คนเรื่องมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดว่านางจะเป็นองค์หญิงฝาแฝดที่คนพูดถึง คิดเพียงแค่ว่าคงเป็นพวกท่านหญิงที่ชอบเที่ยวเล่น
เมื่อหนานเจินหยางลับหายเข้าไปแล้ว และปรากฎใบหน้าของสตรีอีกคนเข้ามาแทนที่ สตรีผู้นี้ใบหน้าเหมือนกับคนป่วยที่เพิ่งถูกอุ้มเข้าไปไม่มีผิด
แต่ต่างกันตรงที่ องค์หญิงผู้นี้สดใสราวกับสายน้ำในฤดูร้อน ดูเย่อหยิ่งถือตน ใบหน้าอวบอิ่มไม่ซีดเซียว เป็นสตรีโฉมงามที่ใครยากจะเทียบเทียม หยวนไป๋เจียนหัวใจเต้นระรัว เสียงพูดของนางก็สดใสเหมาะสมกับบุคลิก
“คารวะหยวนอ๋อง” นางส่งเสียงทักทายเขา
“เจ้าคือ” หยวนไป๋เจียนอยากแน่ใจว่านางเป็นใคร
“ข้าคือองค์หญิงหนานอันรั่ว พี่สาวฝาแฝดขององค์หญิงหนานรั่วซีที่ท่านพากลับมาด้วยเมื่อสักครู่” นางแนะนำตัว “ต้องขอบคุณท่านอ๋องเป็นอย่างยิ่งที่พาตัวนางกลับม้าด้วย”
“ไม่ลำบากเลยสักนิด”
“งั้นเชิญด้านใน” นางเดินนำพาเขาไปด้านใน
หยวนไป๋เจียนรู้สึกว่าคนพี่นั้นพูดคุยด้วยแล้วสนุกกว่าอีกคนเยอะ อยู่ใกล้แล้วรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวล้วนแลดูสดใสไม่อมทุกข์ นางเป็นสตรีที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขลืมความกังวลได้หมดเลย
ตกเย็นวันนั้นหนานรั่วซีก็จับไข้ล้มป่วย ความลับที่นางออกไปเล่นนอกเมืองก็แตก พระมารดาโมโหสุดขีด นางสั่งให้ทหารองครักษ์เฝ้าพระธิดาไม่ให้ห่าง แต่เหตุใดจึงปล่อยให้องค์หญิงออกไปเที่ยวเล่นซุกซนจนล้มป่วยได้
“เสด็จแม่อย่าทรงกริ้ว ลูกไม่ได้เป็นอะไรมาก” นางแสร้งออดอ้อน
“ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร เจ้าล้มป่วยคราหนึ่งกินเวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะหายดี รู้ไหมแม่กลัวขนาดไหนแต่ละครั้งที่เจ้าป่วย แม่กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาแม่อีก” ผู้เป็นมารดาน้ำตาริน
นางกลัวจริง ๆ กลัวว่าจะเสียบุตรคนใดคนหนึ่งไป ตั้งแต่ที่หนานรั่วซีโดนผึ้งพิษต่อย นางก็สั่งให้ทุกคนทำลายรังของมันในรัศมีโดยรอบเผื่อป้องกันไม่ให้นางโดนต่อยอีกครั้ง ตอนนั้นบุตรสาวคนนี้ของนางหลับไปแบบไม่ได้สติเป็นเดือนเพราะพิษของผึ้ง ที่นางออกไปครั้งนี้จึงสร้างความโมโหให้ตัวผู้เป็นมารดาไม่น้อย
แถมช่วงเวลานี้คนจากต่างเผ่าก็แวะเวียนมาทำการค้าที่นี่ ผู้คนมากหน้าหลายตา นางเกรงว่าคนพวกนั้นจะทำอะไรไม่ดีกับบุตรสาวที่อ่อนแอคนนี้
เมื่อเห็นว่าพระมารดากังวลใจ คนตัวเล็กจึงซุกตัวเข้าหาผู้เป็นแม่อย่างใกล้ชิด สองมือเล็ก ๆ ของนางโอบกอดแน่น
“เจ้าค่ะ ต่อไปนี้ลูกสัญญาว่าจะไม่ทำให้เสด็จแม่ไม่สบายพระทัยอีก”
“รับปากแม่แล้วนะซีเอ๋อ”
“เจ้าค่ะ” นางยิ้มตาหยี
“งั้นก็นอนได้แล้ว น่าเสียดายทำให้เจ้าไม่ได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงคณะราชทูตจากเป่ยฮั่น” พระชายาหมีเห่อกังวลใจ การที่พวกเขามาที่ทุ่งหญ้าในครั้งนี้มีเหตุผลทางการเมืองแอบแฝงอยู่ ไม่แน่ว่าบุตรสาวคนใดคนหนึ่งของนางจะต้องแต่งไปอยู่เป่ยฮั่น
