LOGINเช้ามาตาบวมทั้งคู่ เหมือนโดนผึ้งต่อยแตนจี้
นั่งกินข้าวกับใจร้าวๆกันสองคน บรรยากาศค่อนไปทางตึง ลูกชายก็ไม่อยู่แม่ยายพาไปโรงเรียน ต่างคนต่างไม่พูดไม่จาก้มหน้าก้มตาซดข้าวต้ม
มื้อเช้าแม่ของไวน์ทำข้าวต้มร้อนๆ ต้มจืดอุ่นๆแล้วก็ไข่ลูกเขยไว้ให้ก่อนออกไปส่งหลานชาย
"ขอโทษนะเมื่อคืนผมคงละเมอดังไปหน่อย"
ตื่นมาไวน์รู้สึกขายหน้า อีกฝ่ายไม่เห็นค่าด้วยซ้ำ เขาไม่พูดอะไรเลยนอกจากกอด มันยิ่งทำให้อารมณ์ดิ่งเข้าไปใหญ่
แต่คนละเมอที่ไหน จะรู้ว่าตัวเองละเมอ คิมรู้ว่าตอนนี้ไวน์รู้สึกยังไง เพียงแต่เขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเมื่อคืน จะถือเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
"กินไข่เยอะๆสิมีโปรตีนนะ" คิมขมวดคิ้วพูดดุตามความเคยชิน เมื่อเห็นคนตรงหน้าตักแต่เต้าหู้ไข่ของโปรด กินเหมือนคนไม่มีแรง ถึงว่าผอมลงๆจนจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่แล้ว
"ไม่เอา" ไวน์ตอบส่งๆตอนนี้เขาดูไร้อารมณ์สุดๆ
"ทำไม? กลัวตดเหม็นหรือไง"
ไวน์ถึงกับชะงัก พี่คิมรู้ดีไปหมด
"ครับ เหมือนพี่ตอนนั้น" แล้วยิ้มแห้งๆ
เล่นเอาคิิมนึกขำตัวเองขึ้นมา ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เบ่งบานราวกับดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนทุกอย่างดูสดใสไปเสียหมด ขนาดดอกไม้เหี่ยวใกล้ตายยังคิดว่ามันกำลังจะบานสะพรั่ง
เรื่องมันเริ่มเมื่อสิบปีก่อน หรืออาจจะนานกว่านั้นสักเล็กน้อย
จะมีสักกี่คนวะที่แอบเฝ้ามองเขามาตั้งหลายปีแต่ไม่รู้วิธีจีบ ได้แต่พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เขาอยู่ ห้องสมุดที่เขาชอบไปหรือไม่ก็ซอยเข้าบ้านแคบๆบนถนนเก่าๆ
แต่ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็มองไม่เห็นเลย ตอนนั้นไวน์อายุได้สิบห้าปี ส่วนคิมหันต์สิบแปด ทั้งคู่ห่างกันสามปี
คนน้องขึ้นม.4 คนพี่ต่อมหาลัยแล้ว
คิมหันต์เป็นหนุ่มฮอตในมหาลัยที่ไม่ต้องทำตััวเด่น เดินหล่อๆสาวยังรุม แต่ทำไมหนุ่มหน้าหวานอย่างไวน์ถึงเอาแต่ก้มหน้ามองตัวหนังสือยาวเหยียดแบบนั้นกัน
ดีกว่าเขาตรงไหน?
