ความรู้สึกที่ถูกจ้องมอง หนานอันรั่วรู้สึกได้ เมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามสายตาของนางก็ปะทะเข้ากับสายตาคมกริบที่แฝงไปด้วยความเจ้าชู้ของเขา นางรู้สึกประหม่า คนผู้นั้นไร้มารยาทนัก จ้องมองนางอยู่ได้
หนานเจินหยางเห็นท่าทีประหม่าของน้องสาวจึงขยับเข้าไปใกล้นาง และสั่งให้นางไปนั่งด้านหลัง เขาเห็นสายตาเช่นนั้นของหยวนอ๋องก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน ถ้าเขาไม่ใช่อ๋องจากเป่ยฮั่นป่านนี้เขาจับควักลูกตาแล้ว ยังมีเมื่อตอนบ่ายที่ขี่ม้ามากับซีเอ๋อ ‘น่าจับแยกร่างจริง ๆ’ ผู้เป็นพี่กำหมัดแน่น
“รั่วเอ๋อ ดึกแล้วไปพักผ่อนดีหรือไม่” หนานเจินหยางพูดกับน้องสาว
“นั่นสินะ ข้าควรกลับไปพักเสียที” นางเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย
หนานอันรั่วรีบเร่งเดินออกจากโถงงานเลี้ยง หยวนไป๋เจียนเห็นเช่นนั้นก็แอบลุกตามออกไป หวังว่าจะได้พูดคุยกับนางอีกสักครั้ง
“ท่านตามข้ามาทำไม” คนตัวเล็กรู้ตัวว่าเขาเดินตามมา
“ข้ามีหลายเรื่องที่อยากให้เจ้าแนะนำ” หยวนไป๋เจียน ตั้งใจหาเรื่องสนทนากับนาง
“ถามคนอื่นก็ได้ ข้าไม่ใช่คนรอบรู้” นางปฏิเสธ
“พูดคุยกับผู้อื่นไม่สนุกเท่ากับเจ้า” คนตัวสูงขยับเข้าไปใกล้นาง รูปร่างของสองพี่น้องเท่ากันไม่มีผิด พวกนางสูงแค่เพียงระดับไหล่เขาเท่านั้น เมื่อลองวัดเทียบระดับตัวของนางกับไหล่ของเขา
คิ้วเรียวงามของหนานอันรั่วขมวดเข้าหากัน มองท่าทีของอ๋องจากเป่ยฮั่นคนนี้ด้วยแววตาระคนไม่เข้าใจ
“ท่านทำอะไรของท่าน”
“อยากรู้ว่าเจ้าสูงเท่าไหร่”
“แล้วได้คำตอบหรือยัง”
“ได้แล้ว”
คนตัวเล็กมองเขาอย่างงุนงงท่าทีของอ๋องผู้นี้มันอะไรกันแน่
“งั้นค่อยพูดคุยกันต่อวันพรุ่งนี้” พูดเสร็จนางก็เดินหายลับเข้าไปยังส่วนในของวังหลวงแคว้นซีตัน
การมาซีตันครั้งนี้ของหยวนไป๋เจียนมีเป้าหมายแล้ว
รุ่งขึ้นของอีกวัน หนานรั่วซีตื่นแต่เช้าทั้งที่ตอนนี้นางยังมีอาการปวดหัว พระพี่เลี้ยงมองนางอย่างสงสัย เดาว่าองค์หญิงผู้นี้ต้องมีแผนการลับที่กำลังปกปิดไม่ให้นางไม่รู้แน่ ๆ
“เหตุใดวันนี้พระองค์จึงตื่นเช้า”
“เอ่อ.... แค่ไม่อยากนอนแล้ว” นางไม่กล้าพูดความจริง “พี่อันอันท่านมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะข้าดูแลตัวเองได้”
“ธุระของข้าก็คือองค์หญิงยังไงละเจ้าคะ” นางจ้องเจ้านายของตนอย่างไม่วางตา วันนี้นางจะไม่เผลอโดยเด็ดขาด
“อ้อ” นางพยักหน้าหงึก ๆ เอาเถอะอย่างไรเสียช่วงบ่าย นางก็จะหนีออกไปให้ได้ เผื่อว่า...คนผู้นั้นจะกลับไปที่โพรงหมาป่าของนางอีก
ตกบ่ายรั่วซีแสร้งนอนกลางวัน อันอันรอจนแน่ใจว่าองค์หญิงหลับนางจึงปลีกตัวไปทำธุระอย่างอื่น
