เข้าสู่ระบบไป๋ลี่เฟยจับจ้องไปที่คุณหนูเสิ่นที่ชักสีหน้าไม่พอใจจนเห็นได้ชัด ภาพลักษณ์ของคุณหนูผู้นี้ในสายตาของไป๋ลี่เฟยนั้น มีความงดงามอย่างปราดเปรียว ดูคล้ายกับผู้คนในช่วงเวลาของมีมี่ มากกว่าจะเป็นสตรีในภพนี้
งดงามยิ่งนัก…มีอะไรให้องค์ชายหกไม่ชอบกัน
คุณหนูไป๋ผู้ที่ต้องมาเป็นไม้ขัดประตู ส่งยิ้มเป็นมิตรให้แก่ ‘เสิ่นหรงฮวา’ ผู้เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเสิ่นเต๋อเฟย แต่หรงฮวาผู้นี้กลับส่งยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกลับมาให้ ยกมุมปากโค้งอย่างไร้ความเต็มใจจนรับรู้ได้
เต๋อเฟยนี่ก็อย่างไร จะจับคู่ลูกเลี้ยงกับหลานสาวตนเองให้ได้เลย
องค์ชายหกนั้นจะแตกต่างจากองค์ชายผู้อื่นก็ตรงที่ เขานั้นไม่ได้เป็นองค์ชายที่มารดาผู้ให้กำเนิดมีตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่กลับเกิดจากหญิงชาวบ้านที่ฮ่องเต้พบเจอระหว่างไปพักผ่อน และแอบซ่อนนางไว้นอกวัง ยามเมื่อสตรีผู้นั้นคลอดบุตรชายแล้วลาจากโลกไป พระองค์ก็สั่งให้คนอุ้มกลับเข้าวังมายัดให้เต๋อเฟย สนมขั้นเฟยผู้เดียวที่ยังไม่เคยมีบุตรผู้เดียวรับไว้
ทำให้บางคราองค์ชายหกถูกดูหมิ่นจากชนชั้นสูงโดยกำเนิดอยู่เนืองๆ แต่เพราะเป็นองค์ชายที่ประพฤติตัวอย่างดี สนใจเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ เสมอมา จึงทำให้เหล่าขุนนางที่เข้ามาด้วยการสอบรับราชการ โดยไร้สกุลใหญ่หนุนหลังวิ่งเต้นตำแหน่งให้ มีความเอ็นดูเป็นพิเศษ เพราะถือว่ามีมารดาเป็นคนธรรมดาสามัญเช่นพวกตน
“นี่สหายของข้า ช่างชางและน้องสาวของเขา นางมีนามว่าลี่เฟย ข้าเกรงว่าการนั่งรถม้าไปด้วยกันเพียงสองคนจะไม่เหมาะสมนัก จึงชวนคนมาเพิ่ม” องค์ชายหกแนะนำคนบนรถม้าให้ได้คุ้นเคยกัน แม้คนในสังคมชั้นบนจะรู้จักคุ้นเคยกันดี แต่หากไม่เคยออกหน้าพูดคุยกัน ก็ยังต้องแนะนำอยู่
“รู้เพคะ เคยเห็นตามงานอยู่บ้าง เพียงแค่ไม่ต้องการจะลงไปคลุกคลีด้วยเท่านั้น” เสิ่นหรงฮวาเชิ่ดหน้าขึ้นเล็กน้อย กวาดสายตามองสองพี่น้องไป๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายกับจะสื่อว่าการที่สกุลไป๋ ไม่มีสนมขั้นเฟยอยู่ในวังจะทำให้ด้อยชั้นกว่า โดยลืมคิดไปว่าทางฝั่งสกุลมารดาของสองพี่น้องไป๋ยังมี ‘จงเสียนเฟย’ อยู่อีกหนึ่งคน
“ข้าก็เพียงแนะนำตามมารยาท อย่างไรเสด็จแม่ก็ฝากฝังให้ดูแลดั่ง ‘น้องสาว’ ผู้หนึ่ง หากไม่พอใจ คราวหน้าจะไม่แนะนำสหายคนใดให้ได้รู้จักอีกก็แล้วกัน” องค์ชายหกเน้นย้ำคำว่าน้องสาวใส่หน้าคุณหนูเสิ่น
“ไม่ได้นะเพคะ! หรงฮวาไม่ยอม” ใบหน้าบิดเบี้ยวเอาแต่ใจปรากฎขึ้น
“ตกลงอยากคลุกคลีหรือไม่” จ้าวโจวเฉิงใช้ปลายนิ้วเคาะลงบนเข่าของตนรอคำตอบ
“หากเป็นสหายขององค์ชาย หรงฮวาคงไม่อาจรังเกียจ”