ไวท์ช็อกกลิ่นละมุนคนนั้นชอบอ่านหนังสือในห้องสมุดสาธารณะวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ส่วนจันทร์ถึงศุกร์ในโรงเรียนไม่เคยชายตามองใครเลย ชอบพกหนังสือเล่มหนาๆเดินไปไหนมาไหนด้วยเป็นประจำ
เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ดูเหมือนปิดกั้นตัวเองราวกับมีกำแพงหนาๆอยู่ตลอดเวลา หนุ่มๆจึงทำได้แค่มองไม่กล้าเข้าไปจีบ เพราะคิดว่าถึงยังไงคงจีบไม่ติด
น้องเขาคงอยากมีแฟนเป็นหนังสือมากกว่าตัวเอง
ส่วนใหญ่คิดกันแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไมวันปัจฉิมนิเทศน้องม.6 คิมหันต์ถึงตัดสินใจเสี่ยง สารภาพความในใจผ่านพ่อสื่อ นั่นคือเพื่อนสนิทตัวเองที่ชื่อ เตชิน
ไอ้เตชิน เป็นผู้ชายธรรมดา แอ๊วสาวไปวันๆแต่ไม่เคยได้กลับมาครองสักราย ความจริงเขาหล่อแต่ดูเหลาะแหละจนไม่มีใครกล้าคบ
"พี่สุดหล่อคนนั้นฝากมาให้ครับน้อ~ง"
ไวน์กระพริบตางุงงนขณะมองช่อดอกกุหลาบขาวดอกหนึ่งถูกยื่นมาจากชายแปลกหน้า เขาเอียงคอสงสัยก่อนมองปลายนิ้วตามหนุ่มทรงจิ๊กโก๋ท้ายซอย ชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ที่มีหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีคนหนึ่งยืนเก๊กอยู่
"ช่วยบอกเขาทีครับ ถ้าแค่นี้ยังไม่กล้าก็อย่าคิดจะจีบ" ไวน์ทำทีไม่สนใจแต่ก็ยอมรับน้ำใจ รับดอกกุหลาบที่มอบให้แต่โดยดี
พอหมดหน้าที่หนุ่มทรงจิ๊กโก๋ก็เดินไปหาเพื่อนตัวเอง "ไอ้คิม เด็กมันบอกป๊อดก็อย่ามีแฟน"
คนได้ยินเข่าแทบทรุด ดีที่มือจับต้นไม้พยุงร่างตัวเองไว้ไม่ได้ล้ม แอบมองน้องไวน์นอกรั้วโรงเรียนเงียบๆตั้งแต่น้องอยู่ม.3 จนน้องจบม.6 น่ารักขนาดนั้นใครจะไปกล้าเข้าใกล้ แค่เห็นหน้า ใจก็สั่นหมดแล้ว
"เห้อ ปวดตด" คิมหันต์รู้สึกท้อแท้
'ปุ๊ด' เขาปุ๋งเบาๆให้เพื่อนสูดดม
"ทุเรศว่ะไอ้หำ ตดด้วย"
เตชินดันเป็นพวกไม่ยอม 'ป๊าดด' เขาปุ๋งเสียงดังจนคนรอบข้างสะดุ้งนึกว่าระเบิดปรมาณู ศึกปุ๋งนี้เขาชนะ
ถ้าเบ้าหน้าไม่แบกสันดาน สองคนนี้คงไม่ได้เป็นหนุ่มฮอตประจำคณะ แต่ถึงจะฮอตยังไงก็แบกร่างมาจีบเด็กมันอยู่ดีละวะ "เอ้ะ!" คิมพึ่งเอะใจ น้องไวน์ไม่ได้ปฏิเสธหนิ
คิดได้ก็เตรียมรุก เอาใจใครไม่เก่งเพราะมีแต่คนเอาใจ แต่นาทีนี้เขาต้องรุกเอาใจไวท์ช็อกกลิ่นละมุนคนที่ชอบให้ได้เลย
หลังเลิกเรียนเด็กหนุ่มจะตรงกลับบ้านทันที ทางเข้าบ้านอยู่ในซอยแคบๆในชุมชนที่มีบ้านชั้นเดียว หลังติดหลัง บนถนนเก่าๆ คิมเฝ้ามองน้องมันมาตลอดเพราะงั้น...
วันนี้คิมหันต์ถึงได้ทิ้งเพื่อนกลับบ้านคนเดียว ส่วนตัวเองขับมอเตอร์ไซค์มายืนรอปากซอยเหมือนทุกครั้ง
เวลา 17.00 น.
คนที่แอบชอบมักจะเดินผ่านตัวเขาเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ ไม่สนใจรอบข้างด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่ก้มมองหนังสือ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเมื่อไวท์ช็อกหอมละมุนถูกกลบด้วยกลิ่นไข่ต้มพร้อมเสียงปุ๋งดัง 'ปุ๊ด'
ใครที่ไหนจะตดใส่หน้าคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจวะ ถ้าไม่ใช่คิมหันต์ หันมาจริงๆด้วยแฮะ
คิมหันต์ยิ้ม พลันกล่าวทักทาย
"โทษที พอดีกินไข่ต้ม"
แต่เด็กหนุ่มกลับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เหมือนสบถด่าในใจไม่ 'แม่ง' ก็ 'ไอ้เวร' ขณะที่หัวคิ้วย่นเข้าหากันคล้ายแปลกใจ "ไปเข้าห้องน้ำเถอะครับ ถือว่าผมขอ"
พอได้ยินเสียงตอบรับ คิมหันต์ก็ยิ้มดีใจ หัวใจพองโตราวกับลูกโป่งใกล้แตก ดังตึกตักๆ ไม่เป็นจังหวะ
"ได้สิ...ได้เลย"
อยากวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที เพื่อเธอคนเดียว
คิมหันต์ขับรถพาไวน์ซ้อนท้ายไปยังร้านขายกิ๊ฟช็อป ตัวเองคิดว่าจะซื้อของให้น้องมันสักชิ้นปกติแล้วเสียงหัวใจคนเราจะดังตึกตัก แต่ตอนนี้ถูกกอดจากคนซ้อน แม่งดังวี้หว่อ วี้หว่อ เหมือนใจจะวายเฉียบพลัน คิมจึงขับรถช้าๆ ชมวิวด้วยหน้าระรื่น ไวน์เองก็ไม่ต่างกัน ที่กอดเพราะเห็นคนขับตัวใหญ่ อยากรู้จะอุ่นเหมือนที่คิดหรือเปล่าแค่นั้น แต่พอได้สัมผัสจริงๆอุ่นกว่าที่คิดอีกนี่สิ เขาสูดกลิ่นเข้มๆราวกับกาแฟดำยามเช้าของหนุ่มหล่อที่ลืมถามแม้กระทั่งชื่อ 'หิ้วไปดมต่อที่บ้านได้มั้ยนะ?' ไวน์คิดเป็นการเดินทางที่เพลินจนกระทั่งถึงร้านกิ๊ฟช็อปคิมเริ่มชะลอรถ เคลื่อนตัวจอดเทียบฟุตบาทหน้าร้านเป็นร้านกระจกใสตกแต่งภายในเป็นโทนชมพูขาวดูน่ารักสดใส ไวน์ลงจากรถถอดหมวกกันน็อคคืนเจ้าของ"นี่ครับ"คิมหันต์ยื่นมือไปรับ ทันใดนั้นเองก็็เผลอจับมือนุ่มๆของน้องอย่างไม่ตั้งใจ มือไวน์นุ่มจริงๆ นุ่มเหมือนเกิดมาไม่เคยผ่านมรสุมในชีวิต คงเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวเลยสินะ ต่างจากเขาที่หยาบกระด้างเพราะชีวิตสมบุกสมบันตั้งแต่เด็ก เขาสัญญาเลยว่าจะไม่มีวันให้มือของไวน์หยาบกระด้างเป็นอันขาด ฟังดูน้ำเน่าแต่จริงใจนะเว้ยคิมหันต์จูงมือคนตัวเล็ก
"บอกทีว่ากูหล่อแล้ว"ในห้องเช่าสี่เหลี่ยมแคบๆมีเตียง ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องแต่งตัวยัดรวมกัน เหมาะสำหรับอยู่คนเดียว จากประตูสู่เตียง เดินเพียงสอง ปลายเตียงมีประตูห้องน้ำ ส่วนข้างหัวเตียงมีโต๊ะกลมขนาดเล็กวางหนังสือเรียนที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซื้อมาทำเหี้ยไร แค่เห็นคนที่ชอบอ่าน เขาเลยอยากลองอ่านดูบ้างก็เท่านั้น"คนที่ตดสาวก็พร้อมดมอย่างมึงมีสิทธ์พูดคำนัั้นจริงดิ...เป็นไร ทำเป็นไม่มั่นใจ กูไม่ได้อิจฉานะ กูแค่สงสัย เป็นไรครับเป็นไร" หนึ่งคำถามแต่ไอ้เพื่อนอย่างเตชินร่ายยาวราวเวทมนตร์ "คนที่ชอบ กับคนที่ไม่มีใจมันต่างกัน" เตชินเบ้ปาก อยากจะแหมมม ยาวๆไปถึงดาวอังคาร ก็คิมหันต์เล่นซื้อแจ็คเก็ตตัวใหม่สีดำ กับยีนส์สีเข้ม บนหุ่นสมบูรณ์แบบขนาดนั้นแล้วมาถามว่า หล่อยัง?