เสียงในห้องเงียบสนิทเป็นสัญญาณว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว รั่วซีจึงลืมตาตื่น วันนี้นางไม่ใช้เสื้อคลุมขนหมาป่าสีเงินอีก แต่เปลี่ยนเป็นตัวที่เรียบและไม่โดดเด่นแทน
คนตัวเล็กค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปตามทางที่พวกบ่าวไม่ค่อยใช้ นางแอบเดินออกไปเงียบ ๆ เพียงลำพัง แต่ก็ไม่พ้นสายตาของใครคนหนึ่ง
ขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะก้าวขาขึ้นม้า เขาก็ส่งเสียงเรียกออกมา
“องค์หญิง” อายงส่งเสียงร้องเรียกสตรีที่กำลังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ
“อายง” นางหันไปตามเสียงเรียก “เจ้ามาได้อย่างไร”
“อันอัน คิดเอาไว้แล้วว่าท่านต้องมีแผนการนางจึงให้ข้ามาเฝ้าท่าน”
“อ้อ” นางกำลังครุ่นคิด แต่ในมือกุมบังเหียนแน่น รอเมื่อไหร่ที่เขาเผลอนางจะรีบควบม้าออกไปทันที “อายง ให้ข้าไปเถอะ พวกลูกหมาป่ารอข้าอยู่” นางอ้อนวอน
“ไม่ได้ ท่านยังป่วยอยู่เลย ดูหน้าท่านสิ ซีดเซียวเป็นไก่ต้ม” เขาเป็นห่วงนาง
“อันรั่ว!!” นางแสร้งเรียกชื่อพี่สาว เพราะรู้ว่าอายงชอบหนานอันรั่ว
และได้ผล อายงหันขวับไปทางอื่น พอเขาเผลอรั่วซีก็รีบควบม้าออกไปในทันที
เมื่อหันไปไม่เห็นใคร อายงจึงรู้ว่าถูกหลอกรีบควบม้าอีกตัวตามออกไปทันที
โชคดีที่นางควบม้าได้ช้า อายงจึงตามทัน
“องค์หญิงระวังด้วย” ในเมื่อห้ามนางไม่ได้เขาจึงจำเป็นต้องไปพร้อมกับนาง
“อื้อ” คนตัวเล็กยิ้มตาหยี “ขอบใจนะอายง”
ที่โพรงหมาป่า รั่วซีไม่เห็นใครอื่นนอกจากเจ้าพวกตัวเล็ก เมื่อพวกมันเห็นและได้กลิ่นกายของนาง ก็รีบวิ่งกรูกันออกมาหานาง เมื่อไม่เห็นใครอื่นรั่วซีเห็นแล้วก็ผิดหวังนิดหน่อย นางจะคาดหวังอะไรกันเขาไม่ได้รับปากสักหน่อยว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
แต่นาง....ก็เพียงอยากเห็นหน้าเขาอีกสักครั้ง
“เด็กดี” ร่างแบบบางของรั่วซีลงไปนั่งกับพื้นเพื่อเล่นกับเจ้าพวกตัวน้อย
อายงเห็นแล้วก็นิ่วหน้าที่นางแอบออกมาเพราะเจ้าลูกหมาพวกนี้งั้นหรือ
“องค์หญิง ท่านลอบออกมาเพราะลูกสุนัขพวกนี้หรอกหรือ”
“อื้อ ใช่แล้วข้าเห็นพวกมันน่าสงสารเลยอยากดูแล แต่ก็ไม่อยากพามันกลับวังด้วย ข้ากลัวว่าแม่ของมัน มาแล้วจะไม่เจอ” พูดไปนางก็ลูบพุงเล็ก ๆ ของพวกมันไปด้วย
“ข้าว่า แม่มันคงจะไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ สู้พาพวกมันกลับไปที่วังเพื่อเลี้ยงดูให้เชื่องไม่ดีกว่าหรือ”
“ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น” นางเงยหน้ามองสหาย
“องค์หญิงทรงทอดพระเนตรดู พวกมันตัวผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เพราะว่าแม่ของมันไม่เคยกลับมาดูแล โดยปกติแล้วสุนัขป่าพวกนี้จะไม่ทิ้งรังไปโดยไม่มีเหตุผล ข้าคิดว่าแม่ของมันคงตายไปแล้ว และหากไม่พาเจ้าพวกตัวเล็กกลับไปด้วยคง โดนสุนัขป่าตัวอื่นจับกินเป็นอาหาร”