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ไม่พบก็คือไม่พบ” นางไม่ได้ใส่ใจ
ไม่มีการสนทนาอื่นใดต่อจากนั้น คนตัวเล็กมุดตัวเข้าใต้ผ้าห่มทันที คืนนี้นางคิดถึงแต่หน้าเขาผู้นั้น นางสัญญากับตัวเองอย่างแน่วแน่ไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะต้องไปที่โพรงหมาป่าให้ได้ นางอยากพบหน้าเขา เขาคนนั้นที่ทำให้นางหวั่นไหว
คณะราชทูตจากเป่ยฮั่นเข้าร่วมงานเลี้ยงของต้อนรับของชาวซีตัน บ่าวไพร่ทั่วทั้งวังล้วนเล่าลือถึงความหล่อเหลาของหยวนอ๋องจากเป่ยฮั่น คนผู้นั้นหล่อเหลางดงาม ผิวขาวราวกับน้ำนม ใบหน้าดั่งหยกสลัก แตกต่างจากชายหนุ่มในแคว้นซีตัน ที่มีแต่หนวนเครารุงรัง
ได้ยินว่าการมาซีตันของพวกเขามีจุดประสงค์สำคัญคือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น พระชายาหมีเฮ่ออดีตเคยเป็นท่านหญิงจากเป่ยฮั่น ที่ได้จับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่ แม้ตอนแรกนางจะไม่ใช่คนที่เป่ยฮั่นตั้งใจเอาไว้ แต่ตอนนี้นางถือเป็นตัวแปรสำคัญ
ด้วยว่าชาวซีตันเชี่ยวชาญการรบในทุ่งหญ้าและทะเลทราย ทหารจาก เป่ยฮั่นยังขาดทักษะทางด้านนี้ พวกเขาจึงอยากเชื่อมสัมพันธ์มากกว่าตัดความสัมพันธ์ การส่งหยวนอ๋องมาเยี่ยมครั้งนี้ พระชายาหมีเฮ่อรู้ดีว่ามีเรื่องแอบแฝง
“น้องหญิง เจ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือไม่” หนานปาอี้ ฮ่องเต้แคว้นซีตันถามผู้เป็นภรรยา
“จู่ ๆ พวกเขาก็มาที่นี่ ท่านว่ามันไม่แปลกหรอกหรือ” พระชายาหมีเฮ่อผู้เป็นภรรยารู้สึกไม่สบายใจ
“เหมือนตอนที่ข้าไปสู่ขอเจ้าเมื่อปีนั้นหรือไม่” หนานปาอี้กุมมือภรรยา
“ไม่เหมือนกันเสียหน่อย ตอนนั้นเราสองคนมีใจปฏิพัทธ์ให้กัน การแต่งงานจึงเป็นความยินยอมพร้อมใจของเราทั้งคู่ แต่นี่ถ้าหากพวกเขามาข่มขู่เอาลูกสาวของเราคนใดคนหนึ่งไปแต่งด้วยโดยไม่ได้รัก เพียงเพราะประโยชน์ของแคว้น มันใช่หรือ” นางกังวลใจ
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่นางพบกับหนานปาอี้ นางเป็นเพียงท่านหญิงท้ายวัง ยศศักดิ์ต่ำต้อย กว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อมาเคียงคู่กันนั้นแสนลำบาก ที่ได้แต่งงานกับเขาเป็นเพราะความรักที่ทั้งสองมีให้กัน ไม่ใช่เกิดจากการคลุมถุงชน ผู้เป็นสามีแลกอะไรหลายอย่างเพื่อให้นางได้มาเคียงข้าง นางจึงรักความสัมพันธ์นี้และรักเขา
“อย่ากังวลใจไปเลย ฮ่องเต้เป่ยฮั่นสัญญาแล้วว่าจะเกรงใจพวกเรา ข้าคิดว่าเขาคงไม่ทำอะไรแบบไม่คิด” หนานปาอี้พูดกับภรรยา
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี”
หมีเฮ่อยังมีสีหน้ากังวลใจ หนานปาอี้จึงดึงนางกอดเพื่อคลายความกังวล ก่อนจะพากันเดินไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรอง
งานเลี้ยงช่วงเย็นเพราะหนานรั่วซีเกิดล้มป่วย จึงไม่ได้มาเข้าร่วมด้วย มีเพียงองค์ชายหนานเจินหยางและองค์หญิงหนานอันรั่วแฝดพี่มาเข้าร่วมเท่านั้น
หยวนไป๋เจียนไม่ได้สนใจหนานรั่วซีอยู่แล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไรที่นางไม่ได้มาเข้าร่วม
“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเดินทางมาเหนื่อยหรือไม่” พระชายาหมีเฮ่อที่มีศักดิ์เป็นอาของหยวนไป๋เจียนถามไถ่
“กราบทูลเสด็จอา ไม่เหนื่อยและไม่ลำบากเพราะพวกเราออกมาแบบไม่เร่งรีบเหนื่อยก็พัก แถมยังแวะเที่ยวเล่นชื่นชมบรรยากาศรอบทาง ถือได้ว่าสนุกมากกว่าเหนื่อย” เขาตอบนาง
“งั้นก็ดีแล้ว เรื่องเมื่อบ่ายต้องขอบใจเจ้ามากที่นำซีเอ๋อกลับมาส่ง เด็กคนนี้ร่างกายไม่แข็งแรงแต่ยังแอบไปเที่ยวเล่น”
“อ้อ ว่าแต่ข้าไม่เห็นนางมาร่วมงานเลี้ยงนี้เลย” เขาถามถึงทั้งที่ไม่ได้คิดถึง
“ล้มป่วยไปแล้ว คงไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นไปอีกหลายสัปดาห์” พระชายาหมีเฮ่อกลอกตาเมื่อพูดถึงบุตรสาวคนเล็ก โชคดีที่นางร่างกายไม่แข็งแรงความซุกซนเลยลดน้อยลงไป หากแข็งแรงดีคงสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้นางมากกว่านี้
หยวนไป๋เจียนเบนสายตาไปมองแฝดอีกคน นางกำลังนั่งอิ่มอร่อยกับอาหารในงานเลี้ยง จนไม่สนใจใคร ท่าทางของนางดูแล้วเพลินตาเขาเผลออมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ทั้งหมอเย่ลู่และหนานรั่วซีก็ตกลงว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ เมื่อจัดการทุกเรื่องเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก็ถึงเวลาที่คนจากซีตันจะกลับบ้านเสียที โชคดีที่พวกเขาเจอกับหมอเย่ลู่ระหว่างทาง ไม่จำเป็นต้องไปตามหาถึงเมืองหลวง เจอเขาที่กลางทางช่วยย่นระยะเวลาได้ดีไม่น้อยหากนางเข้าไปอยู่ในหุบเขาแล้วเรื่องทุกอย่างภายนอกก็ขอไม่รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนซีตันหรือเขา ช่วงเวลาต่อแต่นี้ไปนางจะดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้ดีที่สุด ไว้นางออกไปค่อยใส่ใจก็ยังไม่สายเกินไปต้องมีสักวันที่นางลืมเขา แต่ก่อนนางเคยสงสัยว่าทำไมท่านอาหลานอี้ ถึงไม่สามารถลืมเสด็จพ่อของนางได้ บัดนี้นางเข้าใจแล้ว พิษของความรักเมื่อยังไม่ได้รับพิษย่อมไม่รู้สึก แต่เมื่อวันใดที่พิษนั้นกัดกินหัวใจ เมื่อนั้นก็ยากจะจบสิ้นความทรมานเมื่อใกล้รุ่ง หนานอันรั่วรีบตื่นออกมาส่งฝาแฝด“รั่วซี เจ้าจะไปแล้วจริง ๆ หรือ” หนานอันรั่วจับมือแฝดน้องแน่น นางไม่อยากแยกจากรั่วซีแม้เพียงสักวัน ความรู้สึกที่นางต้องจากกันในวันนี้เหมือนกับจะจากกันไป