ไอ้สัตว์! ปกติเสื้อยืด เกงย้วย สาวก็ตรึมอยู่แล้วไหมรู้แหละว่าน้องเขาน่ารักแต่จำเป็นต้องทุ่มซื้อเสื้อผ้าใหม่ใส่ไปเดตวันเดียวขนาดนี้เลย เตรู้สึกเหม็นเบื่อ เหม็นขี้หน้าความหล่อเพื่อนตัวเอง"กูไปก่อนนะ"ได้คำตอบที่่ต้องการคิมหันต์รีบคว้ากุญแจรถบนผนังห้อง เดินรีบๆออกไป ปล่อยให้เพื่อนสนิทโดดเดี่ยวอยู่ในห้องตามลำพัง "เดี๋ยว!!" เ
คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าเบาๆ ก่อนเดินหน้าต่อ โดยมีร่างสูงเดินตามมาติดๆ ทำให้เขาถึงกับหยุดแล้วหันไปมองอีกฝ่ายทันที "มีไรครับ?""ขอเบอร์หน่อย" ก็บอกแล้วว่าพี่แกจะรุก"..." ที่เงียบเพราะน้องงง "ไม่ได้เหรอ?""เอาโทรศัพท์มาสิครับ"จากที่ใกล้หงอยถึงกับหูตั้ง คิมหันต์รีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้คนตรงหน้าทันที ไวน์รับ พร้อมเมมเบอร์โทร ก่อนส่งคืนเจ้าของ"ว่างสามทุ่มตรง 5นาทีนะครับ"พูดจบเขาก็เดินหน้าต่อ หลงเหลือเพียงแผ่นหลังและกลิ่นหอมเจือจางให้คิมหันต์สูดดมอ๊ากกก!! ตอนนี้เขาโห่ร้องในใจสุดเสียง ดีใจแทบบ้าแอบมองตั้งแต่ม.3 จนน้องขึ้นม.6 ไม่คิดว่าจะได้เบอร์ด้วยซ้ำ ส่วนอีกคนพอเข้าบ้านแม่ก็เอ่ยทัก"ทำไมวันนี้หน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่าไวน์""เปล่าครับ แดดข้างนอกมันแรง"คนเป็นแม่พยักหน้าเข้าใจ ส่วนลูกชายรีบแจ้นเข้าห้อง แดดช่วงเย็นคงร้อนจนทำให้คนหน้าแดงได้เลยสินะใครบอกไวน์ตั้งกำแพงไว้สูงหรือมีกำแพงหนาๆเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายนอกตัวเองเป็นแบบนั้นในสายตาของใครหลายคน ตัวเขาไม่ใช่ดอกฟ้า เป็นแค่คนธรรมดาจนๆคนหนึ่ง ที่ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แตกสลายนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ตอนเด็กๆราวๆหกขว
เช้ามาตาบวมทั้งคู่ เหมือนโดนผึ้งต่อยแตนจี้นั่งกินข้าวกับใจร้าวๆกันสองคน บรรยากาศค่อนไปทางตึง ลูกชายก็ไม่อยู่แม่ยายพาไปโรงเรียน ต่างคนต่างไม่พูดไม่จาก้มหน้าก้มตาซดข้าวต้มมื้อเช้าแม่ของไวน์ทำข้าวต้มร้อนๆ ต้มจืดอุ่นๆแล้วก็ไข่ลูกเขยไว้ให้ก่อนออกไปส่งหลานชาย"ขอโทษนะเมื่อคืนผมคงละเมอดังไปหน่อย" ตื่นมาไวน์รู้สึกขายหน้า อีกฝ่ายไม่เห็นค่าด้วยซ้ำ เขาไม่พูดอะไรเลยนอกจากกอด มันยิ่งทำให้อารมณ์ดิ่งเข้าไปใหญ่ แต่คนละเมอที่ไหน จะรู้ว่าตัวเองละเมอ คิมรู้ว่าตอนนี้ไวน์รู้สึกยังไง เพียงแต่เขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเมื่อคืน จะถือเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น"กินไข่เยอะๆสิมีโปรตีนนะ" คิมขมวดคิ้วพูดดุตามความเคยชิน เมื่อเห็นคนตรงหน้าตักแต่เต้าหู้ไข่ของโปรด กินเหมือนคนไม่มีแรง ถึงว่าผอมลงๆจนจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่แล้ว"ไม่เอา" ไวน์ตอบส่งๆตอนนี้เขาดูไร้อารมณ์สุดๆ"ทำไม? กลัวตดเหม็นหรือไง"ไวน์ถึงกับชะงัก พี่คิมรู้ดีไปหมด "ครับ เหมือนพี่ตอนนั้น" แล้วยิ้มแห้งๆ เล่นเอาคิิมนึกขำตัวเองขึ้นมา ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เบ่งบานราวกับดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนทุกอย่างดูสดใสไปเสียหมด ขนาดดอกไม้เหี่ยวใก