อายงพูดจบรั่วซีก็ทำหน้าตาตื่น ที่เขาพูดมามีเหตุผลทุกประการ นางกลัวว่าพวกตัวเล็กตรงนี้จะโดนสุนัขตัวอื่นทำร้าย
“งั้นจะทำอย่างไรดีอายง”
“องค์หญิงรอข้าอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มส่งยิ้มบาง ๆ ให้นาง “ข้าจะกลับไปเอากรงมารับพวกมัน"
“ได้” คนตัวเล็กพยักหน้า
พูดจบอายงก็รีบควบม้ากลับไปที่วังทันทีอย่างไม่รอช้า เห็นแววตาเศร้าสร้อยของนางแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก จึงอาสาจะพาเจ้าพวกตัวเล็กกลับไปดูแล เพื่อคลายความกังวลและเพื่อไม่ให้นางต้องแอบออกมาที่นี่อีก
รั่วซีเดินเล่นไปมา สำรวจรอบ ๆ โพรง นางพบรอยเท้าของสุนัขป่าตัวใหญ่หลายรอย เห็นเช่นนั้นคนตัวเล็กก็ยิ่งคิดว่าที่อายงพูดมามีเหตุผล พวกฝูงสุนัขป่าพวกนั้นคงมาดูลาดเลาเอาไว้แน่ ๆ อีกไม่นานพวกมันคงกลับมาทำร้ายเด็ก ๆ ที่น่าสงสารพวกนี้
โบร๋ว! โบร๋ว!
เสียงหมาหอนคำรามของหมาป่าเข้ามาใกล้นางมากขึ้น รั่วซีรู้สึกหวั่นใจนางรอคอยว่าเมื่อไหร่อายงจะมา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่มาสักที ความรู้สึกของคนรอมันเป็นเช่นนี้นี่เอง
โฮ่ง โฮ่ง หมาป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่คนตัวเล็กที่ไม่ทันระวัง โชคดีที่นางหลบพ้น แส้หนังในมือถูกฟาดออกไป พวกมันปราดเปรียวว่องไวหลบแส้ของนางทัน
รั่วซีกระโดดหลบอีกตัวที่พุ่งมาจากด้านหลังได้อย่างหวุดหวิด การกระทำของนางเชื่องช้าเพราะร่างกายไม่แข็งแรง สายตาก็มองไปที่ม้าที่นางควบมา เพื่อหาทางหนี แต่เจ้าม้าตัวนั้นก็กำลังถูกหมาป่าไล่ต้อน
สุนัขป่าตัวใหญ่ว่องไวปราดเปรียว รั่วซีเริ่มหมดแรง พอนึกถึงว่าต้องตายเพราะถูกหมาป่ารุมทึ้ง นางก็หน้าเสีย เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้า
“องค์หญิงหนานรั่วซี”
เสียงคุ้นหูของใครบางคนกำลังเรียกชื่อนาง
ร่างบอบบางหันไปตามเสียงเรียก ใบหน้าของหยวนไป๋เจียนก็ปรากฏขึ้น
เป็นเขา! เขาจริง ๆ ด้วย คนตัวเล็กเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นเขา จึงขาดการระวังตัว หมาป่าที่ตัวใหญ่ที่สุดเลือกเหยื่อของมันแล้ว มันพุ่งเข้ากัดแขนเล็ก ๆ ของนางที่ยกขึ้นป้องกันตัวจนเลือดอาบ
หยวนไป๋เจียนเห็นก็รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยนาง กระบี่ถูกดึงออกจากฝัก ตัวที่กำลังทำร้ายนางถูกเขาบั่นคอมันทันที ส่วนตัวอื่น ๆ เมื่อเห็นว่าจ่าฝูงสิ้นชีพก็พากันตกใจวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง
รั่วซีทรุดตัวลงกับพื้น นางมองเลือดสีแดงสดอย่างตกใจ ที่นางเห็นตอนนี้ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเลือดของนางหรือตัวจ่าฝูง คนตัวเล็กสั่นเทาราวกับลูกนก