แม้ว่าเสิ่นหรงฮวาผู้นี้จะยินยอม แต่กลับยังมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดดั่งเด็กเล็กๆ วัยสามสี่หนาวออกมาให้เห็น ลี่เฟยที่มองดูอยู่จึงได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ
อ๋า…เอาแต่ใจตนอย่างไม่เก็บอารมณ์เช่นนี้สินะจึงไม่ชมชอบ
“ไม่เคยได้พูดคุยกับคุณหนูเสิ่นทั้งที่เป็นหลานสนมขั้นเฟยเหมือนกันแท้ๆ น่าเสียดาย ไม่มีโอกาสได้สนิทสนมเร็วกว่านี้” ไป๋ลี่เฟยยิ้มบางส่งไปให้
“พูดแล้วก็คิดถึงเสด็จป้าเสียนเฟยขึ้นมาเลยจริงๆ” ช่างชางพูดจบก็ยกตำราขึ้นมาทบทวน
ไป๋ช่างชางที่ไม่รู้ว่าลี่เฟยผู้เป็นน้องกำลังเตือนสติฝ่ายตรงข้าม พูดผสมโรงเข้ามาได้ถูกจังหวะ ทำให้ลี่เฟยรู้สึกขบขันจนแทบกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว ต้องยกพัดขึ้นมาปิดบังใบหน้าไว้
“อย่างไรเสด็จป้าเต๋อเฟยก็สูงส่งกว่า อย่ามาเทียบชั้นกับข้า” คุณหนูเสิ่นกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“หากไม่รับไมตรีข้า คุณหนูเสิ่นก็อยู่คุณหนูมู่ต่อไปแล้วกัน เอ…แต่คุณหนูมู่ยังไม่เข้าเรียนนี่นา เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี…อยู่อย่างไร้สหายไปทั้งปีหรือ” ลี่เฟยกล่าวเสียงใสคล้ายว่านางถามออกมาอย่างจริงใจ มิได้ตั้งใจจิกกัด นางแทบจะกลอกตาขึ้นมองเพดานรถม้า คุณหนูเสิ่นไม่อยากคบคนที่ตนมองว่าต่ำต้อยกว่า จนยอมเป็นลูกไล่หลานของกุ้ยเฟยผู้มีอายุน้อยกว่า แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันกลับไม่เคยมีปรากฎให้เห็น เสิ่นหรงฮวาเคยพยายามมาตีสนิทจี้ผ่าอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะคุณหนูฉือรำคาญการเล่นงิ้วของนาง
“คนอยากคบข้าเป็นสหายเยอะแยะ อย่ามากล่าววาจาไร้หลักฐาน” หรงฮวากำมือแน่น
“เช่นนั้นเจ้าสนิทกับใครเล่า” ลี่เฟยถาม
“…” ไร้เสียงตอบรับจากคุณหนูเสิ่น
“เงียบ…ก็คือไม่มี” ไป๋ลี่เฟยเอียงหน้าเลิกคิ้วสงสัย
“มีสิ ข้าแค่ไม่ชอบจำผู้ที่ไม่สำคัญ”
“อ้อ” ลี่เฟยพยักหน้าเห็นด้วย แต่สีหน้าไม่แสดงออกถึงความเชื่อมั่นแม้เพียงนิด
“เจ้า!” เสิ่นหรงฮวาที่เคยวางท่าสูงศักดิ์ จึงได้แต่หันมองออกนอกหน้าต่างของรถม้า ไม่อาจหาคำพูดมาต่อกรได้ ต้องหงุดหงิดอยู่ผู้เดียว
‘อย่ามากล่าววาจาไร้หลักฐาน’ ไป๋ลี่เฟยขยับปากแต่ไม่ส่งเสียง ก่อนจะเบ้หน้าอย่างนักแสดงที่ตนเคยนั่งดู พบว่าทำให้รู้สึกสาแก่ใจอยู่ไม่น้อย จึงขยับพัดปัดลมเข้าหน้าตนเองอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะหันไปสบสายตาเข้าหากับองค์ชายหกที่กำลังมองดูอยู่พอดี
เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามยกยิ้มให้พร้อมขยับปากไร้เสียงเลียนแบบนางออกมาเป็นคำว่า ‘ขอบคุณ’ หลังจากนั้นรถม้าคันนี้ก็เงียบสงบจนไปถึงสำนักศึกษาหลวง
.
