บททั้งหมดของ หลังถูกถอนหมั้นฉันก็ได้ดี: บทที่ 21 - บทที่ 30

30

บทที่ 21

ลู่เยี่ยนเป่ยไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ เขาไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังการจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จ พวกเขาก็ออกจากสถานีตำรวจไปพร้อมกัน “ท่านรอง ขอบคุณนะคะ”“ขึ้นรถ” ลู่เยี่ยนเป่ยยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่แยแส “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเรียกรถกลับบ้านเองได้”ลู่เยี่ยนเป่ยไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เขายังเงียบเสียงรอเธอต่อไป เมื่อนึกถึงความช่วยเหลือของเขาเมื่อครู่นี้ สวีหว่านหนิงก็ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ขึ้นรถไปกับเขาอยู่ดี รถขับมาถึงที่โรงพยาบาล สวีหว่านหนิงถูกส่งไปตรวจร่างกายหลายรายการ คุณหมอแนะนำให้เธออยู่ดูอาการสักสองสามวัน เนื่องจากศีรษะด้านหลังได้รับการกระทบกระเทือน จำเป็นต้องตรวจซ้ำอีกครั้งตอนที่พยาบาลเข้ามาทำแผลให้เธอ ลู่เยี่ยนเป่ยก็ยืนมองอยู่ด้านข้าง น่องของเธอมีรอยฟกช้ำเป็นสีเขียว ข้อศอกทั้งสองมีรอยถลอก เมื่อน้ำยาฆ่าเชื้อสัมผัสกับแผล เธอก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความเจ็บปวด แต่ก็กัดฟันทนไม่ยอมร้องออกมาบอบบาง แต่ดื้อรั้น ช่างน่าสงสารและน่าเอ็นดู เมื่อพยาบาลออกไปแล้ว ลู่เยี่ยนเป่ยก็เดินเข้ามาที่ข้างเตียง จากนั้นก็เหลือบสายตามองเธอแล้วถามว่า “ไม่เจ็บเหรอ?”สวีหว่านหน
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 22

ลู่เยี่ยนเป่ยมีพี่ชายแท้ ๆ หนึ่งคน ยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีลูก เพียงแต่ผู้อาวุโสในตระกูลชอบเด็กผู้หญิงมากกว่า ดังนั้นจึงลำเอียงรักลู่ซินอวี่มากกว่าเล็กน้อย ที่บอกว่าเธอเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงตำแหน่งที่ไม่ใช่ความจริงเธอมีนิสัยหยิ่งยโส เธอจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา สวีหว่านหนิงก็เป็นเหมือนลูกแมว เกรงว่าจะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ “เธอเป็นคนนัดสวีหว่านหนิงมาที่นี่” ลู่เยี่ยนเป่ยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ลู่ซินอวี่ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา “ท้ายที่สุดแล้วเฉินไป่อันก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเธอไม่ชัดเจน แต่ก็ยังแอบนัดคู่หมั้นของคนอื่นมา ฟ้องเขาข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา ท้ายที่สุดแล้วใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย”“เรื่องบางเรื่องฉันแค่ไม่ได้พูดออกมา ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่รู้”“รู้ขอบเขตเสียบ้าง อย่าทำให้ตระกูลลู่เสียหน้า”ลู่ซินอวี่หน้าซีดเผือดตอนนั้นเฉินไป่อันก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา เมื่อเขาเห็นลู่เยี่ยนเป่ย เขาก็กล่าวคำทักทายอย่างสุภาพ แต่สายตาของลู่เยี่ยนเป่ยไม่ได้มองเขาเลย เขาเพียงแต่กำชับให้ลู่ซินอวี่พักผ่อนให้มาก จากนั้นก็เดินออกจ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 23

สวีหว่านหนิงรีบกลับบ้านทันที ทันทีที่ถึงบ้านเธอก็เห็นสวีเจิ้นหงและภรรยากำลังนั่งอยู่บนโซฟา นอกจากนี้ในห้องรับแขกยังมีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกอยู่ด้วย เมื่อเธอเห็นสวีหว่านหนิง เธอก็เลิกคิ้วขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความถือดี“พี่กลับมาได้ยังไงคะ” สวีหว่านหนิงพูดผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวคนเดียวของสวีเจิ้นหงและหลี่ซูอิง—สวีเจินเจิน อีกฝ่ายอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี และกำลังเรียนออกแบบอยู่ที่ต่างประเทศ “พ่อของฉันถูกคู่หมั้นของเธอบีบบังคับจนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วฉันจะไม่กลับมาได้ยังไง?” สวีเจินเจินหัวเราะเยาะ “แม้กระทั่งผู้ชายคนเดียวยังรั้งเอาไว้ไม่ได้ ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ”“เจินเจิน เงียบซะ!” หลี่ซูอิงขมวดคิ้วขึ้นและห้ามเธอไว้ จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปหาสวีหว่านหนิง “หนิงหนิง ไปทำอะไรมาถึงมีบาดแผลบนตัวกับที่คอแบบนี้?”“ไม่มีอะไรค่ะ” สวีหว่านหนิงยิ้มบาง ๆ “ที่คุณอาโทรเรียกฉันมามีอะไรหรือเปล่าคะ?”“ยังมีหน้ามาถามอีก”สวีเจินเจินหัวเราะเยาะ เธอก็หยิบรูปภาพบนโต๊ะกาแฟ แล้วโยนใส่หน้าเธอโดยตรง “ดูเอาเอง!”รูปภาพเหล่านั้นกระแทกลงบนใบหน้าของสวีหว่านหนิง จากนั้นก็หล่นลงพื้น รูปทั้งหมด
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 24

