LOGINคนตัวเล็กกว่าพยักหน้าเบาๆ ก่อนเดินหน้าต่อ โดยมีร่างสูงเดินตามมาติดๆ ทำให้เขาถึงกับหยุดแล้วหันไปมองอีกฝ่ายทันที "มีไรครับ?"
"ขอเบอร์หน่อย" ก็บอกแล้วว่าพี่แกจะรุก
"..." ที่เงียบเพราะน้องงง
"ไม่ได้เหรอ?"
"เอาโทรศัพท์มาสิครับ"
จากที่ใกล้หงอยถึงกับหูตั้ง คิมหันต์รีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้คนตรงหน้าทันที
ไวน์รับ พร้อมเมมเบอร์โทร ก่อนส่งคืนเจ้าของ
"ว่างสามทุ่มตรง 5นาทีนะครับ"
พูดจบเขาก็เดินหน้าต่อ หลงเหลือเพียงแผ่นหลังและกลิ่นหอมเจือจางให้คิมหันต์สูดดม
อ๊ากกก!! ตอนนี้เขาโห่ร้องในใจสุดเสียง ดีใจแทบบ้าแอบมองตั้งแต่ม.3 จนน้องขึ้นม.6 ไม่คิดว่าจะได้เบอร์ด้วยซ้ำ
ส่วนอีกคนพอเข้าบ้านแม่ก็เอ่ยทัก
"ทำไมวันนี้หน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่าไวน์"
"เปล่าครับ แดดข้างนอกมันแรง"
คนเป็นแม่พยักหน้าเข้าใจ ส่วนลูกชายรีบแจ้นเข้าห้อง แดดช่วงเย็นคงร้อนจนทำให้คนหน้าแดงได้เลยสินะ
ใครบอกไวน์ตั้งกำแพงไว้สูงหรือมีกำแพงหนาๆ
เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายนอกตัวเองเป็นแบบนั้นในสายตาของใครหลายคน ตัวเขาไม่ใช่ดอกฟ้า เป็นแค่คนธรรมดาจนๆคนหนึ่ง ที่ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แตกสลายนับครั้งไม่ถ้วน
ตั้งแต่ตอนเด็กๆราวๆหกขวบ พ่อเคยพาเขาไปเคาะประตูห้องใครก็ไม่รู้ จำได้แค่ว่าเจ้าของห้องเป็นหญิงสาวอายุราวห้าสิบ สวมเสื้อกล้าม ผมยุ่ง เปิดประตูหาวหวอด
แล้วคนเป็นพ่อก็บอกเขาว่า'ขอตังป้าเขาสิลูก'
เขาพึ่งรู้ตอนโตขึ้น ว่านั่นเรียกขอทาน
โชคดีของตัวเองที่แม่เลิกกับพ่อขี้เมา ไม่งั้นชีวิตคงเละ จิตใจคงบอบช้ำไม่เหลือชิ้นดี
ตอนเด็กๆไวน์เฝ้าฝันอยากเป็นนักร้อง ตอนนี้ทำได้แค่ร้องคาราโอเกะ โตขึ้นอีกหน่อยอยากเป็นข้าราชการกินบำนาญตอนแก่ แต่ชีวิตมันเส็งเคร็งแบบนี้แหละ
ผิดหวังซ้ำๆจนเลิกคาดหวัง
เขานึกอยากโทษโชคชะตาที่แสนตลกร้าย เพราะหลังจากแม่เลิกกับพ่อขี้เมา เธอก็กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงเขาด้วยตัวคนเดียวอย่างยากลำบาก
หาเช้ากินค่ำทุกวันจนกระทั่งผมเริ่มหงอก ส่วนไวน์ที่เป็นเด็กชายตัวน้อย เขาเริ่มรู้จักหาเงินตอนอายุเก้าขวบ
ป.3 รับจ้างเก็บพริกกลางแดดร้อนจัดในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แทนการออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นในหมู่บ้าน
แต่เด็กก็คือเด็ก ทำงานทั้งวัน พักบ้างเล่นบ้าง สุดท้ายได้ค่าแรงสิบห้าบาท ยังซื้อก๋วยเตี๋ยวไม่ได้สักชาม
ป.4 รับจ้างตัดหอมในโรงงาน ดมกลิ่นฉุนๆตลอดทั้งวันจนเวียนหัว เขาแค่อยากซื้อสิ่งที่อยากได้แต่ไม่กล้าขอเงินแม่เพิ่มเพราะรู้ว่าคนเป็นแม่เหนื่อย