.
.
เมื่อมาถึงสำนักศึกษาองค์ชายหกและไป๋ช่างชางที่เป็นศิษย์สืบทอดของอาจารย์คนเดียวกัน ก็แยกตัวไปยังชั้นเรียนของอาจารย์ตน แต่ก่อนจะไปองค์ชายหกเรียกลี่เฟยแยกไปพูดคุย พร้อมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ นางแสดงท่าทีเขินอายเล็กน้อย ช้อนสายตาออดอ้อนออเซาะขึ้นมองจ้าวโจวเฉิง และนำจดหมายน้อยนี้กอดไว้แนบตัว
คุณหนูไป๋ตั้งใจเล่นงิ้วฉากใหญ่ ให้แก่ผู้ชมกิตติมศักดิ์อย่างเสิ่นหรงฮวาเห็นอย่างไม่ปิดบัง โชคยังดีที่ช่างชางกำลังคุยกับโอจินโม่ ลี่เฟยจึงไม่ต้องอธิบายท่าทางของตนให้พี่ชายฟัง
ส่วนผู้เป็นองค์ชายอย่างจ้าวโจวเฉิงก็ไม่น้อยหน้า เมื่อเห็นไป๋ลี่เฟยส่งบทมาเช่นนี้ เขาจึงโน้มตัวลงไปพูดใกล้หูของไป๋ลี่เฟยแต่ก็ยังรักษาระยะไว้ไม่ให้เกินงาม “นางเอกโรงงิ้วใดสั่งสอนเจ้ามา”
“คิก คิก องค์ชายหก ลี่เฟยลาแล้วเพคะ” ไป๋ลี่เฟยแสร้งหัวเราะเบาๆ เสมือนว่าโจวเฉิงผู้นี้พูดจาที่ทำให้รู้สึกขัดเขิน ยื่นมือออกไปตีที่ท่อนแขนเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนวิ่งจากไป
นางลอบสังเกตท่าทีของคุณหนูเสิ่นพบว่าหน้าดำคล้ำไปกว่าครึ่ง ไม่อาจเข้ามาใกล้ และไม่อาจรับรู้ว่าพูดคุยอันใด เพราะหากจะแอบเพ่งพลังปราณแอบฟังบทสนทนา นอกจากจะทำไม่เป็นแล้วอย่างแน่นอนแล้ว ยังระดับปราณต่ำเกินกว่าจะทำได้ด้วย
เมื่อเก็บจดหมายไว้เรียบร้อยดีแล้ว ลี่เฟยก็ไปรวมกับศิษย์ชั้นปีหนึ่งที่พึ่งมารายงานตัววันนี้ ในลานกลางแจ้งของสำนักต่อแถวลงชื่อตามระดับสีของตนเอง ซึ่งสีแดง และสีม่วง ที่เป็นระดับของคนส่วนใหญ่นั้นยาวที่สุด นางหันไปยิ้มให้บิดามารดาก่อนจะเดินไปต่อที่บริเวณท้ายแถว
ไป๋ลี่เฟยมองดูแถวของศิษย์ในระดับสีม่วงแล้วก็ได้แต่ถอนใจ และนึกคิดถึงตอนตนอยู่ในระดับสีเขียวยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ ยามนั้นไม่มีแถวให้ต่อด้วยซ้ำเพราะนางเป็นผู้เดียวในชั้นปีที่ได้ระดับนั้นมาครอบครอง
เห้อ…ทำไมถึงเลือกลดไปจนเหลือม่วงเชียวนะ สีน้ำเงินน่าอิจฉาจริง มีไม่ถึงสิบคนเช่นนั้นครูเดียวก็คงไปนั่งพักได้
ไป๋ซินหยานที่เห็นลี่เฟยมองมาที่แถวสีน้ำเงินก็ตัดสินใจพยักหน้าทักทาย ไป๋ลี่เฟยเองก็พยักหน้ารับ แต่มิได้ยิ้มแย้มไว้ไมตรีอย่างเคย ยิ่งนางเห็นว่าซินหยานต่อหลังเพียงสองคนก็จะได้ลงชื่อแล้วก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
ทว่าก่อนที่ลี่เฟยจะต้องยืนในแถวจนเมื่อยล้า อาจารย์โฉ่ก็ร้องเรียกออกมาดังลั่น “คุณหนูไป๋” ทำให้ทั้งศิษย์ อาจารย์ และผู้ปกครองที่มาส่งบุตรหลานหันมองหาว่าคุณหนูไป๋ผู้นี้อยู่ที่ใด และบ้างก็มองไปที่ไป๋ซินหยาน อาจารย์โฉ่เห็นเช่นนั้นจึงระบุชื่อให้ถูกต้อง