“องค์หญิง” หยวนไป๋เจียนวิ่งเข้าไปหานาง สองมือใหญ่จับใบหน้าเล็ก ๆ ของนางดึงมาให้สบตากับเขา
ใบหน้าหล่อเหลาของหยวนไป๋เจียนปรากฏในสายตานาง แววตาของเขามองนางอย่างดุดัน
“ท่านอ๋อง” รั่วซีเรียกเขา สติของนางเลือนรางไหนจะอาการป่วย ไหนจะความตกใจ นางแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
“เหตุใดเจ้าถึงออกมาคนเดียว ดีนะข้ามีลางสังหรณ์จึงตามออกมาดู เมื่อวาน...” พูดไม่ทันจบคนตัวเล็กก็สลบไปทันที
หยวนไป๋เจียนเห็นเช่นนั้นก็รีบผูกนางไว้ตัวและควบม้าพานางกลับวัง ซึ่งสวนกันกับอายงที่เพิ่งย้อนกลับมา
“เจ้า ทำอะไรนาง” อายงขวางทางหยวนไป๋เจียน
อายงเห็นองค์หญิงของตนหมดสติเลือดเต็มแขนและเต็มร่างกาย
“เจ้าเป็นองครักษ์ของนางใช่หรือไม่ ข้าหยวนอ๋องมาจากเป่ยฮั่นมีอะไรค่อยไปคุยกันที่วัง”
พูดจบเขาก็เร่งรีบพานางทะยานออกไปในทันที
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ทั้งหมอเย่ลู่และหนานรั่วซีก็ตกลงว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ เมื่อจัดการทุกเรื่องเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก็ถึงเวลาที่คนจากซีตันจะกลับบ้านเสียที โชคดีที่พวกเขาเจอกับหมอเย่ลู่ระหว่างทาง ไม่จำเป็นต้องไปตามหาถึงเมืองหลวง เจอเขาที่กลางทางช่วยย่นระยะเวลาได้ดีไม่น้อยหากนางเข้าไปอยู่ในหุบเขาแล้วเรื่องทุกอย่างภายนอกก็ขอไม่รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนซีตันหรือเขา ช่วงเวลาต่อแต่นี้ไปนางจะดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้ดีที่สุด ไว้นางออกไปค่อยใส่ใจก็ยังไม่สายเกินไปต้องมีสักวันที่นางลืมเขา แต่ก่อนนางเคยสงสัยว่าทำไมท่านอาหลานอี้ ถึงไม่สามารถลืมเสด็จพ่อของนางได้ บัดนี้นางเข้าใจแล้ว พิษของความรักเมื่อยังไม่ได้รับพิษย่อมไม่รู้สึก แต่เมื่อวันใดที่พิษนั้นกัดกินหัวใจ เมื่อนั้นก็ยากจะจบสิ้นความทรมานเมื่อใกล้รุ่ง หนานอันรั่วรีบตื่นออกมาส่งฝาแฝด“รั่วซี เจ้าจะไปแล้วจริง ๆ หรือ” หนานอันรั่วจับมือแฝดน้องแน่น นางไม่อยากแยกจากรั่วซีแม้เพียงสักวัน ความรู้สึกที่นางต้องจากกันในวันนี้เหมือนกับจะจากกันไป
กระทั่งฟ้าใกล้มืดพวกพี่ ๆ นางจึงกลับมา ในมือพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย หน้ากาก ว่าวลมโคมไฟ ขนมขึ้นชื่อ ของเล่น พี่ใหญ่กลายเป็นคนถือของ ของทั้งหมด สิ่งที่ซื้อมาเป็นผลงานของพี่สาวฝาแฝดนางทั้งนั้นรั่วซีเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉา พวกเขาสามารถออกไปเที่ยวเล่นได้ทั้งวัน กลับมาแล้วก็ยังดูไม่เหนื่อย มีร่างกายแข็งแรงนี่ดีจริง ๆไฟในห้องรับประทานอาหารส่องสว่าง อาหารท้องถิ่นหลายอย่างถูกห้องครัวจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ที่ข้างด้านข้างมีบุรุษสองคนนั่งดื่มชารอคอยกันเงียบ ๆ คนหนึ่งคือหยวนไป๋เจียนซึ่งทุกคนรู้จัก ส่วนอีกคนเป็นใครก็ไม่รู้ สวมชุดสีสันประหลาด สีเขียวแดงฟ้าตัดกันมั่วไปหมด“ท่านนี้คือ” หนานเจินหยางถามน้องสาว“ท่านหมอเย่ลู่ เขาหาเราเจอก่อนที่เราจะเริ่มตามหาเขาเสียอีก” นางผายมือแนะนำ“เข้าเรื่องเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลา” เย่ลู่ตัดบท “เจ้าจะพูดเองหรือให้ข้าพูด” เขาถามคนไข้ของตนนางพยักหน้าส่งสัญญาณว่าจะพูดเอง“พวกท่านจำได้ใช่ไหม จุดประสงค์ที่เราออกเดินทางในครั้งน
ข่าวการมาเที่ยวเป่ยฮั่นของคนจากซีตัน ทำเอาหยวนไป๋เจียนรู้สึกตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไร เขาคิดถึงหนานอันรั่วอยู่ทุกวัน เมื่อได้ยินว่าจะได้พบหน้านางอีกครั้งก็ทนไม่ไหว ผละจากงานทุกอย่างที่มีอยู่ในมือ เตรียมการต้อนรับนางหยวนไป๋เจียนส่งคนไปสืบข่าวว่าตอนนี้พวกนางเดินทางถึงไหนแล้ว หากเป็นไปได้เขาจะไปสมทบกับพวกนางที่กลางทางและออกเดินทางด้วยกัน ต่อให้เหน็ดเหนื่อยแต่ได้เจอหน้านางเขาก็มีความสุข หยวนไป๋เจียนคิดถึงแต่ใบหน้างดงามและรอยยิ้มสดใสของหนานอันรั่วเพียงคนเดียวเขารู้จุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากท่องเที่ยวในภาคกลาง ยังถือโอกาสพาองค์หญิงผู้นั้นมารักษาอาการป่วยเรื้อรังอีกด้วย นางชื่ออะไรเขาจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่หนานอันรั่วเพียงผู้เดียว“ท่านอ๋อง ท่านจะร่วมเดินทางกับพวกเขาเช่นนั้นหรือ” ผู้ติดตามคนหนึ่งถาม“ไม่ต้องถามให้มากความของที่ข้าสั่งให้พวกเจ้าเตรียม เตรียมไว้หรือยัง”“กระหม่อมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว หากถึงเมืองหน้าด่านก็สามารถมอบให้พวกเขาได้ทันที”นอกจากพบหน้านางเขายังเตรียมสิ่งของมากม
คนจากซีตันเดินทางเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ระหว่างทางมีปะทะกับพวกกลุ่มโจรบ้างประปราย แต่ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไป จะมีสหายของบิดาคอยให้การต้อนรับเสมอ พวกเขาจึงรู้สึกสนุกมากกว่าเหน็ดเหนื่อยทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ หนานเจินหยางไม่ได้ตื่นตกใจกับเรื่องพวกนี้มากนัก เขาท่องเที่ยวเป่ยฮั่นกับผู้เป็นบิดาอยู่บ่อยครั้ง ผิดกับน้องสาวทั้งสองโดยเฉพาะหนานอันรั่ว นางทำให้ทุกอย่างรอบกายเป็นเรื่องสนุกน่าตื่นเต้น ส่วนหนานรั่วซีก็ได้แต่เฝ้ามองสิ่งต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆในใจของหนานเจินหยางได้แต่บอกว่าดีแล้วๆ ดีที่หนานรั่วซีนั่งเงียบ ๆ หากนางป่วนเขาด้วยอีกคนเกรงว่าเขาจะรับมือไม่ไหว ระหว่างทางหนานอันรั่วแวะซื้อสิ่งของนู่นนี่นั่นจนต้องหารถม้าเพิ่ม สิ่งนั้นสิ่งนี้นางล้วนอยากได้ไปหมด แม้จะบอกว่าที่ซีตันก็มี แต่นางว่าของพวกนั้นนางไม่ได้เลือกเอง นางไม่ชอบ นางชอบสิ่งของที่ตัวเองเป็นผู้เลือกต่างหากจากทัศนียภาพที่เป็นทุ่งหญ้ากลายเป็นป่าเขา แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มเข้าใกล้ดินแดนเป่ยฮั่นไปในทุกทีเดินทางมาเกือบครึ่งเดือนอายงที่ติดตามเดินทางมาด้วย พูดกับรั่วซีนับคร