จึงอยากแบ่งเบาภาระโดยการหาเงินด้วยตัวเอง
ขึ้นมัธยมต้นเขาเริ่มแบกกระสอบส้มขึ้นเขาลงเขา
จากเด็กชายกลายเป็นนายในช่วงมัธยมปลาย สุดท้ายกระปุกออมสินก็เริ่มเต็ม
ไวน์ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งจึงหมั่นเพียรเขียนอ่านตลอดเพื่อชิิงทุน เขาพยายาม พยาม แล้วก็พยาม
ในที่สุดความพยายามมักสวยงามเสมอ เขาได้ทุนเรียนต่อม.ปลาย แลกกับการรักษาระดับเกรดให้ดี เขาจึงมักอ่านหนังสือตลอดเวลา วันหยุดทำงานพาร์ทไทม์
ชีวิตวนลูปอยู่กับความพยายามจนไม่ได้ใช้ชีวิต แต่เหมือนชีวิตกำลังใช้เขาอยู่ เขารู้ตัวเองดี
แต่ใครบ้างไม่อยากใช้ชีวิตจริงมั้ย ทุกคนอย่างเที่ยวอยากพักผ่อน ทว่าสังคมมันบีบรัดให้เขาต้องทำ
'เงินมันคมความจนมันน่ากลัว'
ถ้ามีเงินอีกสักนิด สถานภาพเอื้ออำนวยอีกสักหน่อย เขาเองก็อยากพักบ้างเหมือนกัน เหนื่อยแต่ชีวิตแม่งต้องก้าวต่อไปด้วยความเชื่อ...
เชื่อว่าสักวันหนึ่งจะประสบความสำเร็จ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่รู้ว่ามีีแต่คนแอบมองตัวเองตลอด ไม่เคยรู้ว่าตัวเองฮอตถึงนอกโรงเรียน
จนถึงวันปัจฉิมที่ได้รับดอกไม้จากหนุ่มๆหลายคนถึงได้รู้ตัว เป็นความแปลกใหม่ ให้ความรู้สึกชวนจั๊กจี้หัวใจ คันยุบยิบ แต่ให้เบอร์กับแค่คนเดียว เพราะพี่คนนั้นเขาแปลกดี
ใกล้เวลาอ่านหนังสือ เขารีบตรงเข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น แล้วกลับมาเปลี่ยนชุดหน้าตู้เสื้อผ้า คว้าชุดนอนลายเป็ดเหลืองอ๋อยมาสวม ก่อนเดินไปยังโต๊ะทำงานมุมในสุดของห้อง เลือกหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากกองหนังสือมากมายบนโต๊ะ
วันนี้วิชาที่จะติวคือคณิตศาสตร์ เปิดหน้าแรกไวน์ตาแม่งลายเลย มีแต่ตัวเลขที่โคตรจะเกลียดแต่ต้องฝืน รอบแรกไม่เข้าหัวก็ต้องรอบสอง รอบสาม วนไปจนกว่าจะได้ ระหว่างการติวเขาก็มีพักสมอง อ่านนิยายบ้าง ไม่ให้เครียดจนเกินไป
สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดัง ครืดด ครืดดดด~
ในเวลาสามทุ่มตรง
เขาสะดุ้งเล็กน้อย มองเบอร์บนหน้าจอ คงเป็นหนุ่ม'ปุ๊ด' กลิ่นไข่ต้มวันนี้แน่ๆ ไวน์กดรับสาย
"ครับ?"
"อะฮึ่ม...ทำไรอยู่" เสียงจากปลายสายต่างจากตอนเจอหน้ากันเล็กน้อย ทุ้มและนุ่มกว่า ก็หล่อดีนี่
"อะแฮ่ม!" เขาเองก็ต้องวอร์มคอ กระแอมไอเล็กน้อย "อ่านหนังสือครับ" ปรับโทนเสียงให้นุ่มขึ้น
"อ๋อ"
"..."
เป็นการพูดคุยที่ติิดๆขัดๆ ไม่รู้จะถามอะไรต่อแต่ก็อยากคุย มือใหม่หััดรักให้ทำไงได้ สุดท้ายเวลาก็ผ่านไปห้านาที
"หมดเวลาแล้วครับ" ไวน์ย้ำ
น้องก็เป้ะเกิ๊น!
"พรุ่งนี้ว่างมั้ย?" พี่รีบแทรกก่อนโดนตัดสาย
"ผมหยวนให้พี่คนเดียวเลยนะ ว่างสามทุ่มห้านาทีเหมือนเดิมครับ"
"ไม่ใช่ดิ...จะชวนเที่ยว"
"อ๋อ..." พรุ่งนี้ปิดเทอมวันแรก "ว่างครับ"
"เดี๋ยวไปรับนะ"
"ครับ"
สิ้นเสียงปลายสายกดวาง ไวน์กัดริมฝีปากตัวเองแน่น ก่อนซบหน้าลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าแดงระเรื่อไปถึงใบหู "เขินว่ะ"
คิมหันต์ขับรถพาไวน์ซ้อนท้ายไปยังร้านขายกิ๊ฟช็อป ตัวเองคิดว่าจะซื้อของให้น้องมันสักชิ้นปกติแล้วเสียงหัวใจคนเราจะดังตึกตัก แต่ตอนนี้ถูกกอดจากคนซ้อน แม่งดังวี้หว่อ วี้หว่อ เหมือนใจจะวายเฉียบพลัน คิมจึงขับรถช้าๆ ชมวิวด้วยหน้าระรื่น ไวน์เองก็ไม่ต่างกัน ที่กอดเพราะเห็นคนขับตัวใหญ่ อยากรู้จะอุ่นเหมือนที่คิดหรือเปล่าแค่นั้น แต่พอได้สัมผัสจริงๆอุ่นกว่าที่คิดอีกนี่สิ เขาสูดกลิ่นเข้มๆราวกับกาแฟดำยามเช้าของหนุ่มหล่อที่ลืมถามแม้กระทั่งชื่อ 'หิ้วไปดมต่อที่บ้านได้มั้ยนะ?' ไวน์คิดเป็นการเดินทางที่เพลินจนกระทั่งถึงร้านกิ๊ฟช็อปคิมเริ่มชะลอรถ เคลื่อนตัวจอดเทียบฟุตบาทหน้าร้านเป็นร้านกระจกใสตกแต่งภายในเป็นโทนชมพูขาวดูน่ารักสดใส ไวน์ลงจากรถถอดหมวกกันน็อคคืนเจ้าของ"นี่ครับ"คิมหันต์ยื่นมือไปรับ ทันใดนั้นเองก็็เผลอจับมือนุ่มๆของน้องอย่างไม่ตั้งใจ มือไวน์นุ่มจริงๆ นุ่มเหมือนเกิดมาไม่เคยผ่านมรสุมในชีวิต คงเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวเลยสินะ ต่างจากเขาที่หยาบกระด้างเพราะชีวิตสมบุกสมบันตั้งแต่เด็ก เขาสัญญาเลยว่าจะไม่มีวันให้มือของไวน์หยาบกระด้างเป็นอันขาด ฟังดูน้ำเน่าแต่จริงใจนะเว้ยคิมหันต์จูงมือคนตัวเล็ก
"บอกทีว่ากูหล่อแล้ว"ในห้องเช่าสี่เหลี่ยมแคบๆมีเตียง ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องแต่งตัวยัดรวมกัน เหมาะสำหรับอยู่คนเดียว จากประตูสู่เตียง เดินเพียงสอง ปลายเตียงมีประตูห้องน้ำ ส่วนข้างหัวเตียงมีโต๊ะกลมขนาดเล็กวางหนังสือเรียนที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซื้อมาทำเหี้ยไร แค่เห็นคนที่ชอบอ่าน เขาเลยอยากลองอ่านดูบ้างก็เท่านั้น"คนที่ตดสาวก็พร้อมดมอย่างมึงมีสิทธ์พูดคำนัั้นจริงดิ...เป็นไร ทำเป็นไม่มั่นใจ กูไม่ได้อิจฉานะ กูแค่สงสัย เป็นไรครับเป็นไร" หนึ่งคำถามแต่ไอ้เพื่อนอย่างเตชินร่ายยาวราวเวทมนตร์ "คนที่ชอบ กับคนที่ไม่มีใจมันต่างกัน" เตชินเบ้ปาก อยากจะแหมมม ยาวๆไปถึงดาวอังคาร ก็คิมหันต์เล่นซื้อแจ็คเก็ตตัวใหม่สีดำ กับยีนส์สีเข้ม บนหุ่นสมบูรณ์แบบขนาดนั้นแล้วมาถามว่า หล่อยัง?ไอ้สัตว์! ปกติเสื้อยืด เกงย้วย สาวก็ตรึมอยู่แล้วไหมรู้แหละว่าน้องเขาน่ารักแต่จำเป็นต้องทุ่มซื้อเสื้อผ้าใหม่ใส่ไปเดตวันเดียวขนาดนี้เลย เตรู้สึกเหม็นเบื่อ เหม็นขี้หน้าความหล่อเพื่อนตัวเอง"กูไปก่อนนะ"ได้คำตอบที่่ต้องการคิมหันต์รีบคว้ากุญแจรถบนผนังห้อง เดินรีบๆออกไป ปล่อยให้เพื่อนสนิทโดดเดี่ยวอยู่ในห้องตามลำพัง "เดี๋ยว!!" เ
คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าเบาๆ ก่อนเดินหน้าต่อ โดยมีร่างสูงเดินตามมาติดๆ ทำให้เขาถึงกับหยุดแล้วหันไปมองอีกฝ่ายทันที "มีไรครับ?""ขอเบอร์หน่อย" ก็บอกแล้วว่าพี่แกจะรุก"..." ที่เงียบเพราะน้องงง "ไม่ได้เหรอ?""เอาโทรศัพท์มาสิครับ"จากที่ใกล้หงอยถึงกับหูตั้ง คิมหันต์รีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้คนตรงหน้าทันที ไวน์รับ พร้อมเมมเบอร์โทร ก่อนส่งคืนเจ้าของ"ว่างสามทุ่มตรง 5นาทีนะครับ"พูดจบเขาก็เดินหน้าต่อ หลงเหลือเพียงแผ่นหลังและกลิ่นหอมเจือจางให้คิมหันต์สูดดมอ๊ากกก!! ตอนนี้เขาโห่ร้องในใจสุดเสียง ดีใจแทบบ้าแอบมองตั้งแต่ม.3 จนน้องขึ้นม.6 ไม่คิดว่าจะได้เบอร์ด้วยซ้ำ ส่วนอีกคนพอเข้าบ้านแม่ก็เอ่ยทัก"ทำไมวันนี้หน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่าไวน์""เปล่าครับ แดดข้างนอกมันแรง"คนเป็นแม่พยักหน้าเข้าใจ ส่วนลูกชายรีบแจ้นเข้าห้อง แดดช่วงเย็นคงร้อนจนทำให้คนหน้าแดงได้เลยสินะใครบอกไวน์ตั้งกำแพงไว้สูงหรือมีกำแพงหนาๆเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายนอกตัวเองเป็นแบบนั้นในสายตาของใครหลายคน ตัวเขาไม่ใช่ดอกฟ้า เป็นแค่คนธรรมดาจนๆคนหนึ่ง ที่ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แตกสลายนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ตอนเด็กๆราวๆหกขว
เช้ามาตาบวมทั้งคู่ เหมือนโดนผึ้งต่อยแตนจี้นั่งกินข้าวกับใจร้าวๆกันสองคน บรรยากาศค่อนไปทางตึง ลูกชายก็ไม่อยู่แม่ยายพาไปโรงเรียน ต่างคนต่างไม่พูดไม่จาก้มหน้าก้มตาซดข้าวต้มมื้อเช้าแม่ของไวน์ทำข้าวต้มร้อนๆ ต้มจืดอุ่นๆแล้วก็ไข่ลูกเขยไว้ให้ก่อนออกไปส่งหลานชาย"ขอโทษนะเมื่อคืนผมคงละเมอดังไปหน่อย" ตื่นมาไวน์รู้สึกขายหน้า อีกฝ่ายไม่เห็นค่าด้วยซ้ำ เขาไม่พูดอะไรเลยนอกจากกอด มันยิ่งทำให้อารมณ์ดิ่งเข้าไปใหญ่ แต่คนละเมอที่ไหน จะรู้ว่าตัวเองละเมอ คิมรู้ว่าตอนนี้ไวน์รู้สึกยังไง เพียงแต่เขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเมื่อคืน จะถือเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น"กินไข่เยอะๆสิมีโปรตีนนะ" คิมขมวดคิ้วพูดดุตามความเคยชิน เมื่อเห็นคนตรงหน้าตักแต่เต้าหู้ไข่ของโปรด กินเหมือนคนไม่มีแรง ถึงว่าผอมลงๆจนจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่แล้ว"ไม่เอา" ไวน์ตอบส่งๆตอนนี้เขาดูไร้อารมณ์สุดๆ"ทำไม? กลัวตดเหม็นหรือไง"ไวน์ถึงกับชะงัก พี่คิมรู้ดีไปหมด "ครับ เหมือนพี่ตอนนั้น" แล้วยิ้มแห้งๆ เล่นเอาคิิมนึกขำตัวเองขึ้นมา ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เบ่งบานราวกับดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนทุกอย่างดูสดใสไปเสียหมด ขนาดดอกไม้เหี่ยวใก