กระทั่งฟ้าใกล้มืดพวกพี่ ๆ นางจึงกลับมา ในมือพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย หน้ากาก ว่าวลมโคมไฟ ขนมขึ้นชื่อ ของเล่น พี่ใหญ่กลายเป็นคนถือของ ของทั้งหมด สิ่งที่ซื้อมาเป็นผลงานของพี่สาวฝาแฝดนางทั้งนั้นรั่วซีเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉา พวกเขาสามารถออกไปเที่ยวเล่นได้ทั้งวัน กลับมาแล้วก็ยังดูไม่เหนื่อย มีร่างกายแข็งแรงนี่ดีจริง ๆไฟในห้องรับประทานอาหารส่องสว่าง อาหารท้องถิ่นหลายอย่างถูกห้องครัวจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ที่ข้างด้านข้างมีบุรุษสองคนนั่งดื่มชารอคอยกันเงียบ ๆ คนหนึ่งคือหยวนไป๋เจียนซึ่งทุกคนรู้จัก ส่วนอีกคนเป็นใครก็ไม่รู้ สวมชุดสีสันประหลาด สีเขียวแดงฟ้าตัดกันมั่วไปหมด“ท่านนี้คือ” หนานเจินหยางถามน้องสาว“ท่านหมอเย่ลู่ เขาหาเราเจอก่อนที่เราจะเริ่มตามหาเขาเสียอีก” นางผายมือแนะนำ“เข้าเรื่องเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลา” เย่ลู่ตัดบท “เจ้าจะพูดเองหรือให้ข้าพูด” เขาถามคนไข้ของตนนางพยักหน้าส่งสัญญาณว่าจะพูดเอง“พวกท่านจำได้ใช่ไหม จุดประสงค์ที่เราออกเดินทางในครั้งน
ข่าวการมาเที่ยวเป่ยฮั่นของคนจากซีตัน ทำเอาหยวนไป๋เจียนรู้สึกตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไร เขาคิดถึงหนานอันรั่วอยู่ทุกวัน เมื่อได้ยินว่าจะได้พบหน้านางอีกครั้งก็ทนไม่ไหว ผละจากงานทุกอย่างที่มีอยู่ในมือ เตรียมการต้อนรับนางหยวนไป๋เจียนส่งคนไปสืบข่าวว่าตอนนี้พวกนางเดินทางถึงไหนแล้ว หากเป็นไปได้เขาจะไปสมทบกับพวกนางที่กลางทางและออกเดินทางด้วยกัน ต่อให้เหน็ดเหนื่อยแต่ได้เจอหน้านางเขาก็มีความสุข หยวนไป๋เจียนคิดถึงแต่ใบหน้างดงามและรอยยิ้มสดใสของหนานอันรั่วเพียงคนเดียวเขารู้จุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากท่องเที่ยวในภาคกลาง ยังถือโอกาสพาองค์หญิงผู้นั้นมารักษาอาการป่วยเรื้อรังอีกด้วย นางชื่ออะไรเขาจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่หนานอันรั่วเพียงผู้เดียว“ท่านอ๋อง ท่านจะร่วมเดินทางกับพวกเขาเช่นนั้นหรือ” ผู้ติดตามคนหนึ่งถาม“ไม่ต้องถามให้มากความของที่ข้าสั่งให้พวกเจ้าเตรียม เตรียมไว้หรือยัง”“กระหม่อมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว หากถึงเมืองหน้าด่านก็สามารถมอบให้พวกเขาได้ทันที”นอกจากพบหน้านางเขายังเตรียมสิ่งของมากม
คนจากซีตันเดินทางเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ระหว่างทางมีปะทะกับพวกกลุ่มโจรบ้างประปราย แต่ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไป จะมีสหายของบิดาคอยให้การต้อนรับเสมอ พวกเขาจึงรู้สึกสนุกมากกว่าเหน็ดเหนื่อยทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ หนานเจินหยางไม่ได้ตื่นตกใจกับเรื่องพวกนี้มากนัก เขาท่องเที่ยวเป่ยฮั่นกับผู้เป็นบิดาอยู่บ่อยครั้ง ผิดกับน้องสาวทั้งสองโดยเฉพาะหนานอันรั่ว นางทำให้ทุกอย่างรอบกายเป็นเรื่องสนุกน่าตื่นเต้น ส่วนหนานรั่วซีก็ได้แต่เฝ้ามองสิ่งต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆในใจของหนานเจินหยางได้แต่บอกว่าดีแล้วๆ ดีที่หนานรั่วซีนั่งเงียบ ๆ หากนางป่วนเขาด้วยอีกคนเกรงว่าเขาจะรับมือไม่ไหว ระหว่างทางหนานอันรั่วแวะซื้อสิ่งของนู่นนี่นั่นจนต้องหารถม้าเพิ่ม สิ่งนั้นสิ่งนี้นางล้วนอยากได้ไปหมด แม้จะบอกว่าที่ซีตันก็มี แต่นางว่าของพวกนั้นนางไม่ได้เลือกเอง นางไม่ชอบ นางชอบสิ่งของที่ตัวเองเป็นผู้เลือกต่างหากจากทัศนียภาพที่เป็นทุ่งหญ้ากลายเป็นป่าเขา แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มเข้าใกล้ดินแดนเป่ยฮั่นไปในทุกทีเดินทางมาเกือบครึ่งเดือนอายงที่ติดตามเดินทางมาด้วย พูดกับรั่วซีนับคร
คณะราชทูตจากเป่ยฮั่นจากไปได้ไม่กี่วัน หนานรั่วซีก็ฟื้นขึ้น แพขนตาของนางสั่นไหว พระพี่เลี้ยงเห็นการเคลื่อนไหวของนางเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ไม่นานคนตัวเล็กที่นอนไม่ได้สติก็ลืมตาฟื้นขึ้น อย่างช้า ๆ“หิวน้ำ” นางร้องเรียกหาน้ำอันอันที่คอยดูแลนางไม่ห่างกายตกใจจนน้ำตาไหล องค์หญิงของนางฟื้นแล้ว รีบกุลีกุจอทำตามที่คนป่วยบอก“เจ้าค่ะ น้ำอยู่นี่เจ้าค่ะ”“อันอันเจ้าร้องไห้ทำไม ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย”“ร้องไห้เพราะเป็นห่วงพระองค์ไงเจ้าคะ”“หึ ข้าหลับไปกี่วันกันล่ะครั้งนี้” นางถามพระพี่เลี้ยงดูท่าครั้งนี้นางน่าจะหลับไปนาน“ราว ๆ เดือนครึ่งเจ้าค่ะ ตั้งแต่หยวนอ๋องพาท่านกลับมา ท่านก็ไม่ฟื้นอีกเลย จนกระทั่งหยวนอ๋องจากไปวันนี้วันที่ 5 ท่านจึงฟื้น”คำพูดของอันอันทำนางตกใจ หลับไปนานขนาดนั้นเชียวหรือ เมื่อไหร่กันที่ร่างกายนางจะแข็งแรงเสียที แม้กระทั่งเขาจากไปแล้วนางก็ไม่ได้เห็นหน้าเขา น่าเศร้าใจนัก“ระหว่างนี้ใครมาเยี่ยมข้าบ้าง
ร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดของหนานรั่วซีถูกเขาพาไปส่งที่ตำหนักของนาง รอยแผลจากการถูกสุนัขป่ากัดที่แขนซ้ายของนาง สร้างความหวาดหวั่นแก่พระพี่เลี้ยง ทุกคนเกรงว่านางจะกลายผู้หญิงที่เสียโฉม เรียวแขนบอบบางขององค์หญิงมีรอยแผลฉกรรจ์ ร่างกายสตรีจะมีรอยแผลเป็นได้อย่างไรคนที่เกี่ยวข้องรีบตามฮ่องเต้และพระชายามาในทันที หมอหลวงทั้งในวังและนอกวังถูกตามมาเพื่อยื้อชีวิตองค์หญิงหนานรั่วซีหนานอันรั่วและหนานเจินหยางตามมาทีหลัง ผู้เป็นพี่กอดน้องสาวคนรองเอาไว้แน่น นางตัวสั่นหวาดกลัวราวกับลูกนก ตอนที่รั่วซีโดนผึ้งพิษต่อยก็ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาเห็นสายตาหวาดกลัวของนาง ความกลัวที่จะสูญเสียเป็นบาดแผลที่คอยหลอกหลอนน้องสาวเขามาตลอดครั้งนั้นเป็นเพราะน้องสาวคนเล็ก วิ่งเข้ามาช่วยเหลือหนานอันรั่วผู้เป็นพี่ที่กำลังตกอยู่ในดงผึ้งพิษ จึงทำให้นางได้รับบาดเจ็บและส่งผลกระทบต่อร่างกายนางมาจนถึงปัจจุบัน“หยวนอ๋องขอบใจท่านมากที่ช่วยเหลือนาง” หนานปาอี้ขอบคุณชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง“โชคดีที่ข้าสังหรณ์ใจ วันที่พบนางวันแรก ข้าสังเกตเห็นรอยเท้าของฝูงหมาป่า และคิดว่านางอาจจะไปหาพวกมันอีก จึงตามไปดู” เขาพูดอย่า