คณะราชทูตจากเป่ยฮั่นจากไปได้ไม่กี่วัน หนานรั่วซีก็ฟื้นขึ้น แพขนตาของนางสั่นไหว พระพี่เลี้ยงเห็นการเคลื่อนไหวของนางเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ไม่นานคนตัวเล็กที่นอนไม่ได้สติก็ลืมตาฟื้นขึ้น อย่างช้า ๆ“หิวน้ำ” นางร้องเรียกหาน้ำอันอันที่คอยดูแลนางไม่ห่างกายตกใจจนน้ำตาไหล องค์หญิงของนางฟื้นแล้ว รีบกุลีกุจอทำตามที่คนป่วยบอก“เจ้าค่ะ น้ำอยู่นี่เจ้าค่ะ”“อันอันเจ้าร้องไห้ทำไม ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย”“ร้องไห้เพราะเป็นห่วงพระองค์ไงเจ้าคะ”“หึ ข้าหลับไปกี่วันกันล่ะครั้งนี้” นางถามพระพี่เลี้ยงดูท่าครั้งนี้นางน่าจะหลับไปนาน“ราว ๆ เดือนครึ่งเจ้าค่ะ ตั้งแต่หยวนอ๋องพาท่านกลับมา ท่านก็ไม่ฟื้นอีกเลย จนกระทั่งหยวนอ๋องจากไปวันนี้วันที่ 5 ท่านจึงฟื้น”คำพูดของอันอันทำนางตกใจ หลับไปนานขนาดนั้นเชียวหรือ เมื่อไหร่กันที่ร่างกายนางจะแข็งแรงเสียที แม้กระทั่งเขาจากไปแล้วนางก็ไม่ได้เห็นหน้าเขา น่าเศร้าใจนัก“ระหว่างนี้ใครมาเยี่ยมข้าบ้าง
ร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดของหนานรั่วซีถูกเขาพาไปส่งที่ตำหนักของนาง รอยแผลจากการถูกสุนัขป่ากัดที่แขนซ้ายของนาง สร้างความหวาดหวั่นแก่พระพี่เลี้ยง ทุกคนเกรงว่านางจะกลายผู้หญิงที่เสียโฉม เรียวแขนบอบบางขององค์หญิงมีรอยแผลฉกรรจ์ ร่างกายสตรีจะมีรอยแผลเป็นได้อย่างไรคนที่เกี่ยวข้องรีบตามฮ่องเต้และพระชายามาในทันที หมอหลวงทั้งในวังและนอกวังถูกตามมาเพื่อยื้อชีวิตองค์หญิงหนานรั่วซีหนานอันรั่วและหนานเจินหยางตามมาทีหลัง ผู้เป็นพี่กอดน้องสาวคนรองเอาไว้แน่น นางตัวสั่นหวาดกลัวราวกับลูกนก ตอนที่รั่วซีโดนผึ้งพิษต่อยก็ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาเห็นสายตาหวาดกลัวของนาง ความกลัวที่จะสูญเสียเป็นบาดแผลที่คอยหลอกหลอนน้องสาวเขามาตลอดครั้งนั้นเป็นเพราะน้องสาวคนเล็ก วิ่งเข้ามาช่วยเหลือหนานอันรั่วผู้เป็นพี่ที่กำลังตกอยู่ในดงผึ้งพิษ จึงทำให้นางได้รับบาดเจ็บและส่งผลกระทบต่อร่างกายนางมาจนถึงปัจจุบัน“หยวนอ๋องขอบใจท่านมากที่ช่วยเหลือนาง” หนานปาอี้ขอบคุณชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง“โชคดีที่ข้าสังหรณ์ใจ วันที่พบนางวันแรก ข้าสังเกตเห็นรอยเท้าของฝูงหมาป่า และคิดว่านางอาจจะไปหาพวกมันอีก จึงตามไปดู” เขาพูดอย่า