เรื่องที่สวีหว่านหนิงไปเป็นเด็กดริ๊งยังคงมีการพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ ถึงกับมีการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์บันเทิงท้องที่เลยทีเดียว แม้ว่าจะใช้นามสมมติ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นเธอ จนกระทั่งเธอกลับมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ความวุ่นวายเหล่านั้นก็เหมือนสงบลงแล้ว “ช่วงนี้ปวดหัวหรือเปล่า?” คุณหมอถาม “ไม่เท่าไรค่ะ”ช่วงนี้มีเรื่องราวมากมาย แล้วเธอจะไม่ปวดหัวได้ยังไง “ด้านหลังท้ายทอยของเธอมีรอยฟกช้ำ เธอจะต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้นะ”“เข้าใจแล้วค่ะ”ตอนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลก็มีนักข่าวหลายคนพุ่งตัวเข้ามาอย่างกะทันหัน พวกเขาแบกกล้อง ถือเครื่องบันทึกเสียง แล้วพุ่งตัวมาขวางทางเดินของเธอไว้ “คุณหนูรองสวี คุณกับคุณชายเฉินยังมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ แต่คุณกลับไปเป็นเด็กดริ๊งที่ร้านเหล้า นี่เป็นเพราะตระกูลสวีขาดเงินเหรอคะ?”“ที่คุณทำแบบนี้มันไร้ยางอายจังเลยนะคะ”“ตลอดช่วงเวลาที่คุณหมั้นหมายมา คุณมีอะไรกับผู้ชายมาแล้วกี่คนคะ”……สวีหว่านหนิงชะงักไป จนกระทั่งไข่ไก่ใบหนึ่งกระแทกลงที่ใบหน้าของเธอ เหล่านักข่าวรีบกดบันทึกภาพเหตุการณ์นั้น เธอทำได้เพียงเบียดกลุ่มนักข่าวแล้วเดินออกจากโรงพยาบาลไป
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 25

ตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต สวีหว่านหนิงก็ต้องอาศัยอยู่กับคนอื่นมาโดยตลอด เธอจึงเรียนรู้ที่จะอ่านสีหน้าของคนอื่น แต่ไม่มีใครเคยสนใจเลยว่าเธอจะสบายดีหรือเปล่า ลู่เยี่ยนเป่ยเป็นคนแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ “เธอจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า?” ลู่เยี่ยนเป่ยถาม “ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน”ตระกูลสวีถูกเฉินไป่อันกดดันหนักมากแทบจะอยู่ไม่ไหวแล้วสวีเจิ้นหงดิ้นรนหาเงิน สวีเจินเจินก็ติดต่อเพื่อนที่อยู่ในเมืองเจียง ตระกูลสวีกำลังล้มละลายแล้ว ไม่มีใครช่วยเหลือเขาสักคน ทุกครั้งที่สวีเจินเจินไม่พอใจจากเรื่องด้านนอก เธอก็จะกลับมาระบายอารมณ์กับสวีหว่านหนิงที่นั่น…ไม่ใช่บ้านของเธอตั้งแต่แรก**รถไปจอดอยู่ที่พื้นที่ว่างเปล่าชานเมือง ตอนที่ลู่เยี่ยนเป่ยกำลังสูบบุหรี่ โทรศัพท์ของสวีเจิ้นหงก็สั่นขึ้น คนที่โทรมาคือ เฉินไป่อันลู่เยี่ยนเป่ยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ลงจากรถ และให้พื้นที่กับเธอ เขารู้ว่าเธอไม่ได้รับความยุติธรรม และทั้งดื้อรั้น ปากแข็ง นั่นทำให้เขารู้สึกสงสารอย่างอดไม่ได้ ถึงขนาดมีความคิดอยากจะช่วยเธอ แต่ถ้าเขาลงทุนให้สวีซื่อ มันก็สามารถแก้ปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่เกรงว่าหลังจากนี้จะมีป
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 26