ว่ากันว่าในตอนที่คนเรามีความสุขเวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ ยิ่งสุขมากเท่าไหร่ก็จะเร็วมากเท่านั้น เหมือนตอนงานเลี้ยงเลิกราทุกคนต่างแยกย้าย มือเย็นเองก็รวดเร็วกว่าตอนที่คิมหันต์คิดไว้"เดี๋ยวผมล้างเองครับ"คิมหันต์อาสาล้าง พูดจบก็เก็บกวาดถ้วยชาม เศษอาหารบนโต๊ะ แต่โดนลูกของแม่ยายแย้ง"ไม่ต้องครับ พี่ไปอยู่กับลูกเถอะ ลูกอยากอยู่ด้วย ทางนี้ผมจัดการเอง" ไม่พูดเปล่าคนตัวเล็กกว่าเอื้อมมือไปแย่งชามเปล่าจากคิมหันต์"เถอะน่า" คิมเองก็ไม่ยอมทั้งคู่ดูยืดเยื้อจนคนมองอย่างกานดายิ้้ม ในสายตาของหญิงมากประสบการณ์ทั้งดูแปลกไปเล็กน้อย ใช้ชีวิตมาขนาดนี้ดูก็รู้ว่า'ผัวเมียงอนกัน'อยู่"ไม่ต้องทั้งคู่นั่นแหละ เดี๋ยวแม่ทำเอง ไปอยู่กับลูกเถอะ" เธอไล่คู่ผัวเมียเข้าห้อง ก่อนหันไปมองหลานตัวน้อยที่กำลังจ้องการ์ตูนอย่างตั้งใจ "โลมา ไปเล่นกับป๊าม้าก่อนลูก ก่อนนอนเดี๋ยวยายไปรับมาฟังนิทานเรื่องใหม่""วันนี้เรื่องอะไรฮับ!" เด็กน้อยเลิกสนใจจอทีวี หันไปมองหน้าคุณยายอย่างใคร่รู้ "วิธีง้อม่ะม้าขี้งอน"แน่ใจนะว่าชื่อนิทาน ไม่ใช่การบอกทริคลูกเขยทางอ้อม "ฮับ!" ตัวเล็กตาลุกวาว รีบลงจากเก้าอี้ วิ่งไปจับมือป่ะปิ๊กับป่ะป๊า พาสองคน
หลังทานมื้อเช้าเสร็จ ไวน์ขับรถมาส่งโลมาที่โรงเรียน"กอดเอวป่ะปิ๊ไว้แน่นๆนะโลมา""ฮับ!" มือน้อยๆกำชับเอวผู้ให้กำเนิดอย่างว่าง่าย"เก่งมาก"สิ้นเสียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าก็เคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง กระจกซ้ายหมุนให้เห็นหน้าคนซ้อนท้าย ส่วนด้านขวาไว้มองทาง ถึงถนนจะปลอดโปร่งแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่มักห่วงลูกตัวเองเสมอ เขากังวลทุกครั้งที่ยายต้องมาส่งหลานด้วยรถประจำทาง และใจหายเวลาโลมาต้องเผชิญหน้ากับสังคมที่ไม่คุ้นเคย เขามักฟุ้งซ่านและคิดมาก ห่วงเสมอ ลูกจะล้มไหม เพื่อนจะแกล้งหรือเปล่า กลัวอันตรายรอบด้าน แต่เขาทำได้แค่เฝ้ามองการเติบโต และเป็นห่วงอยู่ห่างๆเพราะทุกบาดแผลล้วนทำให้คนเราเติบโตอย่างเข้มแข็งมาถึงหนา้โรงเรียนเขาดับรถ ก่อนลงรถเป็นคนแรกตามด้วยการอุ้มลูกชายตัวจ้อยลงรถเป็นอันดับถัดมา ก่อนย่อตัวแล้วพร่ำสอนลูกชายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ถ้าเพื่อนแกล้งให้ต่อยกลับเลยนะ แต่เราห้ามแกล้งเพื่อนก่อน เข้าใจมั้ยครับ?""ฮับ" เด็กน้อยพยักหน้ารับ"ถ้าล้มหรือไม่สบายต้องรีบบอกครูนะโลมา""ฮับ" "เก่งมาก" ไวน์ลูบหัวลูกชายก่อนจำใจปล่อยเด็กตัวจ้อยเดินดุ๊กดิ๊กเข้าไปในโรงเรียนที่มีธงสีฟ้าขาวโบกสะบัดอยู่ริมรั้ว พอเห