“ไป๋ลี่เฟย! แสดงตนออกมาที”
บทพิเศษ 4 บรรจบเป็นวงกลมในที่สุดสหายรักของไป๋ลี่เฟยก็เดินทางถึงเมืองหลวงในแคว้นจ้าวอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเสียที หลังเดินทางเข้ามาถึงตงหม่าจางต้องทำเรื่องขอกลับเข้าเป็นองครักษ์ ส่วนฉือจี้ผ่าก็จำเป็นต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมให้บิดามานดาของนางเห็นหน้ามากหน่อย กว่าจะได้มาพบปะสหายทั้งหลาย เวลาก็ผ่านไปเกือบรอบจันทร์แล้ว“ข้ามาแล้ว” จี้ผ่าเอ่ยทักเมื่อเข้ามาในร้านประมูลของแม่นางอูที่เปิดขึ้นใหม่เมื่อสองปีก่อน“จี้ผ่า คิดถึงเจ้านัก” ลี่เฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสียดายที่มิได้ร่ำลากัน”“โชคยังดีที่มีโอกาสได้กลับมา” จี้ผ่ายิ้มเล็กน้อย“และโชคดีที่พวกเจ้าออกมาหาข้าได้ มิเช่นน
บทพิเศษ 3 งานปักผ้าของจี้ผ่าชีวิตของฉือจี้ผ่าและตงหม่าจางหลังออกจากเมืองหลวงมิได้ลำบากนัก ด้วยทรัพสินเงินทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ติดตัวมิได้น้อยเลย หากจะมีลำบากก็เพราะตงหม่าจางต้องติดสินบนปลอมแปลงเอกสารยืนยันตัวตน เพื่อผ่านทางไปยังแคว้นอื่นที่สงบจากภัยสงครามในขณะนี้แต่เมื่อผ่านมาได้แล้วทั้งสองก็เลือกปักหลักอยู่ที่เมืองทางทิศใต้ของทะเลสาบต้งถิง เป็นเมืองที่มีผู้คนผ่านไปมามาก จึงทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองสามารถกลืนไปกับผู้คนในเมืองได้ไม่ยากเย็นนัก จวนที่ซื้อต่อจากสกุลวานิชเล็กๆ สกุลหนึ่ง กลายเป็นบ้านใหม่ของคู่สามีภรรยาเยาว์วัยคู่นี้ทุกๆ วันตงหม่าจางจะเข้าป่าเพื่อสร้างสถานที่เก็บตำราของฮ่องเต้ พร้อมกับคิดค้นกับดักและร่ายอักขระไว้ปกป้องตำราภายในด้วย ส่วนจ
บทพิเศษ 2 ความร้อนในกายช่วยให้อบอุ่นโจวเฉิงจับข้อมือของไป๋ลี่เฟยอ้าออกก่อนจะก้มลง เพื่อใช้ลิ้นร้อนฉ่าทักทายยอดบัวชมพูอย่างตั้งใจ อีกมือหนึ่งผละจากท่อนแขนมากอบกุบความนุ่มนวลตรงหน้านี้ สลับข้างไปมาอย่างคนถูกมอมเมามิอาจละตัวให้ห่างไปได้เลย“อ๊ะ..พะ พี่” ลี่เฟยที่ถูกจู่โจมเช่นนี้รู้สึกวูบวาบจนเริ่มหายใจติดขัด จะกล่าววาจาใดก็ไม่ถนัดดังเช่นยามปกติเห็นเช่นนั้นท่อนแขนแข็งแรงช้อนตัวไป๋ลี่เฟยให้ขึ้นไปนั่งยังบริเวณขอบบ่อ หยดน้ำพราวเกาะบนผิวยิ่งทำให้ร่างกายนี้เย้ายวนเหนือบรรยาย ใบหน้าของชายหนุ่มไล่สายตาจนมาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางร่างกายของไป๋ลี่เฟย“เฟยเฟยอ้าขาออก”