ตอนที่สวีหว่านหนิงลงจากรถ มือข้างหนึ่งของลู่เยี่ยนเป่ยก็ยังคีบบุหรี่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังไถโทรศัพท์ เขาน่าจะเห็นวิดีโอที่พูดเรื่องการถอนหมั้นแล้ว ควันบุหรี่ลอยฟุ้ง สิ่งนี้ทำให้โครงหน้าของเขาดูคมคายมากยิ่งขึ้น เขาสวมเสื้อสีขาว กางเกงดำ ดูสง่าผ่าเผยแต่ดื้อรั้น ดวงตาของสวีหว่านหนิงแดงก่ำ เธอเป็นเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่น่าสงสาร “ท่านรอง ฉันขอยืมบุหรี่สักม้วนได้ไหม” สวีหว่านหนิงลองพูดหยั่งเชิงอย่างลังเล “ตามใจ”ลู่เยี่ยนเป่ยพูด จากนั้นก็หยิบบุหรี่และไฟแช็กให้เธอสวีหว่านหนิงหยิบบุหรี่ออกจากซองแล้วคาบไว้ที่ปากอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เธอทัดผมยาวไว้หลังหู ตอนที่เธอจุดไฟแช็ก เปลวไฟก็ส่องสะท้อนเข้าที่ใบหน้าสวยของเธอผิวเธอบอบบางมาก ต่อให้ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่รอยฟกช้ำบนร่างกายก็ยังไม่หายดีภายใต้ประกายไฟส่องสะท้อนความงามที่อ่อนแอและบอบบางนี่เป็นครั้งแรกที่เธอสูบบุหรี่ เธอสูบเข้าไปอย่างรุนแรง ทำให้สำลักควันและไออออกมาจนน้ำน้ำตาไหล“สูบไม่เป็นก็ยังจะสูบอีก” ลู่เยี่ยนเป่ยหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ “ไหนบอกว่าบุหรี่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ไม่ใช่เหรอ?”“เธอชอบเฉินไป่อันขนาดนั้นเชียวเหรอ?”“ไ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 27

สวีหว่านหนิงชะงักไปเล็กน้อย แต่สวีเจินเจินกลับกวาดสายตาสำรวจเธออย่างจริงจัง ยัยเด็กเหลือขอคนนี้เข้าหาท่านรองลู่ได้ด้วยเหรอ?นับว่ามีความสามารถ สวีหว่านหนิงฝืนยิ้ม “ฉันได้รับเกียรติพบเขา แต่ด้วยสถานะสูงส่งของเขา นอกจากนี้เขายังเป็นอาของลู่ซินอวี่ ต่อให้ฉันไปขอร้องเขา เขาก็อาจจะไม่เหลือบแลฉันสักนิดเลยก็ได้”สวีเจินเจินแค่นหัวเราะ “อย่างน้อยเธอก็รู้จักเจียมตัวเอง”สวีเจิ้นหงเคยได้ยินมาว่า ลู่เยี่ยนเป่ยเคยออกหน้าช่วยเธอในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าสวีหว่านหนิงจะช่วยพูดได้ แต่ตอนนี้ดูแล้ว ถนนสายนี้ก็น่าจะถูกปิดตายแล้ว เฉินไป่อันบีบบังคับเขาอย่างไม่ลดละ มีเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจช่วยเหลือเขา…แล้วเขาจะทำยังไงดี **หลังจากผ่านมาสักพักหนึ่ง สวีหว่านหนิงก็ไม่ได้เจอกับลู่เยี่ยนเป่ยอีกเลย ในใจของเขารู้ดีว่าคนอย่างลู่เยี่ยนเป่ย หากเขาไม่ต้องการทำ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้เฉินไป่อันยังคงกดดันเธออย่างต่อเนื่อง ตระกูลสวีกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก สวีเจินเจินเคยไปขอเข้าพบเฉินไป่อันแล้ว แต่กลับถูกเขาไล่ออกจากบริษัท หลังจากกลับมาบ้าน เธอก็โมโหฟาดงวงฟ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 28