ว่ากันว่าในตอนที่คนเรามีความสุขเวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ ยิ่งสุขมากเท่าไหร่ก็จะเร็วมากเท่านั้น เหมือนตอนงานเลี้ยงเลิกราทุกคนต่างแยกย้าย มือเย็นเองก็รวดเร็วกว่าตอนที่คิมหันต์คิดไว้"เดี๋ยวผมล้างเองครับ"คิมหันต์อาสาล้าง พูดจบก็เก็บกวาดถ้วยชาม เศษอาหารบนโต๊ะ แต่โดนลูกของแม่ยายแย้ง"ไม่ต้องครับ พี่ไปอยู่กับลูกเถอะ ลูกอยากอยู่ด้วย ทางนี้ผมจัดการเอง" ไม่พูดเปล่าคนตัวเล็กกว่าเอื้อมมือไปแย่งชามเปล่าจากคิมหันต์"เถอะน่า" คิมเองก็ไม่ยอมทั้งคู่ดูยืดเยื้อจนคนมองอย่างกานดายิ้้ม ในสายตาของหญิงมากประสบการณ์ทั้งดูแปลกไปเล็กน้อย ใช้ชีวิตมาขนาดนี้ดูก็รู้ว่า'ผัวเมียงอนกัน'อยู่"ไม่ต้องทั้งคู่นั่นแหละ เดี๋ยวแม่ทำเอง ไปอยู่กับลูกเถอะ" เธอไล่คู่ผัวเมียเข้าห้อง ก่อนหันไปมองหลานตัวน้อยที่กำลังจ้องการ์ตูนอย่างตั้งใจ "โลมา ไปเล่นกับป๊าม้าก่อนลูก ก่อนนอนเดี๋ยวยายไปรับมาฟังนิทานเรื่องใหม่""วันนี้เรื่องอะไรฮับ!" เด็กน้อยเลิกสนใจจอทีวี หันไปมองหน้าคุณยายอย่างใคร่รู้ "วิธีง้อม่ะม้าขี้งอน"แน่ใจนะว่าชื่อนิทาน ไม่ใช่การบอกทริคลูกเขยทางอ้อม "ฮับ!" ตัวเล็กตาลุกวาว รีบลงจากเก้าอี้ วิ่งไปจับมือป่ะปิ๊กับป่ะป๊า พาสองคน
หลังทานมื้อเช้าเสร็จ ไวน์ขับรถมาส่งโลมาที่โรงเรียน"กอดเอวป่ะปิ๊ไว้แน่นๆนะโลมา""ฮับ!" มือน้อยๆกำชับเอวผู้ให้กำเนิดอย่างว่าง่าย"เก่งมาก"สิ้นเสียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าก็เคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง กระจกซ้ายหมุนให้เห็นหน้าคนซ้อนท้าย ส่วนด้านขวาไว้มองทาง ถึงถนนจะปลอดโปร่งแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่มักห่วงลูกตัวเองเสมอ เขากังวลทุกครั้งที่ยายต้องมาส่งหลานด้วยรถประจำทาง และใจหายเวลาโลมาต้องเผชิญหน้ากับสังคมที่ไม่คุ้นเคย เขามักฟุ้งซ่านและคิดมาก ห่วงเสมอ ลูกจะล้มไหม เพื่อนจะแกล้งหรือเปล่า กลัวอันตรายรอบด้าน แต่เขาทำได้แค่เฝ้ามองการเติบโต และเป็นห่วงอยู่ห่างๆเพราะทุกบาดแผลล้วนทำให้คนเราเติบโตอย่างเข้มแข็งมาถึงหนา้โรงเรียนเขาดับรถ ก่อนลงรถเป็นคนแรกตามด้วยการอุ้มลูกชายตัวจ้อยลงรถเป็นอันดับถัดมา ก่อนย่อตัวแล้วพร่ำสอนลูกชายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ถ้าเพื่อนแกล้งให้ต่อยกลับเลยนะ แต่เราห้ามแกล้งเพื่อนก่อน เข้าใจมั้ยครับ?""ฮับ" เด็กน้อยพยักหน้ารับ"ถ้าล้มหรือไม่สบายต้องรีบบอกครูนะโลมา""ฮับ" "เก่งมาก" ไวน์ลูบหัวลูกชายก่อนจำใจปล่อยเด็กตัวจ้อยเดินดุ๊กดิ๊กเข้าไปในโรงเรียนที่มีธงสีฟ้าขาวโบกสะบัดอยู่ริมรั้ว พอเห