บทพิเศษ 1 พักตากอากาศเมืองซุ่ยปาคือจุดมุ่งหมายที่สองบิดามารดามือใหม่ตั้งใจจะไปพักผ่อนให้สบายจิตใจ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสงบมีผู้คนอยู่อาศัยไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขุนนางที่ปลดระวางตนเองจากตำแหน่งหน้าที่แล้วมาอยู่อาศัย ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกินไป เพื่อให้สะดวกหากมีขุนนางคนใดอยากเข้ามาปรึกษาหารือประเด็นต่างๆเมืองซุ่ยปามีทิวเขางดงาม ป่าไม่อุดมสมบูรณ์มีแหล่งพลังปราณธรรมชาติหนาแน่น สตรีมีครรภ์และผู้มีอายุจึงนิยมมาอาศัยในเมืองแห่งนี้เพื่อบำรุงร่างกาย ข้อเสียเพียงอย่างเดียวมีเพียงอากาศที่เย็นกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของแคว้นอย่างน่าประหลาดจ้าวโจวเฉิงจับจูงไป๋ลี่เฟยให้เดินชมสวนของจวนไม่เล็กไม่ใหญ่หลังนี้ “ชอบหรือไม่”
บทที่ 67 คลี่คลายง่ายนัก“ท่านหมอ พอรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยเอ่ยถามออกไป แต่ไม่ทันที่จะได้เว้นช่วงให้หมอเทวดาตอบ นางก็มิอาจกลั้นอาเจียนไว้ได้อีกต่อไป“พระชายาไป๋ นั่งลงก่อน” หมอเทวดาดวงตาเป็นประกาย เมื่อเห็นความท้าทายในการรักษาถึงสองอาการ คนหนึ่งหลับไปเฉยๆ โดยที่มิได้รับความบาดเจ็บใด ส่วนอีกผู้หนึ่งอาเจียนเป็นเลือด แต่ยังเดินเหินและดูแข็งแรงปกติไป๋ลี่เฟยนั่งลงให้ท่านหมอตรวจอาการ และไม่ลืมนำน้ำหกธาตุพิชิตออกมาให้หมอเทวดาผู้นี้ดู ก่อนจะเล่าว่าอาการของตนและองค์ชายหกเกิดได้อย่างไร แต่มิได้บอกความมหัศจรรย์ของพิษจิตแตก บอกแต่เพียงว่าเป็นพิษ“วิเศษนัก” ท่านหมอกล่าวระหว่างยกขวดโอสถขึ้นมาส่องดู ก่อนจะวางลงข้างกาย “อาการขององค์ชายหก
บทที่ 66 ความสุขกลับคืนทีละน้อยเช้าวันรุ่งขึ้นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าองค์รัชทายาทต้องการพาพระชายาไปพักผ่อนให้เป็นส่วนตัว จึงมิได้ให้องครักษ์คนใดติดตามไป เกิดเป็นเรื่องราวน่าใจหายองค์ชายถูกสัตว์รุมกัด มีร่องรอยการต่อสู้ดุเดือด ส่วนไท่จื่อเฟยก็หนีอยากหวาดกลัว กล่าวกับผู้คนว่าองค์ชายปกป้องตนเองจนตัวตายท่าทางของพระชายาคนงามดูอ่อนแอบอบบางจนมีแต่ผู้คนสงสาร เล็บมือเล็บเท้าของสตรีสูงศักดิ์ฉีกขาดเพราะการหนีตาย ยิ่งทำให้หมดข้อสงสัยว่าไป๋ซินหยานมีส่วนรู้เห็นกับการตายขององค์ชายสาม ช่วงเวลาต่อมาวังเมฆาแสงจันทร์ถูกปิดตาย ด้วยคำสั่งพระชายามีเพียงหมอหลวง และคนจากสกุลเดิมเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเข้าออกวังแห่งนี้ได้ ส่วนตัวไป๋ซินหยานเองก็ออกมาด้ายนอกเพียงเพื่อร่วมพิธีศพเท่านั้น“ซินหยาน เป็





![ตำนานรักแผ่นดินกงซุน [NC25+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