หลี่ซูอิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ครั้งที่แล้วคือเรื่องไหนเหรอ?”“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอคงไม่ได้กำลังโทษว่าเป็นความผิดของอาใช่ไหม” สวีเจิ้นหงจ้องเธอตาเขม็งท้ายสุดแล้วสวีเจิ้นหงก็มีบุญคุณที่เลี้ยงเธอมา จนเธอมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ เมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว สวีหว่านหนิงยังจะพูดอะไรได้อีก เธอส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว”“เจินเจินเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันแบบนี้ เธอก็ไม่ได้ทำงานแล้ว ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ต้องดื่มกันสักหน่อย” สวีเจิ้นหงพูดขึ้น จากนั้นก็รินไวน์ให้เธอครึ่งแก้วทั้งสี่คนชนแก้วกัน สวีเจิ้นหงเล่าถึงความยากลำบากเมื่อสิบปีที่แล้วตอนที่เพิ่งเริ่มธุรกิจ จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องพ่อแม่ของสวีหว่านหนิง เธอก็ทำได้เพียงนั่งฟังเงียบ ๆ “หนิงหนิง หลายปีที่ผ่านมานี้ ถ้าอาทำอะไรไม่ดีกับเธอก็ช่วยยกโทษให้ด้วยนะ”อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายทำให้สวีเจิ้นหงรู้สึกสับสน สวีหว่านหนิงพูดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “คุณกับอาสะใภ้เลี้ยงดูฉันมา ทุกสิ่งที่คุณมอบให้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากค่ะ”“เด็กดี” สวีเจิ้นหงยิ้ม หนึ่งชั่ว
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 29

พวกเราคบกันมาตั้งหลายปี แม้สวีหว่านหนิงจะรู้ว่าเฉินไป่อันไม่ได้รักเธอ แต่เธอก็ยังมีความหวังเล็ก ๆ ว่าเขาจะผลักประตูบานนั้นออก เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ผลักประตูออก ประธานเกาก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกต่อไป แต่เขาไม่ ที่แท้ความสัมพันธ์ตลอดห้าปี…ก็มีแค่เธอที่คิดไปเองฝ่ายเดียวแม้กระทั่งตระกูลสวียังเป็นเช่นนี้มือของชายคนนั้นลูบไล้ทั่วร่างกายของเธอ น้ำตาล้นเอ่อ ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าล้วนพร่ามัวแต่ก็ชัดเจนเธอได้ยินเสียงเสื้อผ้าที่ฉีกขาด แต่เธอไร้เรี่ยวแรงขัดขืนริมฝีปากของสวีหว่านหนิงสั่นระริก เธอเหมือนปลาบนเขียงที่ไร้ทางสู้ ไม่ว่าใครก็สามารถเหยียบย่ำได้ แม้ว่าร่างกายและจิตใจเธอจะบอบช้ำแตกสลาย เลือดสด ๆ ไหลริน แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นใจ ช่างน่ารังเกียจ—-เธอทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ?ทำไมทุกคนถึงทำกับเธอแบบนี้ **อีกด้านหนึ่ง เฉินไป่อันก็เดินตามลู่ซินอวี่มาที่ห้องส่วนตัว ตอนที่ได้เจอกับลู่เยี่ยนเป่ยแล้ว แต่เขายังดูเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภายในสมองมีเพียงแววตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือของสวีหว่านหนิงเธอดูโอนอ่อน แต่ความหยิ่งผยองในกระดูกยังคงอยู่!หากความหยิ่งผยองน
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 30

ประธานเกาถูกถีบอย่างแรง ตัวของเขากระแทกกับเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลัง เขาเจ็บจนเหงื่อเย็น ๆ ไหลท่วม“อื้อ—” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมหน้าอก ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้เขาต้องนอนขดตัวลงบนพื้น เสียงครวญครางอย่างทรมานดังขึ้นมา ความรู้สึกเหมือนหน้าอกถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เขาเจ็บจนใบหน้าซีดขาว เหงื่อเย็น ๆ ไหลท่วม ด้วยความแรงขนาดนี้ แทบจะทำให้กระดูกของเขาหักสะบั้นได้เลย คิดไม่ถึงเลยว่า ลู่เยี่ยนเป่ยจะเป็นคนทำลายเรื่องดี ๆ ของเขาอีกแล้วสายตาของเขาราบเรียบ แต่ก็แฝงไปด้วยแรงกดดันอันไร้ที่สิ้นสุด “ประธานเกา ให้ฉันพานายขึ้นสวรรค์ดีไหม?”เหงื่อเย็น ๆ ไหลท่วมแผ่นหลังของประธานเกาในทันทีลู่เยี่ยนเป่ยมองไปทางสวีหว่านหนิง “ลุกขึ้นไหวไหม?”เธอพยักหน้า จากนั้นร่างกายของเธอที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขนอ้อมแขนของเขาอบอุ่นมาก อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมไม้จันทน์จาง ๆ ทั้งคุ้นเคยและอ่อนโยน ในขณะที่ลู่เยี่ยนเป่ยกำลังอุ้มเธอออกไป สวีหว่านหนิงก็เอื้อมมือไปจับเสื้อของเขาแล้วพูดอย่างยากลำบากว่า “โทร…โทรศัพท์”ลู่เยี่ยนเป่ยกวาดสายตามองรอบด้าน จากนั้นก็เห็นโทรศัพท์ที่ตกอยู่มุมห้องเขาวางสว
อ่านเพิ่มเติม
ก่อนหน้า
123
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status